แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย reiko เมื่อ 2011-9-21 04:49
เรื่องผี สัตว์ประหลาด เราคงเคยได้ยินกันบ่อยๆ
ทั้งจากในอนิเมะเรื่องต่างๆ หรือภาพยนตร์ รวมไปถึงเรื่องเหล่าสยองต่างๆ ใช่มะ
แต่วันนี้จะพามารู้ข้อมูลแบบเจาะลึกสุดๆ ของแต่ละ"ตัว"กัน
เริ่มที่ตัวแรก สุดคลาสสิก
ซอมบี้ (Zombies)
ตำนานผี ซอมบี้ Zombies ซอมบี้ เป็นผีดิบระดับแนวหน้าตัวหนึ่ง หรือน่าจะเรียกว่าพวกหนึ่ง เพราะผีดิบซอมบี้ มักจะถูกพ่อมดหมอผี ปลุกขึ้นมาเพื่อนำมาใช้งานตามคำสั่ง และจะปลุกขึ้นมาทีครั้งละเป็นขโยง เดินยั๊วเยี้ย กันเต็มเมือง
ประวัติความเป็นมาของผีดิบ ซอมบี้
- เรื่องราวของผีดิบเดินได้ที่เรียกว่า ซอมบี้นี้เกิดขึ้นครั้งแรกในดินแดนแถบริมฝั่งทะเลคาริบเบียน ต่อมาได้เผยแพร่ขยายไปในส่วนต่างๆของยุโรป ผู้ที่ทำพิธีกรรมทางไศยศาสตร์ ปลุกผีดิบพวกนี้ขึ้นมาคือบรรดาพ่อมดหมอผีผู้รอบรู้เกี่ยวกับวิชามนต์ดำในลัทธิวูดู อันเป็นลัทธิ หนึ่งซึ่งมีวิธีปลุกศพคนตายให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาด้วยอำนาจแห่งไสยเวทย์ โดยการท่องมนต์ ลึกลับอ้อนวอนต่อ "เวสตู" เทพเจ้าแห่งปีศาจและความชั่วร้าย นอกจากนั้นลัทธิวูดู ยังมีมีพิธีการเกี่ยวกับการสาปแช่ง และสังหารศัตรู ด้วยวิธีการของมนต์ดำ
ซอมบี้ที่ตายไปแล้วเป็นซอมบี้ที่เกิดจากเวทมนตร์ดำ มักจะไม่ทำร้ายผู้คน เว้นแต่ จะเป็นซอมบี้ที่ถูกปลุกจาก พวกหมอผีหรื่อพวกลัทธินอกรีต มักจะมีนิสัยดุร้าย ชอบกินพวกซากคนตายตามสุสาน ซากสัตว์ต่างๆ หรือแม้แต่คนเป็นก็ย่อมได้ ซอบี้พวกนี้ มีลักษณะผอมโซ เคลื่อนที่ช้า แต่ บางพวก เช่น ซอมบี้ที่มีชื่อว่า น็อตซือเฮอเรอร์(nachtzeher)จะมีการเคลื่อนไหวที่รวดเร็ว
ซอมบี้ที่ถูกดัดแปลงเป็นซอมบี้ที่เกิดจาก พวก นักวิทยาศาสตร์ที่ทดลองเกี่ยวกับชีวเคมี ส่วนใหญ่คือ พวกแฟรงเก้นสไตน์ นั่นเอง แต่ที่ปรากฏในเกม หรือ ภาพยนตร์ มักจะเป็นซอมบี้ที่เกิดจากการทดลองไวรัสปรสิต มีการเคลื่อนไหว่ เชื้องช้า(เพราะ เป็นคนที่ตายไปแล้ว เลือดจะแข็งตัว ทำให้เคลื่อนไหวลำบาก)เมื่อใดที่ซอมบี้พวกนี้ กัด หรือ ข่วน มนุษย์ ในไม่ช้า คนๆนั้นก้จะกลายเป็น ซอมบี้เช่นเดียวกัน ซอมบี้พวกนี้ลักษณะเป็นคนหน้าซีด ตาขาว มีฟันที่ไม่ตรงกัน และมีฟันที่เหลือง มีเลือดชุ่มตัว น่าสยดสยอง มีจุดอ่อนที่หัว เพราะซอมบี้พวกนี้ มักถูกไวรัสควบคุมที่สมอง ถ้าใช้อาวุธคม๐ พวกขวาน หรือ ดาบ ฟันเข้า จะหยุดการทำงานของซอมบี้ ส่วนภาพยนตร์ที่โด่งดังที่ทุกคนรู้จักซอมบี้ในทุก ๆ แห่ง คงหนีไม่พ้น หนังเรื่อง Resident Evil (ผีชีวะ) ทั้ง 3 ภาค ซึ่งดัดแปลงมาจากเกม Resident Evil มาทำเป็นภาพยนตร์ นั่นเอง
วิธีการปลุกผีดิบซอมบี้
สภาพศพที่สามารถนำมาใช้ในพิธีได้
- ศพที่จะใช้ในพิธีปลุกให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในสภาพของผีดิบซอมบี้นั้น จะต้องใช้ศพของคนที่เพิ่งตายใหม่ๆ คือควรอยู่ในสภาพดีไม่เน่าเปื่อยหรือถึงกับยุ่ยจนเหลือแต่โครงกระดูก
วิธีการที่จะได้ศพมาทำพิธี
สำหรับวิธีการที่จะได้ศพมาเพื่อใช้ในการทำพิธีนั้น ก็สุดแล้วแต่ความสามารถของบรรดาพ่อมดหมอผี ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับลัทธิ วูดูจะสามารถสรรหามาได้เช่น
1. ขโมยขุดศพมาจากสุสาน
- วิธีนี้บรรดาพ่อมดหมอผีจะสั่งให้สมุนผู้ช่วยไปขุดเอามาจากหลุมศพตาม สุสานหรือป่าช้าที่มีการนำศพคนตายไปฝัง ในยุคที่มีการ ขโมยขุดศพไปทำผีดิบซอมบี้กันอย่างแพร่หลาย หลังจากทำพิธีการศพเรียบร้อยแล้ว แทนที่จะได้กลับบ้านไปพักผ่อน พวกญาติๆต้องคอยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเฝ้าศพ ไม่ก็จ้างผู้เฝ้าศพให้จนกว่าศพจะเน่าพอที่จะไม่สามารถนำไปทำซอมบี้ได้เลยก็มี
2. ขโมยศพจากโรงพยาบาล
- วิธีนี้ค่อนข้างจะบ้าเลือดไปนิด แต่มีการได้รับการยืนยันจากผู้มีประสบการณ์ในประเทศเฮติ ชายคนนี้มีนามว่า คลาอุส นารุคิส เขาเคย เสียชีวิตมาแล้ว ด้วยโรคความดันโลหิตสูงและโรคไต เมื่อเขารู้ตัวอีกทีเขารู้สึกว่าถูกนำตัวไปอยู่กระท่อมกลางนา ซึ่งเขาเห็นน้องชายตัวแสบของเขาเป็นผู้ร่วมมือกับหมอผีนำร่างของเขามานั่นเอง ขณะที่อยู่กับซอมบี้ตัวอื่นๆ ความจำของเขาค่อยๆกลับมา จนจำได้ว่าเขาคือใคร เมื่อน้องชายของเขาและหมอผีเสียชีวิต เขาจึงเดินทางกลับบ้านเกิดและ เล่าเรื่องในวัยเด็กของเขา ได้อย่างถูกต้อง
ลักษณะและความสามารถของซอมบี้
ผีดิบเหล่านี้เมื่อถูกปลุกขึ้นมาก็จะทำตามคำสั่งทุกประการ สามารถใช้งานให้ทำอะไรก็ได้ สภาพของซอมบี้จะแข็งทื่อ ไร้สติปัญญา ไรจิตใจ แถมมีความทรหดอดทน แข็งแรงแบบที่ว่าไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ดังนั้นพวกหมอผีจึงปลุกขึ้นมาให้ทำงานอย่างไม่มีเวลาพัก ดีกว่าจ้างคนเสียอีก
อิทฤทธิ์และวิธีการป้องกัน จัดการกับซอมบี้
ผีดิบซอมบี้ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น มันมีความแข็งแรงสูง แถมไม่กลัวแสงแดดเสียอีก เวลาโดนอะไรก็จะไม่รู้สึกนอกเสียจากว่า ทำลายมันให้เละ จึงเป็นตัวที่ปราบปรามยากอยู่สักหน่อย วิธีการหยุดมันควรจะใช้ของแรงๆเช่น ปืนไฟ จรวด ก็คงพอจะเอาอยู่ แต่เนื่องจากมันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เอาแต่ไล่ล่าหาเหยื่อ ถ้าเจอเข้า โกยแน่บ เป็นดีที่สุด
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
สตรีหิมะ หรือ ยูกิอนนะ (yuki onna– นางหิมะ)
เจ้าหญิงหิมะ ( Yuki-onna ) 雪女
เจ้าหญิงหิมะเป็นปิศาจสาวที่สิงสถิตอยู่ในภูเขาหิมะ นางมีหน้าตาที่สวยมาก ดวงตาที่เป่งประกายแต่แฝงไปด้วยความเหี้ยมโหดของ ผิวขาวเผือดราวกับหิมะ และสวมใส่ชุดกิโมโนสีขาวบริสุทธิ์
เจ้าหญิงหิมะจัดเป็นภูติพรายภูเขา นางจะอาศัยอยู่บนภูเขาที่มีหิมะตกหนักอยู่ตลอดเวลา และเมื่อมีชายหนุ่มหลงเข้าไปในหุบเขาหิมะ นางจะปรากฎกายต่อหน้าและใช้ความงามของนางเป็นเสน่ห์ยั่วยวนชายผู้นั้น จนชายผู้นั้นหลงใหลด้วยมนต์สะกด ทันใดนั้นร่างของชายผู้เคราะห์ร้ายก็จะถูกหิมะปกคลุม เมื่อถึงเวลานั้นนางก็จะดูดเอาพลังวิญญาณของชายผู้นั้นไป จนกระทั่งรุ่งเช้ารอคนมาพบศพเข้า ชายผู้นั้นก็นอนตัวแข็งทื่อสีกายซีดเผือดอยู่ตรงนั้นแล้ว
เจ้าหญิงหิมะต้องการพลังวิญญาณแห่งบุรุษเพศไปเพิ่มพลังปิศาจให้กับตนด้วยเหตุนี้ชายคนใดที่พบนางเข้านับว่าดวงซวยเพราะจะไม่มีโอกาศรอดชีวิตเลย
แต่มีตำนานที่เล่าขานถึงความรักที่แท้จริงของเจ้าหญิงหิมะกับชายหนุ่มมนุษย์อยู่บ้าง ดังเช่นตำนานนี้…
ชายหนุ่มคนหนึ่งเป็นหลานของคนตัดไม้แก่ พากันขึ้นภูเขาหิมะไปตัดไม้ แต่แล้วเกิดพายุหิมะพัดกระหน่ำ ทั้งสองต่างหนีเอาตัวรอดแต่ทันใดนั้นก็พบกับกระท่อมร้างหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ ชายทั้งสองจึงพากันเข้าไปหลบพายุแล้วเผลอหลับไป
อากาศภายในเย็นมาก ชายหนุ่มตื่นขึ้นมาก็พบว่ามีหญิงสาวสวยราวกับไม่ใช่คนบนโลกเดินเข้ามาในกระท่อม หญิงสาวผู้นั้นเดินที่ชายแก่แล้วก้มลงดูดพลังวิญญาณของชายแก่ตัดไม้จนตัวแข็งตายไปทันใด ชายหนุ่มเห็ยจึงกลัวมาก
หญิงผู้นั้นเหลือบสายตามาเห็นชายหนุ่มก็ยิ้มเล็กน้อยแล้วเดินเข้ามาหา นางพูดว่า " เจ้าไม่ต้องกลัวข้า ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก เพียงแต่เจ้าต้องสัญญาว่าจะไม่บอกสิ่งที่เห็นนี้กับใครทั้งหมดรวมทั้งพ่อแม่เจ้าด้วย…" ชายหนุ่มรับปากไปเพราะความกลัว ว่าแล้วนางหิมะผู้นั้นก็เดินหายออกไปจากกระท่อม
5 ปีต่อมา ชายหนุ่มคนนั้นได้แต่งกับลูกสาวตระกูลขุนนางมั่งคั่ง ชายหนุ่มมองนางแล้วครุ่นคิดว่านางมีหน้าตาคล้ายกับใครบางคนที่เขาเคยเจอมาก่อน และแล้วทั้งสองก็ได้แต่งงานกัน
วันเวลาผ่านไปนานนับ ชายหนุ่มกับหญิงสาวผู้นั้นได้มีบุตรกันถึง 5 คน นับเป็นเรื่องแปลกประหลาดมาก แต่ทั้งสองก็เลี้ยงดูครอบครัวด้วยดี จนถึงวันหนึ่งชายหนุ่มย่องไปหาหญิงสาวที่กำลังนั่งเย็บผ้าอยู่ เขาครุ่นคิดมานานว่านางหน้าเหมือนกับหญิงสาวที่เขาเคยเจอ เขาเลยตัดสินใจเล่าเรื่องลึกลับที่เกิดขึ้นบนภูเขาหิมะให้นางฟัง
ทันใดนั้นนางก็โกรธมากจึงกรีดร้องออกมา และหันหน้ามาทางชายหนุ่มพร้อมกับจำแลงร่างคืนดั่งเดิม ชายหนุ่มตกใจกลัวมากเมื่อรู้ว่านางคือปิศาจที่ตนเจอบนภูเขานั้น นางบีบคอชายหนุ่มจนขาพ้นพื้นแล้วพูดอย่างโกรธแค้นว่า " ยังไงเสียข้าก็จะไม่ฆ่าเจ้าตอนนี้หรอก แต่เจ้าต้องดูแลลูกๆ ของข้าให้ดี ถ้าวันใดเจ้าผิดคำสัญญาข้าจะตามมาเอาชีวิตเจ้า…" ว่าแล้วนางก็หายวับไปกลายเป็นละอองไอหิมะ ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบสงัด…
ว่ากันว่าเจ้าหญิงหิมะเป็นผีที่เกิดจากวิญญาณหญิงสาวที่ต้องตายอย่างทรมานในวันหิมะตกหนัก บ้างก็ว่าเป็นการจำแลงมาของวิญญาณภูเขา
อีกตำนานหนึ่งเล่าขานไว้ว่า เจ้าหญิงหิมะจะปรากฏกายมาพร้อมกับทารกที่นางอุ้มไว้ในอ้อมอก ชายใดที่พบนางเข้านางจะขอร้องให้ชายผู้นั้นช่วยอุ้มทารกต่อจากนาง และถ้าเหยื่อผู้เคราะห์ร้ายหลงกลเข้าแล้ว ร่างของทารกน้อยก็จะปล่อยไอเย็นยะเยือกเข้าจับจนเหยื่อแข็งตายคาที่ ถึงตำนานจะแตกต่างกันมามายก็ตาม แต่ที่มีส่วนเหมือนๆ กัน ก็คือ ยูกิ อนนะ เป็นผู้หญิงที่สวยมาก สวยจนมองดูด้วยตาก็รู้ว่านางไม่ใช่คนบนโลก…
นอกจากตำนานเจ้าหญิงหิมะแล้วก็ยังมี เด็กหนุ่มหิมะ ตาเฒ่าหิมะ แม่เฒ่าหิมะ จิ้งจอกหิมะ ซึ่งก็เป็นปิศาจในตระกูลเดียวกัน
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผีไม่มีหน้า (Noppera Bou นปเปะระโบว)
ผีไม่มีหน้า (ญี่ปุ่น: のっぺらぼう Noppera Bou นปเปะระโบว ?) เป็นผีญี่ปุ่นอย่างหนึ่งที่ไม่มีใบหน้า มีแต่หน้าเกลี้ยงๆ คล้ายไข่ ซึ่งแม้แต่ตา จมูก ปาก ไม่มีบนใบหน้าเลย ผีตนนี้มักเที่ยวหลอกหลอนคนผ่านทางในเวลากลางคืน มีตำนานที่เล่าขานในจังหวัดอิวาเตะ ประเทศญี่ปุ่น บางครั้งก็เรียกผีตนนี้ว่า "มุจินะ" (ญี่ปุ่น: ムジナ Mujina ?)
ตำนาน
ตามตำนาน เกิดขึ้นที่เนินทางแห่งหนึ่งในจังหวัดอิวาเตะ ในเวลากลางดึก มีชายคนหนึ่งได้เดินทางผ่านบริเวนดังกล่าวเพื่อที่จะเข้าไปในเมือง ได้พบหญิงสาวสวมชุดญี่ปุ่นคนหนึ่งมีท่าทางร้องไห้ ราวกับจะกระโดดลงแม่น้ำเพื่อฆ่าตัวตาย ชายคนดังกล่าวจึงพยายามเข้าไปปลอบใจ และเข้ามากอด และตกใจเมื่อพบว่าใบหน้าของเธอไม่มีหน้า หน้าเกลี้ยงเหมือนไข่ปลอก จึงวิ่งหนีไป ราวกับว่าเธอจะวิ่งตามมาด้วย
จนกระทั่งเขาได้มายังร้านบะหมี่แห่งหนึ่ง เจ้าของร้านได้ถามว่าไปเจออะไรมา เขาตอบว่าเจอผีไม่มีหน้า เจ้าของร้านจึงถามว่า "ลักษณะเป็นแบบนี้ใช่ไหม?" และเจ้าของร้านบะหมี่ลูบหน้าจนหน้าหายกลายเป็นผีไม่มีหน้าอีกตน ชายคนนั้นจึงตกใจและวิ่งหนีออกไปจากร้าน
เรื่องราวที่เกี่ยวกับผีไม่มีหน้านั้น มักจะเป็นผีที่มาหลอกคนที่เดินผ่านทางในเวลากลางคืน และเป็นตำนานในสมัยเอโดะ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผีสาวปากฉีก(รูปนี้ดูนานๆ หลอนจิงๆ)
ผีสาวปากฉีก (คุชิซาเกะอนนะ: 口裂け女 Kuchisake onna )
เป็นผีญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงอีกตนหนึ่ง ลักษณะของสาวปากฉีกคือ ปากจะฉีกถึงใบหู เรื่องเล่าของสาวปากฉีกมีทั้งฉบับดั้งเดิมกับฉบับปัจจุบัน ตำนานสาวปากฉีกในสมัยเฮอันเล่ามาว่า มีหญิงสาวที่งดงามยิ่งนัก ไม่เป็นรองใครในแผ่นดิน เป็นภรรยาของซามูไรที่มีชื่อเสียง แต่โชคร้ายที่สามีของเธอ สงสัยว่าเธอจะไปมีชู้ ด้วยความโกรธจึงใช้ดาบคาตานะ ตัดปากของเธอจนฉีกถึงใบหู เพื่อทำลายความงามของเธอ พร้อมทั้งถากถางว่า อย่างนี้แล้วใครจะคิดว่าเธองดงามอีก
สาวปากฉีกเมื่อตายไปจึงกลายเป็นวิญญาณพยาบาท มีพฤติกรรมที่น่ากลัว คือ มักจะยืนอยู่ตรงริมถนน ในช่วงเย็นๆถึงค่ำ ในวันที่หมอกลง และจะสวมผ้าปิดปากไว้ พอใครเดินผ่านมาจะเข้าไปทัก แล้วถามว่า ฉันสวยมั๊ย? ถ้าตอบกลับไปว่าก็สวยนิ แล้วสาวปากฉีกจะถอดผ้าปิดปากออก แล้วถามอีกครั้งว่า แล้วแบบนี้ละ? เหยื่อที่เห็นใบหน้าที่แท้จริงของสาวปากฉีก ถ้าตกใจแล้วพยายามวิ่งหนี สาวปากฉีกจะวิ่งไล่ และหนียังไงก็หนีไม่พ้น สาวปากฉีกจะเล่นงานเหยื่อโดยจะตัดให้ปากฉีกเหมือนเธอ เชื่อกันว่าหากถูกสาวปากฉีกวิ่งไล่ให้โยนขนมหวานชื่อดัง จะดึงความสนใจสาวปากฉีกไปที่อื่นได้ และยังมีเรื่องเล่าต่อเนื่องในการตอบคำถามของเธอครั้งที่สอง หากตอบว่าไม่สวยเธอก็จะวิ่งไล่และเล่นงาน แต่หากตอบว่า ก็ดูปกติดีนี่ ก็สวยดีนี่ สาวปากฉีกจะพอใจและไม่ทำร้ายเหยื่อ แล้วจากไปแต่โดยดี
สาวปากฉีกจะเป็นอันตรายกับมนุษย์หรือไม่ แล้วแต่สถานการณ์ เธอมีความรวดเร็วสูง และใช้มนต์มายาได้เล็กน้อย ชื่นชอบเวลาได้รับคำชม หรือรู้สึกว่าตัวเองสวย เกลียดคนที่พูดโกหก และคนที่กลัวเธอ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง
( Nine Tail Fox 九尾の妖狐, คีวบิโนะโยโกะ)
….ปีศาจในตำนานญี่ปุ่น คำว่า คิว (九) หมายถึง เก้า, บิ (尾) หมายถึง หาง และ (โยโกะ) หมายถึง ปีศาจจิ้งจอก โดยสามารถหมายถึงคิทซึเนะ (狐) – จิ้งจอกในนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่นมีพลังพิเศษต่างๆ
….ปิศาจจิ้งจอกเก้าหางมีที่มาจากอินเดีย, จีน และญี่ปุ่น ซึ่งนัยว่าเป็นปิศาจตนเดียวกัน คาดว่าน่าจะเป็นเรื่องของการสืบทอดวัฒนธรรมจากอินเดียไปยังจีนตามเส้นทางสายไหม และไปยังญี่ปุ่นโดยการเผยแพรทางวัฒนธรรม
จิ้งจอกเก้าหางของจีน
….เรื่องจิ้งจอกเก้าหางของจีน มีปรากฏอยู่ในตำนานเรื่อง ฮ่องสิน ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับไสยศาสตร์ และภูตผีปิศาจ โดยเรื่องราวมีอยู่ว่า พระเจ้าโจ้วหวาง (ติวอ๋อง) แห่งราชวงศ์ซางได้ไปสักการะเจ้าแม่หนวี่วา (หนึงวาสี) ในวิหารของเจ้าแม่ ตามปกติ รูปเคารพเจ้าแม่จะมีผ้าแพรบางๆ กั้นใบหน้าอยู่ บังเอิญขณะนั้นมีลมพัดผ่านมา ทำให้ผ้าแพรเปิดออก โจ้วหวางได้เห็นใบหน้ารูปเคารพของเจ้าแม่หนวี่วางดงามยิ่งนัก จึงออกปากมาว่า เจ้าแม่งดงามขนาดนี้ หากได้มาเป็นมเหสีน่าจะดี
เมื่อเจ้าแม่หนวี่วาได้ยินดังนั้น จึงกริ้วมาก รับสั่งให้ปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง, ปิศาจพิณ และปิศาจไก่ มาทำให้โจ้วหวางเกิดความลุ่มหลงจนบ้านเมืองล่มสลายเพื่อเป็นการลงโทษ แต่อย่าให้ราษฎรต้องเป็นอันตราย
….ในขณะนั้น มีนางงามนางหนึ่ง นามว่า ต๋าจี ลูกสาวของเจ้าเมืองเล็กๆ เมืองหนึ่งถูกส่งตัวเข้าวังเพื่อเป็นพระสนมของโจ้วหวาง ต๋าจี เป็นหญิงสาวที่มีรูปโฉมโนมพรรณงดงามมาก แต่หญิงงามมักอาภัพนัก จิ้งจอกเก้าหางได้แอบลอบฆ่าต๋าจี และสวมรอยเป็นต๋าจีเสียเองเพื่อลักลอบเข้าวัง
….เมื่อโจ้วหวางได้พบต๋าจีก็รู้สึกพึงพอใจในตัวต๋าจีเป็นอย่างมาก เนื่องจากต๋าจีมีรูปโฉมงดงามราวกับเจ้าแม่หนวี่วา กิริยาวาจาไพเราะอ่อนหวานราวกับเทพธิดามาแต่สรวงสวรรค์ชั้นฟ้า ยากที่จะหาหญิงใดในแผ่นดินเสมอเหมือน จิ้งจอกเก้าหางจึงได้เริ่มการทำให้โจ้วหวางลุ่มหลงในตัวนาง ซึ่งไม่ได้เป็นการยากเย็นกระไรเลย เพราะนอกจากมีความงดงามเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังสามารถร้องเพลง และเล่นดนตรีได้ไพเราะ อีกทั้งร่ายรำได้งดงาม ทำให้โจ้วหวางนานวันก็ยิ่งลุ่มหลงนางจนถอนตัวไม่ขึ้น และนางก็ได้ส่งเสริมให้โจ้วหวางทำแต่เรื่องชั่วร้าย ฆ่าคนเหมือนผักเหมือนปลาอยู่เสมอมา
….ในที่สุด ต๋าจี หรือจิ้งจอกเก้าหางก็ได้ยุให้โจ้วหวางสร้างหอสอยดาวขึ้น ยังความทุกข์ยาก และนำมาซึ่งความตายแก่ราษฎรจำนวนมากมายมหาศาลที่ต้องถูกเกณฑ์แรงงานมาสร้างหอสอยดาวนี้
แต่ในที่สุด ปิศาจทั้งสามก็ถูกผู้มีวิชาปราบลง คือ เจียงจื่อหยา(ปล. ใครอยากรู้ไปหาอ่านอนิเมะ ตำนานเทพประยุทธ์ นะเป็นตำนานของคนนี้เลย) ซึ่งได้ฝึกวิชาบนภูเขาจนกลายเป็นผู้วิเศษ ได้รับบัญชา เทียนมิ่ง จากสวรรค์ให้มาปราบทุกข์เข็ญของเหล่าราษฎร พร้อมทั้งนาจาศิษย์เอก ปิศาจทั้งสามถูกจับตัวไปให้เจ้าแม่หนวี่วาตัดสินโทษ จิ้งจอกเก้าหางเห็นว่าตนสามารถทำงานที่เจ้าแม่มอบหมายให้ ทำไมจึงยังมีโทษอีก เจ้าแม่หนวี่วากล่าวว่าได้ใช้ให้ไปทำลายแต่เพียงโจ้วหวางเท่านั้น หาได้สั่งให้ไปเข่นฆ่าผู้คนมากมายเช่นนี้ไม่ การทำเกินกว่าคำสั่งแบบนี้จำต้องถูกลงโทษ ทั้งปิศาจพิณ และปิศาจไก่จึงถูกลงโทษให้ตายตกไปตามกัน ส่วนจิ้งจอกเก้าหางนั้นหลบหนีการลงโทษไปได้ โจ้วหวางนั้น เมื่อสูญเสียเมียรักไปจึงเศร้าโศกเสียใจเป็นอันมาก เผาหอสอยดาวทิ้ง และตายในกองเพลิงนั้นเอง
..จิ้งจอกเก้าหางของญี่ปุ่น..
….ในตำนานของญี่ปุ่นได้กล่าวถึงจิ้งจอกเก้าหางว่า เป็นปิศาจที่หลบหนีมาแฝงตัวอยู่ในราชสำนักของญี่ปุ่นในรัชสมัยของจักรพรรดิ์โทบะ หลังจากที่หลบหนีมาจากอินเดีย และจีนมาแล้ว โดยแฝงตัวมาในร่างของหญิงงามนามว่า ทามาโมะ มาเอะ พระสนมของจักรพรรดิ์โทบะ นางทำให้จักรพรรดิ์โทบะลุ่มหลงในความงามของนาง และสุขภาพของจักรพรรดิ์โทบะก็ทุดโทรมลงทุกวัน จึงได้มีการอัญเชิญนักพรตจากหอองเมียวมาทำพิธีปัดรังควาน พบว่าในวังมีปิศาจจิ้งจอกเก้าหางสีทองแฝงตัวอยู่
….เมื่อความแตก ทามาโมะ มาเอะ จึงได้คืนร่างเป็นจิ้งจอกสีทองตัวมหึมา มีเก้าหาง เหาะหลบหนีไปบนท้องฟ้า กองทหารของจักรพรรดิ์โทบะได้ไล่ตามไปจนถึงที่ราบสูงนาสุ และต่อสู้กับปิศาจจิ้งจอกเก้าหาง และสามารถสยบจิ้งจอกเก้าหางลงได้ กลายเป็นหินเซ็ทโชเซกิ ซึ่งกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีชื่อแห่งหนึ่งของญี่ปุ่นมาจนปัจจุบันนี้
….อนึ่งมักเกิดความสับสนในผู้ที่เริ่มต้นศึกษาซึ่งเอาตำนานของปีศาจจอกเก้าหางมารวมกับตำนานของเทพเจ้าแห่งจิ้งจอก อินาริ (稲荷, Inari หรือ Oinari) ซึ่งแท้จริงเป็นคนละอย่างกัน อินารินั้นเป็น คามิ (神, Kami) หรือเทพเจ้าองค์หนึ่งตามตำนานของศาสนาชินโตซึ่งเป็นศาสนาดั้งเดิมของญี่ปุ่น
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ยมทูต (Psycho Pomp)
ยมทูต (อังกฤษ: Psychopomp (ออกเสียง)) “Psychopomps” มาจากภาษากรีกว่า “ψυχοπομπός” (psychopompos) ที่แปลตรงตัวว่า “ผู้นำวิญญาณ” เป็นจินตสัตว์ (creature), สิ่งที่มีจิตวิญญาณ (spiritual being), เทวดา, ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ในหลายศาสนาผู้มีหน้าที่พาวิญญาณผู้ที่เพิ่งสิ้นชีวิตไปยังดินแดนหลังความ ตาย (afterlife) หน้าที่นี้ไม่มีความเกี่ยวข้องกับการตัดสินผู้ตาย แต่เพียงนำทางเพื่อความปลอดภัย ยมทูตที่มักจะปรากฏในศิลปะเกี่ยวกับความตายจะแตกต่างกันออกไปตามแต่ประเพณีและวัฒนธรรม บ้างก็เกี่ยวข้องกับม้า, กา, สุนัข, นกฮูก, นกกระจอก หรือกวาง
ตามหลักจิตวิทยาวิเคราะห์ของคาร์ล ยุง ยมทูตคือตัวกลางระหว่างจิตใต้สำนึกและจิตสำนึก บุคลาธิษฐานของยมทูตในฝันจะเป็นนักปราชญ์ หรือ สตรี หรือบางครั้งสัตว์ที่มีความกรุณา ในวัฒนธรรมบางวัฒนธรรมชาแมนจะ ทำหน้าที่เป็นผู้นำวิญญาณ ที่อาจจะรวมทั้งการนำวิญญาณของผู้เสียชีวิต หรือ ผู้เสียชีวิตอาจจะนำทางชาแมน ในการช่วยเหลือการกำเนิด หรือการนำวิญญาณของเด็กเกิดใหม่ให้เข้ามาในโลก(หน้า 36 ของ “Shamans in Eurasia”[1]) ที่เป็นการขยายความชื่อ “หมอตำแยแก่ผู้กำลังจะสิ้นใจ” (midwife to the dying) ซึ่งเป็นอีกหน้าที่หนึ่งของผู้นำวิญญาณ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ผีสาวคอยาว
ในสมัยเอโดะ ที่บ้านของเศรษฐีที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนหนึ่ง ช่วงนั้นในหมู่บ้านมีข่าวลือหนาหูถึงผีสาวคอยาวที่ออกหาเหยื่อซึ่งเป็นชายหนุ่มยามค่ำคืนและดูดพลังชีวิตของเขาเหล่านั้น รุ่งเช้าชาวบ้านจะพบศพชายเหล่านั้นนอนตายตัวแข็งทื่ออยู่ทุกๆ คืน
แต่แล้ววันหนึ่งก็มีคนกล่าวหาว่าสาวรับใช้ในบ้านของเศรษฐีผู้นั้นเป็นผีคอยาว ซึ่งสร้างความอับอายให้กับคนในบ้านอย่างยิ่ง แต่สาวใช้คนนั้นก็ปฎิเสธอย่างที่สุดว่าเธอไม่ใช่อย่างที่ผู้คนกล่าวหา
เศรษฐีคนนั้นต้องการที่จะรู้ความจริงจึงลองพิสูจน์ตามคำแนะนำของเพื่อนบ้าน ยามดึกสงัดเขาแอบย่องไปที่ห้องของสาวใช้คนนั้นยามเธอนอนหลับ ซึ่งเขามองดูท่าทีของเธอสักระยะแต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ
แต่แล้วยามที่เขาคิดจะถอดใจและหันกลับ ฉับพลันก็มีกลุ่มควันประหลาดลอยออกมาจากช่วงบริเวณคอของสาวคนนั้น ควันเริ่มจับตัวหนาขึ้น
และแล้วเศรษฐีก็ต้องตกใจอุทานออกมา เมื่อคอยาวของสาวใช้คนนั้นกลับยืดยาวออกมาอย่างน่าประหลาดซึ่งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้ว่าเศรษฐีนั้นแอบมองอยู่ คอที่ยืดยาวนั้นลอยไปสุดถึงเพดานห้องแล้วหันซ้ายหันขวาอย่างช้าๆ ดูเหมือนว่าจะมองดูว่ามีคนเห็นหล่อนหรือเปล่า หล่อนใช้ลิ้นเลียริมฝีปากอย่างหิวโหย ทันใดนั้นเองหล่อนก็พุ่งคอออกไปที่ประตูหน้าต่างเพื่อหาเหยื่อ
เศรษฐีกลัวจนไม่กล้าที่จะอยู่ดูต่อ เขารีบวิ่งหนีไปที่ห้องนอนและคลุมโปลงอย่างรวดเร็ว เช้าวันต่อมาก็มีข่าวว่าหนุ่มชาวนาคนข้างบ้านนั้นตายอย่างหาสาเหตุไม่ได้ ชาวบ้านต่างก็มามุงดูเหตุการณ์กันอย่างชุลมุน
เศรษฐีเองได้ข่าวจึงเดินทางไปดู ก็เห็นศพหนุ่มคนนั้นนอนตายตาเหลือกและตัวซีดเซียวเหมือนไม่มีสีเลือด เขาตกใจมากเมื่อนึกถึงเหตุการ์ยามค่ำคืนที่ผ่านมา เขากลัวจนทำอะไรไม่ถูก เมื่อกลับถึงคฤหาสถ์เขาจึงตัดสินใจไล่สาวใช้คนนั้นออกจากบ้าน
สาวใช้คนนั้นได้ยินก็ตกใจและหันหน้ามามองเศรษฐีอย่างตาเหลือกตาลานเหมือนกับว่าเขาจะรู้ว่าตัวจริงของหล่อนคืออะไร เศรษฐีตกใจกลัวมาก
ในที่สุดหล่อนก็ได้เก็บข้าวของออกจากบ้านเศรษฐีมาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก และนี่เป็นตำนานที่กล่าวถึงเรื่อง โรคุโรคุบิ หรือ ผีคอยาว หนึ่งในปิศาจที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น
ตำนานยังกล่าวอีกว่าโรคุโรคุบินั้นส่วนใหญ่มีแต่เพศหญิง และจะต้องเป็นหญิงที่สวยด้วย ทั้งนี้เพราะหล่อนต้องใช้ใบหน้าภายนอกตบตาผู้คนในยามกลางวัน ตกกลางคืนคอหล่อนก็จะยืดยาวออกไปเหมือนงูที่เที่ยวออกหาเหยื่อ
ผีคอยาวนั้นต้องการเหยื่อที่เป็นชายหนุ่มเพราะหล่อนต้องการพลังวิญญาณที่กระชุ่มกระชวยเป็นพิเศษของเขาเหล่านั้น ปัจจุบันก็มีผีที่คล้ายคลึงกับโรคุโรคุบิในบ้านเรานั้นก็คือผีกระสือนั่นเอง..
( บางตำนานยังกล่าวอีกว่าผีคอยาวนั้นแท้จริงไม่ใช่ภูติปิศาจที่ไหน แต่เป็นความผิดพลาดของการถอดวิญญาณที่ไม่สมบูรณ์ จึงทำให้มีแต่วิญญาณส่วนคอเท่านั้นที่ยืดยาวออกมาได้ เหล่านักเล่นของทั้งหลายระวังตัวให้ดี เดี๋ยวจะเป็นแบบนี้ )
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แฟรงเก็นสไตน์ (frankenstein)
ตำนานผี แฟรงเก็นสไตน์ ในจำนวนผีแนวหน้า หรือระดับอินเตอร์ ดูเหมือนว่าบารอน แฟรงเก็นสไตน์ จะสามารถยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับผีตัวอื่นๆ ได้อย่างไร้ความขวยเขิน ไม่ว่าจะเป็น ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า แวมไพร์ ซอมบี้ มนุษย์หมาป่า หรือแม้แต่มัมมี่แห่งอียิปต์
ประวัติความเป็นมา
- ความจริง แฟรงเก็นสไตน์ไม่ใช่เป็นชื่อของเจ้าผีดิบรูปไม่หล่อ มีน็อตโผล่ออกมาจาก ขมับทั้งสองข้างนี่แต่อย่างใด แต่เป็นนามกรของนายแพทย์นักวิทยาศาสตร์ผู้สร้างมันขึ้นมา คือ ดร.แฟรงเก็นสไตน์ ในหนังสือที่แมรี่ เชลลี่ย์ แต่งเอาไว้นั้น เธอเรียกเจ้าผีดิบสุดขี้เหร่ตัวนี้ว่า "มอนสเตอร์" ( Monster ) หรือ อสูรกาย และเจ้าแฟรงเก็นสไตน์แต่เดิมก็ไม่ได้มีฐานะเป็น บารอน ตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้ ได้มาภายหลังเมื่อนิยายสยองขวัญเรื่องนี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์เพื่อให้ท่านบารอน แฟรงเก็นสไตน์ เป็นคู่ปรับที่สมศักดิ์ศรีกับ ท่านเคาท์แดร๊คคูล่า และเนื้อเรื่องเดิมนั้นก็ได้ถูกดัดแปลงต่อเติมซะจนเจ้าของตำรา เองเห็นแล้วอาจจะอยากร้องไห้หือผูกคอตายให้มันรู้แล้วรู้แรดไปเลย
- เจ้าผีดิบ แฟรงเก็นสไตน์ถูกสร้างขึ้นมาด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดสมองและเปลี่ยนอะไหล่ชิ้นส่วน ของอวัยวะต่างๆ แต่ก็ต้องเย็บปะทั้งตัว ที่เห็นได้ชัดเจนคือรอยเย็บตามใบหน้าและอวัยวะต่างๆ ด้วยเหตุนี้เจ้าผีดิบ แฟรงเก็นสไตน์ จึงแทบจะหาความหล่อไม่เจอ และไม่รู้ว่าทำไม ด็อกเตอร์แฟรงฯ ผู้ลงมือสร้าง แกจึงไม่เอาวิธีเกี่ยวกับศัลยกรรมเข้าช่วย อาจเป็นเพราะวิชาการแพทย์ด้านนี้ในสมัยก่อนไม่เจริญมากนัก หรือเป็นสาเหตุหนึ่งคนเขียนคงเกรงว่าถ้าขืนดึงหน้าให้มันหล่อผิดปกติ เจ้าผีดิบที่สร้างขึ้นมาใหม่นี้จะไม่น่ากลัวหวาดเสียวสยดสยองเท่าที่ควรก็เป็นได้
จุดกำเนิดของนิยายสยองขวัญ แฟรงเก็นสไตน์
- ผู้ให้กำเนิดเจ้าผีดิบไร้ความหล่อตัวนี้ คือนักประพันธ์สาวสวยชื่อว่า แมรี่ เชลลี่ย์ ซึ่งตอนนั้นเธอเพิ่งจะมีอายุเพียง 20 เศษๆ และเป็นภรรยาของ เปอร์ซี่ เชลลี่ย์ ยอดกวีโรแมนติกผู้เป็นสหายของท่าน ลอร์ด ไบรอน ยอดกวีนักรักผู้ลือนาม
- เรื่องราวของผีดิบตนนี้ เกิดนขึ้นเมื่อศิลปินทั้งสามที่เอ่ยนามมานั้น ได้เดินทางไปท่องเที่ยวประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ดินแดนแห่ง สวรรค์อันงดงาม แต่ดันไปในช่วงที่กำลังเกิดอากาศเลวร้ายจนสามศิลปินต้องนั่งจับเจ่าอยู่ที่บ้านพัก
- และเพื่อเป็นการหาอะไรทำแก้เซ็ง ทั้งสามจึงชักชวนกันแต่งนิยายผีสยองขวัญกันคนละเรื่อง แต่แมรี่เชลลี่ย์ ผู้เดียวเท่านั้นที่เขียนได้จบ ก็คือเรื่อง จอมผีดิบ แฟรงเก็นสไตน์นั่นเอง ซึ่งดังกระฉ่อนไปทั่วโลกมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1816 หรือ พ.ศ. 2359 นั่นเอง
อิทฤทธิ์ของแฟงเก็นสไตน์
- เจ้าผีดิบตัวนี้ก็เหมือนกับผีดิบ ทั่ว ไปคือถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งาน ตาม คำสั่งของเจ้านาย มีพละกำลัง มหาศาล ทำงานได้ไม่รู้จักเหนื่อย และไม่มีการอู้ อาวุธธรรมดายิง แทงหรือฟันไม่เข้า และมันก็ไม่ต้องกินอาหารหรือเลือด เพิ่มพลังเลย
วิธีสู้และป้องกันกับเจ้า แฟรงเกนนสไตน์
- เจ้าตัวนี้เป็นตัวที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีของวิทยาศาสตร์ จึงไม่น่าจะกลัวไม้กางเขน หรือสิ่งศักสิทธิ์ใดๆ อต่ถ้าโดนอาวุธใหญ่ๆ อย่างจรวด หรือขีปนาวุธเข้าไปแล้วก็คงไม่เหลือซากเหมือนกัน
การถ่ายทอดหรือการรักษาเผ่าพันธุ์
- เนื่องจากถูกสร้างมาด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์หากใครมีความรู้แขนงนี้แล้วนำศพมาผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะก็คงมีเจ้าผีดิบ แบบแฟรงเก็นสไตน์ อีกหลายตัว แต่ยังไม่เคยมีการรับรองอย่างเป้ฯทางการว่าจะใช้วิธีผ่าตัดเปลี่ยนอวัยวะแล้ว จะทำให้คนตายฟื้นคืนชีพได้ แต่คาดว่ายังคงมีการทดลองและวิจัยกันอยู่อย่าลับๆ และต่อเนื่อง
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
เคาท์แดร๊คคูล่า (Dracula)
- ในจำนวนผีเทศ หรือผีฝรั่ง เห็นจะไม่มีใครโด่งดัง และได้รับการกล่าวขวัญถึงมากไปกว่า ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าแห่ง โรมาเนีย เพราะมี เรื่องเล่าขาน ถึงประวัติความเป็นมาตลอดจนพฤติกรรมอันน่าสยดสยองของผีดิบตนนี้มานานหลาย ศตวรรษ ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง เนื่องจากตำนาน นิยายสยองขวัญและภาพยนต์ ซึ่งสร้างฉายโกยเงินไปทั่วโลกแล้วหลายสิบรอบ
Dracula ในภาษา โรมาเนีย แปลว่า "ปีศาจ" แต่เดิน ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่านั้นเป็นเจ้าชายผู้ครองแคว้น วัลลาเซียในปัจจุบันนี้รวมอยู่ในประเทศ โรมาเนีย ทวีปยุโรป เป็นดินแดนหลังม่านเหล็ก
ผู้ให้กำเนิดเคาท์ แดร๊คคูล่า
- สำหรับผู้ให้กำเนิดเคาท์ แดร๊คคูล่า ไม่ใช่ซาตานหรือจอมปีศาจอสูรกายตนไหน แต่เป็นนักประพันธ์ชาวอังกฤษมีนามว่า "แบรม สโตเกอร์" ซึ่งเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับผีดูดเลือดตนนี้ขึ้นมาจากความฝันในค่ำคืนอันเย็นยะเยือกแห่งฤดูหนาว ในปีค.ศ. 1897 และเมื่อประสบความสำเร็จก็มีภาคหรือตอนต่อๆมา เพื่อตอบสนองคอนิยายแนวสยองขวัญจนโด่งดังได้รับความนิยมไปทั่วโลก หากจะนับจำนวนครั้งที่ตีพิมพ์ การแปลเป็นภาษาต่างๆ และการนำไปสร้างเป็นภาพยนต์ฉายทั้งในโรงและจอโทรทัศน์คงต้องนำข้อมูลใส่คอมพิวเตอร์ให้ช่วยคำนวนกันเลยทีเดียว จึงไม่ต้องสงสัยว่าผีดูดเลือดรูปหล่อตนนี้ได้ทำเงินให้กับเจ้าของบทประพันธ์และผู้จัดพิมพ์ผู้สร้างภาพยนต์ไปแล้วจำนวนมากมายมหาศาลสักแค่ไหน
- ท่านอาจจะสงสัยว่า แล้วท่านเคาท์ แดร๊คคูล่าไปเกี่ยวข้องกับเจ้าชายวลาด ทีปีส แห่ง โรมาเนีย ได้อย่างไร ความจริงคือ … แม้ว่ามิสเตอร์สโตเกอร์จะเขียนเรื่องราวนี้จากความฝันของเขา แต่ก็ได้เค้ามาจากเรื่องจริงในประวัติศาสตร์ของดินแดน โรมาเนีย เกี่ยวกับเรื่องของ เจ้าชายวลาด ทีปีส แห่งแคว้น วัลลาเซีย ผู้มีความดุร้าน ทารุณโหดเ!้ยมไม่ผิดอะไรกับภูติผีปีศาจจนได้รับสมญานามว่า ท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า
- เจ้าชาย วลาด ทีปีส เป็นนักรบและนักปกครองจอมกระหายเลือด เมื่อจับนักโทษหรือศัตรูได้ จะต้องนำไปทรมานด้วยวิธีการอันสุดแสนจะพิสดารจนตาย วิธีการที่ว่านั้นคือ นำนักโทษหรือข้าศึกไปเสียบด้วยเหล็กแหลมให้ดิ้นทุรนทุรายร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวดรวดร้าว จนกว่าจพขาดใจตาย ด้วยเหตุนี้ชาวบ้าน จำพร้อมใจกันถวายสมญานามให้พระองค์ว่า "วลาด นักเสียบ" ( Vlad the Impaler )
- หากดูจากพฤติกรรมของเจ้าชายองค์นี้ ท่านผู้อ่านคงเห็นว่าสมควรแล้วที่จะได้รับสมญานามว่า ยอดนักเสียบ และ จอมซาดิสต์ผู้บ้าคลั่ง จนได้รับฉายาว่าปีศาจ หรือ แดร๊คคูล่า ตลอดชีวิตของพระองค์ ได้ฆ่าคนด้วยวิธีการต่างๆรวมทั้งวิธีทรมานอย่างที่กล่าวไว้มานับหมื่นคน แต่ในวาระสุดท้าย ผลกรรมก็ตามสนองเพราะเจ้าชายพระองค์นี้ถูกข้าศึกสังหารในสนามรบ โดยตัดเอาหัวไปด้วย ฉะนั้นหากจะให้เป็นผีดูดเลือด ก็ต้องให้รับบทผีหัวขาดด้วย
ลักษณะของท่านเคาท์ แดร๊คคูล่า
- หากดูในภาพยนต์ต่างๆ จะเห็นได้ว่าท่านเคาท์ เป็นชายหนุ่มรูปหล่อ อายุประมาณ 30 เศษ ศีรษะออกจะเถิกนิดๆหน่อยๆ ดูภูมิฐาน สมวัย มักแต่งตัวด้วยชุดสีดำคล้ายสูทแต่ยาวรุ่มร่าม เห็นแล้วดูอึดอัด นอกจากนั้นก็ยังมีผ้าคลุมไหล่สีดำอีกผืนหนึ่งเวลาแต่งตัวเต็มยศจึงดูคล้ายกับมนุษย์ค้างคาว
- นอกจากความหล่อชนิดคุณสาวๆ พอได้สบตาเป็นหลง ยอมให้ดูด แต่โดยดี ท่านเคาท์ยังมีเขี้ยวสเน่ห์ ด้านบนทั้งสอง และเวลาแยกเขี้ยวแสยะยิ้ม ก็จะดูสยองเลยทีเดียว บางตำราก็ว่า ปกติตอนไม่ได้ใช้งาน เขี้ยวก็จะหดอยู่ พอจะใช้งานหรือต้องการจะแสดงให้เห็นมันก็จะปรากฎออกมาเอง
สถานที่พำนักของท่านเคาท์แดร๊คคูล่า
- ไม่ว่าผีไทยหรือผีฝรั่งย่อมต้องกลัวแดด กลัวแสง เหมือนกัน ดังนั้นในเวลากลางวันท่านเคาท์สุดหล่อ ก็ต้องนอนพักผ่อนในโลงอัน หรูหรา ที่ซ่อนอยู่ในห้องใตดินของปราสาท ในห้องใต้ดินอันเป็นที่อาศัยของท่านเคาท์ ก็ยังมีโลงของบรรดาผีดูดเลือด สมุนบริวารอยู่อีกหลายใบ พอถึงตอนกลางคืน ทั้งหมดก็ลุกออกมาแยกย้ายกันไปหากิน
อาหารและวิธีออกหากิน
- เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า อาหารของท่านเคาท์ คือ เลือด โดยเฉพาะเลือดของบรรดาเหยื่อสาวๆ ยิ่งสาว พรมจรรย์ ยิ่งอร่อย (เขาว่างั้นนะ สงสัยผีชีกอแหงๆ ) ท่านเคาท์จะแปลงร่างเป็นค้างคาว บิน พับๆ … ออกไปล่าเหยื่อ เมื่อใกล้รุ่งเช้าก็จะรีบบินกลับ ปราสาทมานอนในโลงดังเดิม
อิทฤทธิ์ของผีดูดเลือด
- หากว่าใครตกเป็นเหยื่อของท่านเคาท์ หรือผีดูดเลือดตนอื่นๆแล้วล่ะก็ จะกลายเป็นผีดูดเลือดไปด้วย ส่วนเรื่องพละกำลังนั้นไม่ต้องสน เพราะต่อให้เรามีแรงมากแค่ไหนก็ไม่สามารถเทียบกับมันได้เลย อีกอย่างมีบางตำนานกล่าวไว้ ก็คือ แดร๊คคูล่าสามารถแปลงเป็นควันได้ แม้จะหลบหนีอยู่ในที่มิดชิดแค่ไหน ท่านเคาท์ก็ตามเข้าไปจัดการได้ ( แล้วจะหนียังไงเนี่ย )
วิธีป้องกันและจัดการกับผีดูดเลือด
- สิ่งที่ท่านเคาท์และบรรดาผีดูดเลือดกลัว คือ แสงแดด ไม้กางเขน กระเทียม เหล็กแหลม ( ใช้ตอกอก ) น้ำ
- แสงแดด ไม่ว่าผีไทยหรือผีฝรั่ง เจอเข้าเป็นร้องจ๊าก!! แสบผิวหนังไปหมดเลย จอร์จ !! จึงสบายใจได้ว่า กลางวันปลอดภัยจากผีแน่นอน
- ไม้กางเขน ดูเหมือนอันนี้เฉพาะผีฝรั่งเท่านั้นที่กลัว เพราะไม้กางเขนเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา แทนเครื่องหมายของพระเจ้า หรือจะให้ผีฝรั่งกลัวพระเครื่องของไทย อันนี้ก็ดูแปลกๆ ชาวยุโรปเชื่อว่าสามารถป้องกันผีได้อย่างดี แต่ถ้าเป็นนายกางเขนหัวกลับ จะเป็นเครื่องหมายของ ซาตาน
- กระเทียม สรรพคุณ กลิ่นแรง รสชาติเผ็ดร้อน หากลองเอากระเทียมสดๆ ยัดใส่ปากตัวเองสัก 1 กำมือ อันนี้ถึงเป็นคน ก็ทนแทบไม่ไหวเช่นกันกับตำนานท่านเคาท์ ที่ต้องกลัวกระเทียม แต่ถ้าเอาไปปรุงอาหารแล้ว ท่านเคาท์จะกลัวหรือเปล่าเนี่ย อิอิ ก็น่าคิด..
- เหล็กแหลม แน่นอน ถ้ามันวางไว้เฉยๆ ก็ดูไม่น่ากลัวอะไร แต่นี่คือ อาวุธของพระเอกสำหรับจัดการ ท่านเคาท์ โดยการรอจนเช้าแล้ววิ่งเข้าไปห้องใต้ดินที่เก็บร่างของท่านเคาท์ เอาเหล้กแหลมตอก หรือจิ้มลงไปบนอกของผีร้าย( โลงของท่านเคาท์ยิ่งหาง่าย เพราะจะติดแอร์ มีเสาอากาศ สายโทรศัพท์ ต่ออินเตอร์เนต ฯลฯ จริงๆแล้วเป็นโลงที่อยู่เด่นชัดและหรูกว่าของชาวบ้านนั่นเอง ) เท่านี้ บรรดาผีดูดเลือดก็ ม่องเท่ง ไปตามๆกัน ยิ่งเอากระเทียมยัดปากเพื่อความมั่นใจ ยิ่งดีใหญ่
- น้ำ อันนี้ไม่รู้ท่านเคาท์จะกลัวทำไม หรือว่ากลัวว่าไม่มีกลิ่นสาบ ถึงแม้จะรูปหล่อถ้ามีแต่กลิ่นเน่า สาวๆ คงไม่หลงเป็นแน่ ถ้าใครพบผีดูดเลือด ลองหลอกพาไปอาบอบนวดสัก ชม. รับรอง เด๊ดสะมอเร่ตามระเบียบ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
กัปปะ (Kappa)
กัปปะ (Kappa) ผีญี่ปุ่นชนิดหนึ่ง เป็นผีจำพวกพรายน้ำ มีรูปร่างหน้าตาคล้ายกบ ตัวสีเขียว แต่มีกระดองเต่าอยู่ข้างหลัง เท้ามีพังผืดทั้งเท้าหน้าและเท้าหลัง จมูกแหลม มีลักษณะศีรษะที่แบนและกลางกระหม่อมไม่มีผม เป็นปีศาจที่อาศัยอยู่ตามหนองน้ำหรือแหล่งน้ำต่าง ๆ เชื่อว่า อาหารที่กัปปะชอบคือ แตงกวา ชอบเล่นซูโม่เพราะมีพละกำลังเยอะ ลักษณะพิเศษคือ มีจานอยู่บนหัวไว้เก็บน้ำ ซึ่งน้ำจะทำให้กัปปะมีพลังพิเศษ และมีพละกำลังมากขึ้น ในทางกลับกันถ้าสูญเสียน้ำไป กัปปะจะอ่อนแรงลงอย่างมาก ถึงขนาดที่ไม่สามารถขยับตัวได้ ถึงแม้ว่ากัปปะจะมีรูปร่างพอๆกับเด็ก แต่ก็เป็นผีที่เอาชนะได้ยาก มันมีปากแหลมเหมือนนก ผิวเป็นเมือกลื่น อาจมีสีเขียว น้ำเงิน หรือแดง มือเป็นผังผืด ที่หลังจะมีกระดองเต่า มีขนดกทั่วตัว แขนขาของกัปปะยาว และยืดหยุ่นได้ เมื่อกัปปะขึ้นจากน้ำจะหมดฤทธิ์ จึงใส่น้ำไว้บนศีรษะที่แบนราบของตัวเอง ดังนั้นเมื่อพบเจอกับกัปปะให้ก้มคาราวะ เมื่อกัปปะคาราวะตอบ น้ำบนศีรษะจะหก ทำให้หมดฤทธิ์ และ อีกวิธี ก็คือ ให้เขียนชื่อตัวเอง ลงไปในแตงกวา แล้วขว้างลงไปในแม่น้ำ เมื่อ กัปปะ มาเจอแตงกวานี้เข้าก็จะกินอย่างเอร็ดอร่อย และ ก็จดจำชื่อ ที่อยู่บนแตงกวาด้วย คราวหน้าบังเอิญต้องเจอะเจอเจ้าของชื่อ กัปปะ ก็จะไม่ทำอันตรายอะไร ปัจจุบันมีซูชิชนิดหนึ่ง ไส้แตงกวา เรียกว่า "กัปปะ มากิ"
กัปปะมีความมั่นใจในพละกำลังตัวเองมาก มักจะท้ามนุษย์ในการแข่งซูโม่ จึงมีเรื่องเล่าว่า คนที่ฉลาดจะทำความเคารพกัปปะก่อนเริ่มการประลอง ด้วยการก้มศีรษะ แล้วกัปปะจะก้มตาม ทำให้น้ำกระฉอกออกจากจาน กัปปะจะอ่อนแรงลง และพ่ายแพ้ในที่สุด ซึ่งจะทำให้กัปปะเสียใจอย่างมาก นิสัยของกัปปะ คือ ชอบกินแตงกวา ในฤดูเก็บเกี่ยวแตงกวาของเกษตรกร ที่ญี่ปุ่นจึงมีธรรมเนียมการลอยแตงกวาลงแม่น้ำ เพื่อเซ่นวารีเทพ และทำทานให้ผีอดโซ เป็นที่มาของเรื่องเล่าที่ว่า หากชายใดแก้ผ้าลงเล่นน้ำในแม่น้ำ อาจถูกกัปปะดึงของลับ เพราะเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแตงกวาที่เอามาเซ่น กัปปะมีนิสัยที่ขี้เล่นและอยากรู้อยากเห็น ซึ่งบางครั้งก็เป็นอันตรายกับมนุษย์
กัปปะมีความอันตรายเช่นเดียวกับผีร้ายอื่นๆ มีเรื่องเล่าอยู่เสมอๆ ว่ากัปปะเคยหลอกล่อให้คนลงไปในน้ำ มักจะลากม้า หรือเด็กๆลงแม่น้ำจนจมน้ำตาย หากถูกชาวประมงจับได้ มันจะปล่อยตดออกมาป้องกันตัว ซึ่งเหม็นบรรลัย ทั้งยังมีเรื่องเล่าที่ว่า กัปปะจะคอยแอบอยู่แถวๆ ส้วม เมื่อคนเผลอมันจะแกล้งโดยใช้นิ้วสวนทวาร ซึ่งพฤติกรรมพิเรนนี้ อาจทำให้มันถูกคนจับตัวได้ แต่กัปปะมีความสุภาพอ่อนน้อมและมีสัมมาคาราวะมาก กัปปะเป็นพรายที่มีความคิดความรู้สึกผิด มันจะขอโทษโดยการจับปลามาให้ที่หน้าประตูบ้านทุกวัน หรือไม่ก็มอบยาสมุนไพรชั้นเลิศที่มันปรุงขึ้นมาให้ ซึ่งกัปปะมีความเชี่ยวชาญด้านการปรุงยาลี้ลับอย่างมาก
ความเชื่อเรื่อง กัปปะ มีกระจายไปทั่วประเทศญี่ปุ่น มีตำนานเล่าว่ามีช่างไม้ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่ง ชื่อ ฮิดาริจินโกโร่ อ้างว่าตุ๊กตาไม้ที่เขาทำโยนลงน้ำ กลายเป็นกัปปะไป อีกตำนานก็เล่าว่า เดิมกัปปะเป็นเทพที่ดูแลแม่น้ำลำคลอง แต่เมื่อมนุษย์เลิกนับถือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กัปปะเลยตกชั้นเป็นเพียงภูติผีธรรมดา
อาจเป็นไปได้ว่า สิ่งที่มีบุคคลเห็นปีศาจชนิดนี้ คือ สัตว์บางประเภทเช่น นาก หรือ ลิง มาก้มดื่มน้ำในเวลากลางคืนก็ได้ ปัจจุบัน เรื่องราวของกัปปะถูกสร้างเป็นภาพยนตร์ ละคร หรือการ์ตูนต่าง ๆ มากมาย เช่น ตัวละคร ซูเนโอะ ในเรื่องโดราเอมอน ก็นำมาจากกัปปะนั่นเอง โดยมากแล้ว กัปปะ ที่ปรากฏตามสื่อต่าง ๆ นั้น มักจะไม่มีภาพของความน่ากลัวหรือเป็นอันตราย ซึ่งต่างไปจากความเชื่อดั้งเดิม
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------
แค่นี้ก่อนละกัน (หลอนผีสาวปากฉีกจิงๆนะ...)
ใครชอบคอมเม้นไว้เน้อ(กลัวแต่ชอบเหมือนกัน) จะได้มีภาค 2 หุหุ
ขอขอบคุณข้อมูลหลอนๆ จาก
tumnandd.com
เรื่องของเหล่าสุดยอดผี ที่คุณอาจยังไม่รู้!!!