แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย OnceFor_ME เมื่อ 2014-1-6 20:55
10. Uruguayan air force flight 571
เรื่องราวการรอดชีวิตที่ทั้งน่าเอาใจช่วย และน่าสยดสยองในคราวเดียวกัน...
12 ต.ค. 1972 เครื่องบินแฟร์ไชด์ FH-227D เที่ยวบินที่ 571 ของกองทัพอากาศอุรุกวัยพร้อมผู้โดยสาร 45 ชีวิต บินออกจากท่าอากาศยานคาร์ราสโก มุ่งหน้าไปยังซานติเอโก้ ประเทศชิลี เพื่อนำนักรักบี้ทีมโอลด์คริสเตียนส์ของมหาวัทยาลัยสเตลล่ามาริสไปแข่งนัดกระชับมิตร แต่เนื่องจากสภาพอากาศในวันเดินทางค่อนข้างแย่ในวันที่ 13 ต.ค.1972 ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น!
15.30 น. ขณะแฟร์ไชด์กำลังบินอยู่เหนือเทือกเขาแอนดีส พวกเขาเจอสภาพอากาศแปรปรวนอย่างรุนแรงจนเครื่องพยุงตัวไม่ได้ ต้องลงจอดฉุกเฉินที่ยอดเขาแห่งหนึ่งบนเทือกเขาแอนดีส ตัวเครื่องกระแทกพื้นอย่างแรกจนปีกและท้ายหัก ผู้โดยสารบางคนกระเด็นออกไปตายนอกเครื่อง บางคนตายเพราะการกระแทก รวมแล้วตายทันที 12 ศพ ที่เหลือก็ต้องติดอยู่บนความสูง 10,300 ฟุตซึ่งมีหิมะหนาถึง 15 เมตร ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร ประทังชีวิตด้วยช็อกโกแล็ตที่มีเพียงน้อยนิด และน้ำที่ลำลายจากหิมะ ด้วยสภาพที่เลวร้ายจึงทำให้ทยอยตายลงไปทีละคนๆ ศพถูกขนไปฝังไว้ใต้กองหิมะ
วันที่ 9 หลังเครื่องตก ความหิวเกาะกินพวกเขาอย่างหนัก คาเนสซ่า หนึ่งในผู้รอดชีวิตเสนอไอเดียให้กินเนื้อศพที่ฝังไว้เพื่อประทังชีวิต แรกๆ ก็โดนค้านอย่างรุนแรง แต่เมื่อเวลาผ่านไป 2 อาทิตย์ ศพแรกก็ถูกขุดขึ้นมาโดยมีคาเนสซ่าเป็นหัวโจก เขาใช้มีดเฉือนเนื้อเป็นชิ้นบางๆ แล้วกลืนลงคอ หลายคนยังปฏิเสธการกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน แต่หลังจากศพแรกหมดไป การกินเนื้อคนก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปทันที ศพค่อยๆ ถูกขุดขึ้นมาทีละร่าง และเริ่มพัฒนาจากการกินเนื้อดิบไปเป็นการย่างบนฟอยล์
4 อาทิตย์หลังเกิดเหตุ พวกเขาตัดสินใจส่งตัวแทน 3 คนที่ยังพอมีแรงเดินลงเขาไปขอความช่วยเหลือ แต่ 2 วันหลังจากนั้นก็ทำได้แค่เดินหลงทางวนเวียนก่อนจะกลับมาที่ซากเครื่องอย่างสิ้นหวัง เวลาผ่านไปจนเข้าอาทิตย์ที่ 7 คาเนสซ่าเริ่มเสนอให้ทุกคนกินสมองของศพเพราะเป็นส่วนที่มีแร่ธาตุมากที่สุด ในขณะเดียวกันก็ยังพยายามเดินลงเขาไปหาความช่วยเหลืออยู่ตลอด
16 ธ.ค.1972 คาเนสซ่าและปาร์ราโด้ สองตัวแทนที่อาสาเดินลงเขาก็ได้พบพื้นที่ปศุศัตว์และวัวตัวหนึ่ง และอีก 5 วันถัดมาเขาก็ได้พบชาวนาอยู่ทางฝั่งแม่น้ำตรงข้าม และได้นำความช่วยเหลือมาสู่ 16 ผู้รอดชีวิตในที่สุด รวมเวลาตั้งแต่เครื่องตกจนถึงวันที่ได้รับความช่วยเหลือทั้งสิ้น 72 วันเต็มๆ!
2. Aron Ralston
เรื่องราวของนักปีนเขาคนนี้โด่งดังไปทั่วโลกเพราะถูกนำมาสร้างเป็นหนังที่เข้าชิงรางวัลออสการ์เรื่อง 127 Hours...
เดือน พ.ค. 2003 แอรอน ราลสตัน กำลังสนุกกับการไต่หน้าผาในบลูจอห์นแคนยอน (อุทยานแห่งชาติแคนยอนแลนด์ มลรัฐยูทาห์) ระหว่างที่เขามุดลงไปในซอกหินขนาดใหญ่อยู่นั้นเอง จู่ๆ หินก้อนใหญ่ก็หล่นลงมาทับแขนขวาของเขาเข้าอย่างจัง ทำให้เขาต้องติดแหง็ก ทิ้งตัวห้อยต่องแต่งคาอยู่อย่างนั้น
ราลสตันรู้ดีว่าไม่มีใครหาเขาเจอแน่ๆ และถ้ายังติดแหง็กอยู่ยังงี้ สิ่งที่เขาเขาทำได้ก็มีแต่การนับถอยหลังรอความตายเท่านั้น เขาใช้เวลาระหว่างที่พยายามหาทางให้แขนหลุดออกมา ด้วยการใช้มีดพกสลักชื่อ วันเดือนปีเกิด และคำนวณวันตายของตัวเอง เนื่องจากขนมและน้ำกำลังจะหมดลงในไม่ช้า พร้อมทั้งพูดสั่งเสียและบรรยายความรู้สึกถึงทุกคนที่รักลงในวิดีโอเทป
ระหว่างที่ต้องติดแหง็กอยู่ในช่องหินแคบๆ นี้ทำให้เขาต้องผจญกับสภาพอากาศสุดเลวร้าย และได้คิดทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง จนในที่สุดเมื่อเวลาล่วงเคยเข้าสู่วันที่ 5 ของอุบัติเหตุเขาก็ตัดสินใจครั้งเด็ดขาด ในเมื่อเขาหาวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว และสิ่งที่ทำให้เขาต้องติดอยู่ในที่แคบๆ แห่งนี้มีเพียงแขนขวาเท่านั้น เขาจึงใช้มีดพกตัดแขนของตัวเองเพื่อปลดเปลื้องพันธนาการนี้ซะ ด้วยการเฉือนเนื้อ หักกระดูก แล้วตัดเส้นเอ็น ก่อนจะทิ้งตัวลงจากความสูง 65 ฟุต และกัดฟันปีนเขาด้วยระยะทางอีกกว่า 8 ไมล์ จนได้รับความช่วยเหลือในที่สุด
8. 33 miners in Chile
ปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง เมื่อ 33 คนงานเหมืองในชิลีรอดจากอุบัติเหตุเหมืองแร่ครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ชิลีมาได้...
5 ส.ค. 2010 เกิดอุบัติเหตุเหมืองแร่ทางตอนเหนือของทะเลทรายในชิลีถล่ม ทำให้คนงาน 33 ชีวิตโดนขังอยู่ใต้พื้นดินลึก 700 เมตรทันที เดชะบุญ ที่นั่นยังมีออกซิเจน น้ำ และอาหารเพื่อประทังชีวิต
3 วันต่อมา หน่วย:X้ภัยเริ่มการขุดเจาะเพื่อส่งท่อที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 ซ.ม. เพื่อพยายามระบุตำแหน่งของคนงานทั้ง 33 ชีวิตให้ได้ โดยประธานาธิบดีปิเนรายืนยันว่า รัฐบาลจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตพวกเขาให้ได้ แม้จะมีความหวังอยู่เพียงน้อยนิด ก่อนที่ชาวชิลีทั้งประเทศจะได้ดีใจครั้งใหญ่ครั้งแรกหลังเกิดเหตุ เมื่อทางการสามารถแพร่ภาพคนงานทั้ง 33 คนทางทีวีได้เป็นครั้งแรก หลังจากติดอยู่ใต้เหมืองมานาน 17 วัน และรุ่งขึ้นหน่วย:X้ภัยก็เริ่มส่งกลูโคสและน้ำลงไปให้เพิ่มเติม
7 ก.ย.2010 ซึ่งเป็นวันชาติของชิลี ชาวเมืองต่างเฉลิมฉลองการเป็นอิสระภายใต้การปกครองของสเปนครบ 200 ปี และทีม:X้ภัยก็สามารถระบุตำแหน่งของคนงานได้สำเร็จ ทำให้วันรุ่งขึ้นมีคลิปวิดีโอแพร่ภาพคนงานทั้ง 33 ชีวิตที่พร้อมใจกันร้องเพลงชาติ และเต้นรำกันอย่างรื่นเริงจากใต้เหมือง ก่อนที่เดือนต่อมา ทีม:X้ภัยจะได้ส่งท่อ T-130 (Plan B) ความยาว 624 เมตร ถูกส่งลงไปยังตำแหน่งของคนงาน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการช่วยชีวิต
13 ต.ค.2010 ปฏิบัติการช่วยชีวิตเริ่มต้นขึ้น โดยการส่งทีม:X้ภัยลงไปทางแคปซูล พร้อมกับการขุดอุโมงค์อย่างระมัดระวัง จนในที่สุดคนงานคนแรกคือ ฟลอเรนซิโอ อวาลอส ก็ได้รับการช่วยชีวิตขึ้นมาได้สำเร็จเป็นคนแรก โดยมี ปธน.ปิเนราของชิลีเดินทางมารับขวัญด้วยตนเอง ก่อนที่จะทยอยช่วยคนงานที่เหลือจนครบทั้ง 33 ชีวิต ถือเป็นปาฏิหารย์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
7. Winnie Tilin
หนูน้อยวัย 16 เดือนรอดตายจากเหตุแผ่นดินไหวในเฮติเมื่อต้นเดือน ม.ค.2010 ทั้งที่ติดอยู่ใต้ซากอิฐนาน 68 ชั่วโมง!
ขณะเจ้าหน้าที่:X้ภัยกำลังเร่งช่วยเหลือผู้รอดชีวิตหลังเหตุแผ่นดินไหวมาแล้ว 68 ชั่วโมง จู่ๆ ไมค์กี้ อามอร์ ผู้สื่อข่าวสาวของช่องโทรทัศน์ออสเตรเลียซึ่งลงพื้นที่ไปทำข่าวแผ่นดินไหวที่กรุงปอร์โตแปรงซ์ ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องออกมาจากใต้ซากปรักหักพังที่เธอกำลังยืนรายงานข่าวอยู่ เธอจึงรีบเดินไปทางต้นเสียง และก็ได้พบกับแม่หนูน้อย วินนีย์ ทิลิน วัย 16 เดือนที่กำลังติดอยู่ใต้ซากบ้านของเธอเอง ไมค์กี้จึงช่วยดึงแม่หนูออกมาอย่างปลอดภัย สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนสุดๆ ที่เธอยังมีลมหายใจอยู่ได้ แถมยังดูมีสุขภาพแข็งแรงเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้นเลย ทั้งๆ ที่ติดอยู่ที่นี่มานานถึง 68 ชั่วโมงโดยไม่มีทั้งน้ำและอาหาร
6. Poon Lim
อากงหนังเหนียวถ่อแพกลางมหาสมุทรแอตแลนติกนาน 133 วัน รอดปาฏิหาริย์...
ปี 1942 (ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนั้นอากงอายุ 24 ปี) เป็นกะลาสีในเรือพาณิชย์ของอังกฤษที่ชื่อ SS Ben Lomond เดินทางจากแอฟริกาใต้มุ่งหน้าไปยังแคว้นสุรินัมของฮอลันดา แต่ขณะกำลังข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกอยู่นั้น เรือก็โดนตอร์ปิโดของเรือดำน้ำเยอรมันเข้าอย่างจัง เขารีบสวมเสื้อชูชีพแล้วกระโดดลงพื้นน้ำทันที เดชะบุญ... หลังจากตะเกียกตะกายว่ายน้ำเอาชีวิตรอดอยู่ 2 ชั่วโมง ก็มีลังเสบียงขนาดยักษ์ลอยน้ำผ่านมา ในนั้นมีบิสกิต น้ำจืด และอุปกรณ์อย่างอื่นอีกเพียบ เขารีบปีนขึ้นไปบนลังทันที จัดการดัดแปลงมันให้เป็นแพพร้อมดำรงชีวิตอยู่บนนั้นเพื่อรอหน่วย:X้ภัย
ด้วยสถิติการลอยเท้งเต้งอยู่ในมหาสมุทรยาวนานถึง 133 วัน ทำให้อากงกลายเป็นมนุษย์ที่รอการช่วยเหลืออยู่ในทะเลนานที่สุดในโลก เขาดื่มน้ำจากน้ำฝนที่รองจากผ้าใบหลังคา ใช้เล็บที่งอกออกมาจนยาวเฟื้อยแทนฉมวกแทงปลา นั่นเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขามีชีวิตอยู่รอดมาได้
ครั้งหนึ่ง มีเรือหาปลาแล่นผ่านมาเจออากงเข้าโดยบังเอิญ แต่ลูกเรือดันไม่ยอมช่วยแกด้วยสาเหตุเพียงเพราะแกเป็นคนจีน และอีกครั้งหนึ่งที่เครื่องบินรบของอเมริกามาเห็นแกเข้า และพยายามโยนเรือชูชีพลงมาช่วย แต่ระหว่างนั้นดันเกิดลมพายุขึ้นมากะทันหัน พัดแกให้ลอยจากไปไกลซะได้
31 มี.ค. 1943 อากงสังเกตเห็นว่าสีของน้ำทะเลเปลี่ยนไป นั่นเป็นสัญญาณว่าแพอยู่ไม่ไกลจากฝั่งแล้ว และอีกห้าวันต่อมา ในวันที่ 5 เม.ย.1943 หรือ 133 วันหลังเกิดเหตุ แพของอากงก็ลอยเข้ามาในอ่าวและได้รับการช่วยเหลือโดยชาวเลเลือดบราซิลเลี่ยน สิ้นสุดการเดินทางที่โคตรจะยาวนานและทรมานลงจนได้
อากงน้ำหนักลดลงไป 9 กิโล แต่ก็ยังสามารถเดินได้ เขาพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลที่บราซิล 2 อาทิตย์ ก่อนที่กงสุลอังกฤษจะมารับตัวเขากลับ... อากงเล่าหลังจากนั้นว่า ตลอดเวลาที่อยู่บนแพ แรกๆ เขาก็เฝ้านับวันนับคืนรอว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาช่วย แต่ยิ่งนับยิ่งรู้สึกว่ามันนาน ก็เลยเปลี่ยนมานับเฉพาะคืนเดือนเพ็ญแทน
5. Sir Ernest Shackleton
วีรบุรุษผู้ใช้เรือแจวลำเล็กๆ ด้วยเวลาถึง 2 ปี จนสามารถพิชิตขั้วโลกใต้และรอดชีวิตกลับมาได้!
เซอร์ เอิร์นเนสต์ แช็คเคิลตัน ยอดนักสำรวจชาวไอริช มนุษย์ที่ทำให้สิ่งซึ่งคนธรรมดาเห็นว่าเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ แรกเริ่มนั้น เขาเข้าร่วมภารกิจที่เรียกว่า Discovery Expedition ในปี 1901 ร่วมกับ โรเบิร์ต สก็อตต์ และ เอ็ดเวิร์ด วิลสัน เป้าหมายคือการไปปักธงใกล้กับขั้วโลกใต้ให้ได้มากที่สุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ แต่แช็คเคิลตันถูกสก็อตต์ส่งกลับบ้านซะก่อนด้วยปัญหาขัดแย้งบางประการ หลังจากนั้นเขาจึงความมุ่งมั่นที่จะทำภารกิจให้สำเร็จด้วยตัวเองให้ได้ โดยการตั้งโปรเจ็กต์ของตัวเองในชื่อ Nimrod Expedition เป้าหมายสุดยอดคือไปปักธงให้ใกล้ขั้วโลกใต้มากกว่าที่สก็อตต์เคยทำไว้ให้จงได้ ในปี 1907 เขามุ่งหน้าลงเรือลำเล็กพร้อมลูกเรืออีก 3 คนและเสบียงอีกเพียงเล็กน้อย มุ่งหน้าสู่การพิชิตขั้วโลกใต้
การเดินทางด้วยเรือพายในทะเลใหญ่ภายใต้สภาพอากาศแปรปรวนเป็นภารกิจที่เหลือเชื่อ แม้ทุกคนจะบอกว่านี่คือการฆ่าตัวตายชัดๆ แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นเดินหน้าต่อไป แม้จะต้องผ่านอุปสรรคมหาโหดมากมาย ทั้งเรือติดอยู่ในธารน้ำแข็งแอนตาร์กติกนานนับปี เรือแตกเพราะโดนธารน้ำแข็งบดละเอียด ต้องติดค้างอยู่บนภูเขาหิน ติดอยู่บนเกาะท่ามกลางอากาศเลวร้าย ฯลฯ แต่แล้วในวันที่ 9 ม.ค.1909 เขาและลูกเรือทั้งสามก็สามารถปักธงลงบนพิกัด 88 องศา 23 ลิปดาใต้ได้สำเร็จ ห่างจากจุดที่ถือว่าเป็นขั้วโลกใต้เพียง 112 ไมล์เท่านั้น ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโลกการผจญภัย!
แช็คเคิลตันและลูกเรือเดินทางกลับขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย พร้อมสิ่งสำคัญที่สุดซึ่งก็คือแผ่นฟิล์มและรูปถ่าย ที่ถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะยืนยันต่อชาวโลกว่าเขาได้ไปพิชิตมาจริง กลายเป็น The Greatest Adventures of All Time ที่คนจดจำมาจนวันนี้
4. Mike the headless chicken
ตะลึงกันไปทั้งโลก เมื่อเจ้ากุ๊กไก่หัวหลุดสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 6 เดือน!
เจ้าไมค์เป็นไก่ฝรั่งธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่าไก่ทั่วไป อาศัยอยู่กับครอบครัวชาวนาตระ:Xลโอลเซ่น ในมลรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา... เขาเลี้ยงมันไว้เพื่อทำอาหารเหมือนในบ้านเรานี่แหละ!
พออายุได้ 18 เดือนก็ถึงกำหนดที่มันจะต้องสังเวยชีวิตทดแทนพระคุณเจ้าของ ในวันที่ 10 ก.ย.1945 แม่บ้านของครอบครัวโอลเซนก็จับมันมาขึ้นเขียง เรื่องราวดำเนินไปโดยปกติ เพราะเกิดมาเป็นไก่ยังไงก็ต้องโดนเชือดอยู่วันยังค่ำ แต่เรื่องมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อแม่บ้านใช้มีดฟันฉับลงไปจนหัวมันหลุดกระเด็นออกมา นึกว่ามันตายแล้วก็เลยเผลอปล่อยมือ... เท่านั้นแหละ มันวิ่งหนีจากเขียงกลับเข้าเล้าซะดื้อๆ!
กระทั่งวันรุ่งขึ้น เจ้าไมค์ก็ยังตื่นมาคุ้ยเขี่ยหาอาหารร่วมกับไก่ตัวอื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าของเองก็ยากรู้ว่ามันจะอยู่ไปได้อีกนานเท่าไหร่ จึงยังคงให้อาหารต่อไปเรื่อยๆ โดยใช้ที่หยอดตาหยอดน้ำข้าวโพดลงทางหลอดอาหาร และช่วยดูดเสมหะด้วยเข็มฉีดยา และมันก็ยังสามารถเติบโตได้เหมือนไก่ปกติ น้ำหนักเพิ่มเอาๆ แบบไม่เกรงใจใคร
เจ้าไมค์กลายเป็นไก่ที่ดังเป็นพลุแตก เมื่อเจ้าของจับมันออกเดินสายโชว์ไปตามงานวัด จนนิตยสาร Time มาทำสารคดีชีวิตของมัน ตั้งแต่นั้นค่าตัวของมันก็พุ่งพรวด ใครอยากดูตัวเป็นๆ ต้องจ่ายค่าตั๋ว 25 เซนต์ เคยมีคนมาเสนอเงินซื้อ 4,500 ดอลลาร์แต่เจ้าของก็ไม่ยอมขาย จนกระทั่งในเดือนมีนาคม 1947 ขณะกลับจากเปิดวิกโชว์ตัว เจ้าไมค์ก็ดิ้นทุรนทุรายตายกลางดึกเพราะเจ้าของดันลืมทำความสะอาดหลอดลม ทำให้มีเมล็ดข้าวโพดเข้าไปอุดจนหายใจไม่ออก รวมสิริอายุของเจ้าไมค์ได้ 18 เดือน เรื่องของมันกลายเป็นตำนานของโคโลราโด ถึงขนาดมีการจัดงาน Mike the Headless Chicken Day ขึ้นทุกปีเพื่อระลึกถึงมัน ในสุดสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน พ.ค. ตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา
หลายคนต่างถกเถียงกันว่าทำไมเจ้าไมค์ถึงยังมีชีวิตอยู่ได้ ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ คมมีดมันตัดไม่โดนหลอดเลือดแดง แม้สมองและการได้ยินจะสูญเสียไปแล้ว แต่หัวใจยังสูบฉีดเลือดได้ มันจึงยังคงเติบโตได้ตามปกติ
3. Wenseslao Moguel
ยิ่งฟังยิ่งขนลุก... คนอะไร โดนยิงเป้า 8 หนแต่ไม่ยักกะตาย!
ช่วงปฏิวัติของประเทศเม็กซิโก ผู้คนต่างล้มตายกันเป็นเบือ โดยเฉพาะพวกหัวรุนแรงที่ถูกจับแล้วโดนทหารสั่งยิงเป้า แต่กรณีนี่ใช้ไม่ได้กับเจ้าหนุ่ม เวนเซสลาโอ โมเกล
เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้โดนจับเมื่อวันที่ 18 มี.ค.1915 และถูกพิพากษาประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า จากคดีทางการเมืองที่ถือว่าร้ายแรงมากในขณะนั้น โดยการยิงเป้าแบบนี้จะมีลักษณะคือ จับมาผูกผ้าคาดตาแล้วยืนให้ทหารล้อมยิงเหมือนกับที่เราเคยเห็นกันในหนัง
เรื่องราวดำเนินไปตามปกติ เจ้าหนุ่มน้อยโดนจับผูกตาแล้วยืนเรียงแถวหน้ากองทหาร แต่แล้วก็เกิดเรื่องมหัศจรรย์ เมื่อคำสั่งยิงชุดแรกหลุดออกจากปาก ผบ. กระสุนถูก:Xเข้าใส่จนควันคลุ้ง แต่เจ้าหนุ่มโมเกลก็ยังไม่ตาย แม้จะโดนยิงซ้ำถึง 8 ชุดก็ยังคงนอนหายใจรวยริน ขนาดโดนจ่อหัวยิงเผาขนเขาก็ยังไม่ได้ จนผลยิงเห็นว่าเจ้าหมอนี่มันดื้อด้านเกินมนุษย์ก็เลยท้อและเดินจากไปดื้อๆ นั่นแหละถึงทำให้เขารอดอย่างเป็นทางการ
2. Juliane Koepcke
เครื่องบินตกกลางป่าดงดิบในเปรู คนตายหมดทั้งลำ แต่เจ๊แกเป็นหนึ่งเดียวที่ยังรอดชีวิตกลับออกมาได้!
24 ธ.ค.1971 จูเลียเน ค็อปเค นักศึกษาสาวชั้นปีที่ 4 อายุ 24 ปี เป็นหนึ่งใน 93 ผู้โดยสารบนเครื่องบินของสายการบิน Lansa เที่ยวบิน 508 เดินทางจากรุงลิมาเพื่อกลับไปหาพ่อ แต่เครื่องบินโดนฟ้าผ่าขณะบินเหนือผืนป่าดงดิบในประเทศเปรู เธอกระเด็นออกนอกเครื่องขณะยังถูกเข็มขัดนิรภัยยึดแน่นอยู่กับเก้าอี้ ก่อนจะตกสู่พื้นเบื้องล่างห่างจากจุดที่โดนฟ้าผ่าออกไป 2 ไมล์ ซึ่งมีสภาพเป็นป่ารกทึบ แม้ผู้โดยสาร ลูกเรือ และนักบินทั้ง 91 ชีวิตจะต้องสังเวยให้กับอุบัติเหตุในครั้งนี้ แต่เธอรอดออกมาได้พร้อมตาที่บอดไปข้างหนึ่ง ไหปลาร้าหัก และแผลถลอกฟกช้ำอีกพอสมควร
ภายใต้ความตื่นตระหนก แต่เธอยังตั้งสติและนึกถึงคำของพ่อผู้เป็นนักชีววิทยาที่เคยสอนไว้ว่า น้ำไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ ที่ไหนมีน้ำที่นั่นมีหมู่บ้าน จูเลียเนซึ่งตอนนั้นสวมมินิสเกิร์ตกับรองเท้าแตะ พยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด อาศัยของป่ากินประทังชีวิตผจญกับสัตว์ดุร้ายนานาชนิดนานถึง 9 วันเต็มๆ ในที่สุดเธอก็เจอกระท่อมเล็กๆ กลางป่า ทำให้เธอได้อาศัยน้ำสะอาดล้างและแต่งบาดแผลของตัวเอง และรอจนเจ้าของกระท่อมกลับมาเจอจึงรอดชีวิตออกมาได้ หลังเหตุการณ์นี้ เธอจึงตัดสินใจเรียนต่อจนจบและได้เป็นสัตววิทยาตามรอยพ่อแม่ของเธอ
1. Paul Templer
คนอะไร โดนฮิปโปงับหัวแต่ยังอุตส่าห์จะรอดมาได้อีก!
หลังคร่ำหวอดอยู่ในกองทัพแห่งสหราชอาณาจักรอยู่หลายต่อหลายปี และท่องเที่ยวผจญภัยในโลกกว้าง เผชิญอันตรายสุดโหดมาแล้วนักต่อนัก ในที่สุด พอล เทมเปลอร์ ก็ตัดสินใจลงหลักปักฐานในประเทศซิมบับเว ดำรงชีวิตด้วยการเป็นไกด์แม่น้ำท้องถิ่น กิจวัตรประจำวันของเขาคือการพานักท่องเที่ยวลงเรือชมความงามของแม่น้ำแซมเบวี่
ทัวร์แล้วทัวร์เล่าที่ผ่านพ้นไปด้วยดี ชีวิตของพอลดูจะราบรื่นไม่มีที่ติ แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อเรือทัวร์ของเขาบังเอิญไปป๊ะเข้ากับเจ้าฮิปโปวัว (bull hippo) เข้าจนได้ มันคือสัตว์เจ้าถิ่นที่ได้ชื่อว่าดุร้ายและอันตรายที่สุดในแอฟริกา มันโผล่จากผิวน้ำแล้ววิ่งรี่เข้ามาที่เรือ อาศัยความแข็งแรงและกำยำของมันจนกำลังจะคว่ำเรืออยู่รอมร่อ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง งานนี้มีโศกนาฏกรรมหมู่แน่นอน เพราะน้อยคนนักที่จะรอดพ้นฟันขี่แหลมของของเจ้าฮิปโปวัวไปได้
เมื่อฮิปโปเหวี่ยงร่างไกด์อีกคนลงไปน้ำซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด พอลก็ตัดสินใจกระโดดเข้าช่วยเพื่อน แต่ฮิปโปยักษ์ก็สะบัดตัวและอ้าปากกว้างเต็มพิกัด งับเอาหัวของพอลเข้าไปทั้งหัวพร้อมแขนทั้งสองข้าง ด้วยฟันที่แหลมคมยังกับปังตอสับหมู มันลากตัวพอลหายลงไปใต้น้ำ นักท่องเที่ยวต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า... ไม่รอดแหงมๆ!
พอลสะบัดตัวออกจากกรามที่โคตรแข็งแรงของฮิปโปมาได้ แล้วทะลึ่งตัวขึ้นสู่ผิวน้ำอีกครั้ง... แต่ฉากต่อสู้ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะฮิปโปยังคงไล่ตะครุบตัวพอลอย่างไม่ลดละ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มันขย้ำและฉีกเท้าเขาออกเป็นเสี่ยงๆ ฉีกแขนเขาทั้งสองข้าง หักกระดูกซี่โครงและหน้าอก แถมฟัดแผ่นหลังและหน้าอกของเขาจนเป็นหลุมลึก!
หลังการผ่าตัดที่ยาวนานถึง 7 ชั่วโมง ซึ่งนั่นรวมถึงการตัดแขนขาที่โดนฟัดจนเละ ในที่สุดพอลก็เข้าสู่ระยะพักฟื้นและกายภาพบำบัด จนสามารถดำรงชีวิตได้ตามอัตภาพ
ปัจจุบันเขายังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าทริปซาฟารี เป็นผู้ฝึกสอนเจ้าหน้าที่ เป็นนักพูด และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหาเงินเข้าโครงการสำหรับเด็กที่ชื่อ Make-a-Difference
10. Uruguayan air force flight 571
เรื่องราวการรอดชีวิตที่ทั้งน่าเอาใจช่วย และน่าสยดสยองในคราวเดียวกัน...
12 ต.ค. 1972 เครื่องบินแฟร์ไชด์ FH-227D เที่ยวบินที่ 571 ของกองทัพอากาศอุรุกวัยพร้อมผู้โดยสาร 45 ชีวิต บินออกจากท่าอากาศยานคาร์ราสโก มุ่งหน้าไปยังซานติเอโก้ ประเทศชิลี เพื่อนำนักรักบี้ทีมโอลด์คริสเตียนส์ของมหาวัทยาลัยสเตลล่ามาริสไปแข่งนัดกระชับมิตร แต่เนื่องจากสภาพอากาศในวันเดินทางค่อนข้างแย่ในวันที่ 13 ต.ค.1972 ก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น!
15.30 น. ขณะแฟร์ไชด์กำลังบินอยู่เหนือเทือกเขาแอนดีส พวกเขาเจอสภาพอากาศแปรปรวนอย่างรุนแรงจนเครื่องพยุงตัวไม่ได้ ต้องลงจอดฉุกเฉินที่ยอดเขาแห่งหนึ่งบนเทือกเขาแอนดีส ตัวเครื่องกระแทกพื้นอย่างแรกจนปีกและท้ายหัก ผู้โดยสารบางคนกระเด็นออกไปตายนอกเครื่อง บางคนตายเพราะการกระแทก รวมแล้วตายทันที 12 ศพ ที่เหลือก็ต้องติดอยู่บนความสูง 10,300 ฟุตซึ่งมีหิมะหนาถึง 15 เมตร ไม่มีน้ำ ไม่มีอาหาร ประทังชีวิตด้วยช็อกโกแล็ตที่มีเพียงน้อยนิด และน้ำที่ลำลายจากหิมะ ด้วยสภาพที่เลวร้ายจึงทำให้ทยอยตายลงไปทีละคนๆ ศพถูกขนไปฝังไว้ใต้กองหิมะ
วันที่ 9 หลังเครื่องตก ความหิวเกาะกินพวกเขาอย่างหนัก คาเนสซ่า หนึ่งในผู้รอดชีวิตเสนอไอเดียให้กินเนื้อศพที่ฝังไว้เพื่อประทังชีวิต แรกๆ ก็โดนค้านอย่างรุนแรง แต่เมื่อเวลาผ่านไป 2 อาทิตย์ ศพแรกก็ถูกขุดขึ้นมาโดยมีคาเนสซ่าเป็นหัวโจก เขาใช้มีดเฉือนเนื้อเป็นชิ้นบางๆ แล้วกลืนลงคอ หลายคนยังปฏิเสธการกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน แต่หลังจากศพแรกหมดไป การกินเนื้อคนก็กลายเป็นเรื่องธรรมดาไปทันที ศพค่อยๆ ถูกขุดขึ้นมาทีละร่าง และเริ่มพัฒนาจากการกินเนื้อดิบไปเป็นการย่างบนฟอยล์
4 อาทิตย์หลังเกิดเหตุ พวกเขาตัดสินใจส่งตัวแทน 3 คนที่ยังพอมีแรงเดินลงเขาไปขอความช่วยเหลือ แต่ 2 วันหลังจากนั้นก็ทำได้แค่เดินหลงทางวนเวียนก่อนจะกลับมาที่ซากเครื่องอย่างสิ้นหวัง เวลาผ่านไปจนเข้าอาทิตย์ที่ 7 คาเนสซ่าเริ่มเสนอให้ทุกคนกินสมองของศพเพราะเป็นส่วนที่มีแร่ธาตุมากที่สุด ในขณะเดียวกันก็ยังพยายามเดินลงเขาไปหาความช่วยเหลืออยู่ตลอด
16 ธ.ค.1972 คาเนสซ่าและปาร์ราโด้ สองตัวแทนที่อาสาเดินลงเขาก็ได้พบพื้นที่ปศุศัตว์และวัวตัวหนึ่ง และอีก 5 วันถัดมาเขาก็ได้พบชาวนาอยู่ทางฝั่งแม่น้ำตรงข้าม และได้นำความช่วยเหลือมาสู่ 16 ผู้รอดชีวิตในที่สุด รวมเวลาตั้งแต่เครื่องตกจนถึงวันที่ได้รับความช่วยเหลือทั้งสิ้น 72 วันเต็มๆ!
2. Aron Ralston
เรื่องราวของนักปีนเขาคนนี้โด่งดังไปทั่วโลกเพราะถูกนำมาสร้างเป็นหนังที่เข้าชิงรางวัลออสการ์เรื่อง 127 Hours...
เดือน พ.ค. 2003 แอรอน ราลสตัน กำลังสนุกกับการไต่หน้าผาในบลูจอห์นแคนยอน (อุทยานแห่งชาติแคนยอนแลนด์ มลรัฐยูทาห์) ระหว่างที่เขามุดลงไปในซอกหินขนาดใหญ่อยู่นั้นเอง จู่ๆ หินก้อนใหญ่ก็หล่นลงมาทับแขนขวาของเขาเข้าอย่างจัง ทำให้เขาต้องติดแหง็ก ทิ้งตัวห้อยต่องแต่งคาอยู่อย่างนั้น
ราลสตันรู้ดีว่าไม่มีใครหาเขาเจอแน่ๆ และถ้ายังติดแหง็กอยู่ยังงี้ สิ่งที่เขาเขาทำได้ก็มีแต่การนับถอยหลังรอความตายเท่านั้น เขาใช้เวลาระหว่างที่พยายามหาทางให้แขนหลุดออกมา ด้วยการใช้มีดพกสลักชื่อ วันเดือนปีเกิด และคำนวณวันตายของตัวเอง เนื่องจากขนมและน้ำกำลังจะหมดลงในไม่ช้า พร้อมทั้งพูดสั่งเสียและบรรยายความรู้สึกถึงทุกคนที่รักลงในวิดีโอเทป
ระหว่างที่ต้องติดแหง็กอยู่ในช่องหินแคบๆ นี้ทำให้เขาต้องผจญกับสภาพอากาศสุดเลวร้าย และได้คิดทบทวนอะไรหลายๆ อย่าง จนในที่สุดเมื่อเวลาล่วงเคยเข้าสู่วันที่ 5 ของอุบัติเหตุเขาก็ตัดสินใจครั้งเด็ดขาด ในเมื่อเขาหาวิธีอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว และสิ่งที่ทำให้เขาต้องติดอยู่ในที่แคบๆ แห่งนี้มีเพียงแขนขวาเท่านั้น เขาจึงใช้มีดพกตัดแขนของตัวเองเพื่อปลดเปลื้องพันธนาการนี้ซะ ด้วยการเฉือนเนื้อ หักกระดูก แล้วตัดเส้นเอ็น ก่อนจะทิ้งตัวลงจากความสูง 65 ฟุต และกัดฟันปีนเขาด้วยระยะทางอีกกว่า 8 ไมล์ จนได้รับความช่วยเหลือในที่สุด
8. 33 miners in Chile
ปาฏิหาริย์อย่างแท้จริง เมื่อ 33 คนงานเหมืองในชิลีรอดจากอุบัติเหตุเหมืองแร่ครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ชิลีมาได้...
5 ส.ค. 2010 เกิดอุบัติเหตุเหมืองแร่ทางตอนเหนือของทะเลทรายในชิลีถล่ม ทำให้คนงาน 33 ชีวิตโดนขังอยู่ใต้พื้นดินลึก 700 เมตรทันที เดชะบุญ ที่นั่นยังมีออกซิเจน น้ำ และอาหารเพื่อประทังชีวิต
3 วันต่อมา หน่วย:X้ภัยเริ่มการขุดเจาะเพื่อส่งท่อที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12 ซ.ม. เพื่อพยายามระบุตำแหน่งของคนงานทั้ง 33 ชีวิตให้ได้ โดยประธานาธิบดีปิเนรายืนยันว่า รัฐบาลจะดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตพวกเขาให้ได้ แม้จะมีความหวังอยู่เพียงน้อยนิด ก่อนที่ชาวชิลีทั้งประเทศจะได้ดีใจครั้งใหญ่ครั้งแรกหลังเกิดเหตุ เมื่อทางการสามารถแพร่ภาพคนงานทั้ง 33 คนทางทีวีได้เป็นครั้งแรก หลังจากติดอยู่ใต้เหมืองมานาน 17 วัน และรุ่งขึ้นหน่วย:X้ภัยก็เริ่มส่งกลูโคสและน้ำลงไปให้เพิ่มเติม
7 ก.ย.2010 ซึ่งเป็นวันชาติของชิลี ชาวเมืองต่างเฉลิมฉลองการเป็นอิสระภายใต้การปกครองของสเปนครบ 200 ปี และทีม:X้ภัยก็สามารถระบุตำแหน่งของคนงานได้สำเร็จ ทำให้วันรุ่งขึ้นมีคลิปวิดีโอแพร่ภาพคนงานทั้ง 33 ชีวิตที่พร้อมใจกันร้องเพลงชาติ และเต้นรำกันอย่างรื่นเริงจากใต้เหมือง ก่อนที่เดือนต่อมา ทีม:X้ภัยจะได้ส่งท่อ T-130 (Plan B) ความยาว 624 เมตร ถูกส่งลงไปยังตำแหน่งของคนงาน เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับปฏิบัติการช่วยชีวิต
13 ต.ค.2010 ปฏิบัติการช่วยชีวิตเริ่มต้นขึ้น โดยการส่งทีม:X้ภัยลงไปทางแคปซูล พร้อมกับการขุดอุโมงค์อย่างระมัดระวัง จนในที่สุดคนงานคนแรกคือ ฟลอเรนซิโอ อวาลอส ก็ได้รับการช่วยชีวิตขึ้นมาได้สำเร็จเป็นคนแรก โดยมี ปธน.ปิเนราของชิลีเดินทางมารับขวัญด้วยตนเอง ก่อนที่จะทยอยช่วยคนงานที่เหลือจนครบทั้ง 33 ชีวิต ถือเป็นปาฏิหารย์ที่ไม่ได้เกิดขึ้นง่ายๆ
7. Winnie Tilin
หนูน้อยวัย 16 เดือนรอดตายจากเหตุแผ่นดินไหวในเฮติเมื่อต้นเดือน ม.ค.2010 ทั้งที่ติดอยู่ใต้ซากอิฐนาน 68 ชั่วโมง!
ขณะเจ้าหน้าที่:X้ภัยกำลังเร่งช่วยเหลือผู้รอดชีวิตหลังเหตุแผ่นดินไหวมาแล้ว 68 ชั่วโมง จู่ๆ ไมค์กี้ อามอร์ ผู้สื่อข่าวสาวของช่องโทรทัศน์ออสเตรเลียซึ่งลงพื้นที่ไปทำข่าวแผ่นดินไหวที่กรุงปอร์โตแปรงซ์ ก็ได้ยินเสียงเด็กร้องออกมาจากใต้ซากปรักหักพังที่เธอกำลังยืนรายงานข่าวอยู่ เธอจึงรีบเดินไปทางต้นเสียง และก็ได้พบกับแม่หนูน้อย วินนีย์ ทิลิน วัย 16 เดือนที่กำลังติดอยู่ใต้ซากบ้านของเธอเอง ไมค์กี้จึงช่วยดึงแม่หนูออกมาอย่างปลอดภัย สร้างความประหลาดใจให้กับทุกคนสุดๆ ที่เธอยังมีลมหายใจอยู่ได้ แถมยังดูมีสุขภาพแข็งแรงเหมือนไม่เกิดอะไรขึ้นเลย ทั้งๆ ที่ติดอยู่ที่นี่มานานถึง 68 ชั่วโมงโดยไม่มีทั้งน้ำและอาหาร
6. Poon Lim
อากงหนังเหนียวถ่อแพกลางมหาสมุทรแอตแลนติกนาน 133 วัน รอดปาฏิหาริย์...
ปี 1942 (ซึ่งเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ตอนนั้นอากงอายุ 24 ปี) เป็นกะลาสีในเรือพาณิชย์ของอังกฤษที่ชื่อ SS Ben Lomond เดินทางจากแอฟริกาใต้มุ่งหน้าไปยังแคว้นสุรินัมของฮอลันดา แต่ขณะกำลังข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกอยู่นั้น เรือก็โดนตอร์ปิโดของเรือดำน้ำเยอรมันเข้าอย่างจัง เขารีบสวมเสื้อชูชีพแล้วกระโดดลงพื้นน้ำทันที เดชะบุญ... หลังจากตะเกียกตะกายว่ายน้ำเอาชีวิตรอดอยู่ 2 ชั่วโมง ก็มีลังเสบียงขนาดยักษ์ลอยน้ำผ่านมา ในนั้นมีบิสกิต น้ำจืด และอุปกรณ์อย่างอื่นอีกเพียบ เขารีบปีนขึ้นไปบนลังทันที จัดการดัดแปลงมันให้เป็นแพพร้อมดำรงชีวิตอยู่บนนั้นเพื่อรอหน่วย:X้ภัย
ด้วยสถิติการลอยเท้งเต้งอยู่ในมหาสมุทรยาวนานถึง 133 วัน ทำให้อากงกลายเป็นมนุษย์ที่รอการช่วยเหลืออยู่ในทะเลนานที่สุดในโลก เขาดื่มน้ำจากน้ำฝนที่รองจากผ้าใบหลังคา ใช้เล็บที่งอกออกมาจนยาวเฟื้อยแทนฉมวกแทงปลา นั่นเป็นสิ่งที่ช่วยให้เขามีชีวิตอยู่รอดมาได้
ครั้งหนึ่ง มีเรือหาปลาแล่นผ่านมาเจออากงเข้าโดยบังเอิญ แต่ลูกเรือดันไม่ยอมช่วยแกด้วยสาเหตุเพียงเพราะแกเป็นคนจีน และอีกครั้งหนึ่งที่เครื่องบินรบของอเมริกามาเห็นแกเข้า และพยายามโยนเรือชูชีพลงมาช่วย แต่ระหว่างนั้นดันเกิดลมพายุขึ้นมากะทันหัน พัดแกให้ลอยจากไปไกลซะได้
31 มี.ค. 1943 อากงสังเกตเห็นว่าสีของน้ำทะเลเปลี่ยนไป นั่นเป็นสัญญาณว่าแพอยู่ไม่ไกลจากฝั่งแล้ว และอีกห้าวันต่อมา ในวันที่ 5 เม.ย.1943 หรือ 133 วันหลังเกิดเหตุ แพของอากงก็ลอยเข้ามาในอ่าวและได้รับการช่วยเหลือโดยชาวเลเลือดบราซิลเลี่ยน สิ้นสุดการเดินทางที่โคตรจะยาวนานและทรมานลงจนได้
อากงน้ำหนักลดลงไป 9 กิโล แต่ก็ยังสามารถเดินได้ เขาพักฟื้นอยู่ในโรงพยาบาลที่บราซิล 2 อาทิตย์ ก่อนที่กงสุลอังกฤษจะมารับตัวเขากลับ... อากงเล่าหลังจากนั้นว่า ตลอดเวลาที่อยู่บนแพ แรกๆ เขาก็เฝ้านับวันนับคืนรอว่าเมื่อไหร่จะมีคนมาช่วย แต่ยิ่งนับยิ่งรู้สึกว่ามันนาน ก็เลยเปลี่ยนมานับเฉพาะคืนเดือนเพ็ญแทน
5. Sir Ernest Shackleton
วีรบุรุษผู้ใช้เรือแจวลำเล็กๆ ด้วยเวลาถึง 2 ปี จนสามารถพิชิตขั้วโลกใต้และรอดชีวิตกลับมาได้!
เซอร์ เอิร์นเนสต์ แช็คเคิลตัน ยอดนักสำรวจชาวไอริช มนุษย์ที่ทำให้สิ่งซึ่งคนธรรมดาเห็นว่าเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ แรกเริ่มนั้น เขาเข้าร่วมภารกิจที่เรียกว่า Discovery Expedition ในปี 1901 ร่วมกับ โรเบิร์ต สก็อตต์ และ เอ็ดเวิร์ด วิลสัน เป้าหมายคือการไปปักธงใกล้กับขั้วโลกใต้ให้ได้มากที่สุดเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ แต่แช็คเคิลตันถูกสก็อตต์ส่งกลับบ้านซะก่อนด้วยปัญหาขัดแย้งบางประการ หลังจากนั้นเขาจึงความมุ่งมั่นที่จะทำภารกิจให้สำเร็จด้วยตัวเองให้ได้ โดยการตั้งโปรเจ็กต์ของตัวเองในชื่อ Nimrod Expedition เป้าหมายสุดยอดคือไปปักธงให้ใกล้ขั้วโลกใต้มากกว่าที่สก็อตต์เคยทำไว้ให้จงได้ ในปี 1907 เขามุ่งหน้าลงเรือลำเล็กพร้อมลูกเรืออีก 3 คนและเสบียงอีกเพียงเล็กน้อย มุ่งหน้าสู่การพิชิตขั้วโลกใต้
การเดินทางด้วยเรือพายในทะเลใหญ่ภายใต้สภาพอากาศแปรปรวนเป็นภารกิจที่เหลือเชื่อ แม้ทุกคนจะบอกว่านี่คือการฆ่าตัวตายชัดๆ แต่เขาก็ยังมุ่งมั่นเดินหน้าต่อไป แม้จะต้องผ่านอุปสรรคมหาโหดมากมาย ทั้งเรือติดอยู่ในธารน้ำแข็งแอนตาร์กติกนานนับปี เรือแตกเพราะโดนธารน้ำแข็งบดละเอียด ต้องติดค้างอยู่บนภูเขาหิน ติดอยู่บนเกาะท่ามกลางอากาศเลวร้าย ฯลฯ แต่แล้วในวันที่ 9 ม.ค.1909 เขาและลูกเรือทั้งสามก็สามารถปักธงลงบนพิกัด 88 องศา 23 ลิปดาใต้ได้สำเร็จ ห่างจากจุดที่ถือว่าเป็นขั้วโลกใต้เพียง 112 ไมล์เท่านั้น ถือเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของโลกการผจญภัย!
แช็คเคิลตันและลูกเรือเดินทางกลับขึ้นฝั่งอย่างปลอดภัย พร้อมสิ่งสำคัญที่สุดซึ่งก็คือแผ่นฟิล์มและรูปถ่าย ที่ถือเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะยืนยันต่อชาวโลกว่าเขาได้ไปพิชิตมาจริง กลายเป็น The Greatest Adventures of All Time ที่คนจดจำมาจนวันนี้
4. Mike the headless chicken
ตะลึงกันไปทั้งโลก เมื่อเจ้ากุ๊กไก่หัวหลุดสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานถึง 6 เดือน!
เจ้าไมค์เป็นไก่ฝรั่งธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่าไก่ทั่วไป อาศัยอยู่กับครอบครัวชาวนาตระ:Xลโอลเซ่น ในมลรัฐโคโลราโด สหรัฐอเมริกา... เขาเลี้ยงมันไว้เพื่อทำอาหารเหมือนในบ้านเรานี่แหละ!
พออายุได้ 18 เดือนก็ถึงกำหนดที่มันจะต้องสังเวยชีวิตทดแทนพระคุณเจ้าของ ในวันที่ 10 ก.ย.1945 แม่บ้านของครอบครัวโอลเซนก็จับมันมาขึ้นเขียง เรื่องราวดำเนินไปโดยปกติ เพราะเกิดมาเป็นไก่ยังไงก็ต้องโดนเชือดอยู่วันยังค่ำ แต่เรื่องมหัศจรรย์ก็เกิดขึ้นจนได้ เมื่อแม่บ้านใช้มีดฟันฉับลงไปจนหัวมันหลุดกระเด็นออกมา นึกว่ามันตายแล้วก็เลยเผลอปล่อยมือ... เท่านั้นแหละ มันวิ่งหนีจากเขียงกลับเข้าเล้าซะดื้อๆ!
กระทั่งวันรุ่งขึ้น เจ้าไมค์ก็ยังตื่นมาคุ้ยเขี่ยหาอาหารร่วมกับไก่ตัวอื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เจ้าของเองก็ยากรู้ว่ามันจะอยู่ไปได้อีกนานเท่าไหร่ จึงยังคงให้อาหารต่อไปเรื่อยๆ โดยใช้ที่หยอดตาหยอดน้ำข้าวโพดลงทางหลอดอาหาร และช่วยดูดเสมหะด้วยเข็มฉีดยา และมันก็ยังสามารถเติบโตได้เหมือนไก่ปกติ น้ำหนักเพิ่มเอาๆ แบบไม่เกรงใจใคร
เจ้าไมค์กลายเป็นไก่ที่ดังเป็นพลุแตก เมื่อเจ้าของจับมันออกเดินสายโชว์ไปตามงานวัด จนนิตยสาร Time มาทำสารคดีชีวิตของมัน ตั้งแต่นั้นค่าตัวของมันก็พุ่งพรวด ใครอยากดูตัวเป็นๆ ต้องจ่ายค่าตั๋ว 25 เซนต์ เคยมีคนมาเสนอเงินซื้อ 4,500 ดอลลาร์แต่เจ้าของก็ไม่ยอมขาย จนกระทั่งในเดือนมีนาคม 1947 ขณะกลับจากเปิดวิกโชว์ตัว เจ้าไมค์ก็ดิ้นทุรนทุรายตายกลางดึกเพราะเจ้าของดันลืมทำความสะอาดหลอดลม ทำให้มีเมล็ดข้าวโพดเข้าไปอุดจนหายใจไม่ออก รวมสิริอายุของเจ้าไมค์ได้ 18 เดือน เรื่องของมันกลายเป็นตำนานของโคโลราโด ถึงขนาดมีการจัดงาน Mike the Headless Chicken Day ขึ้นทุกปีเพื่อระลึกถึงมัน ในสุดสัปดาห์ที่ 3 ของเดือน พ.ค. ตั้งแต่ปี 1999 เป็นต้นมา
หลายคนต่างถกเถียงกันว่าทำไมเจ้าไมค์ถึงยังมีชีวิตอยู่ได้ ข้อสันนิษฐานที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ คมมีดมันตัดไม่โดนหลอดเลือดแดง แม้สมองและการได้ยินจะสูญเสียไปแล้ว แต่หัวใจยังสูบฉีดเลือดได้ มันจึงยังคงเติบโตได้ตามปกติ
3. Wenseslao Moguel
ยิ่งฟังยิ่งขนลุก... คนอะไร โดนยิงเป้า 8 หนแต่ไม่ยักกะตาย!
ช่วงปฏิวัติของประเทศเม็กซิโก ผู้คนต่างล้มตายกันเป็นเบือ โดยเฉพาะพวกหัวรุนแรงที่ถูกจับแล้วโดนทหารสั่งยิงเป้า แต่กรณีนี่ใช้ไม่ได้กับเจ้าหนุ่ม เวนเซสลาโอ โมเกล
เจ้าหนุ่มน้อยคนนี้โดนจับเมื่อวันที่ 18 มี.ค.1915 และถูกพิพากษาประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า จากคดีทางการเมืองที่ถือว่าร้ายแรงมากในขณะนั้น โดยการยิงเป้าแบบนี้จะมีลักษณะคือ จับมาผูกผ้าคาดตาแล้วยืนให้ทหารล้อมยิงเหมือนกับที่เราเคยเห็นกันในหนัง
เรื่องราวดำเนินไปตามปกติ เจ้าหนุ่มน้อยโดนจับผูกตาแล้วยืนเรียงแถวหน้ากองทหาร แต่แล้วก็เกิดเรื่องมหัศจรรย์ เมื่อคำสั่งยิงชุดแรกหลุดออกจากปาก ผบ. กระสุนถูก:Xเข้าใส่จนควันคลุ้ง แต่เจ้าหนุ่มโมเกลก็ยังไม่ตาย แม้จะโดนยิงซ้ำถึง 8 ชุดก็ยังคงนอนหายใจรวยริน ขนาดโดนจ่อหัวยิงเผาขนเขาก็ยังไม่ได้ จนผลยิงเห็นว่าเจ้าหมอนี่มันดื้อด้านเกินมนุษย์ก็เลยท้อและเดินจากไปดื้อๆ นั่นแหละถึงทำให้เขารอดอย่างเป็นทางการ
2. Juliane Koepcke
เครื่องบินตกกลางป่าดงดิบในเปรู คนตายหมดทั้งลำ แต่เจ๊แกเป็นหนึ่งเดียวที่ยังรอดชีวิตกลับออกมาได้!
24 ธ.ค.1971 จูเลียเน ค็อปเค นักศึกษาสาวชั้นปีที่ 4 อายุ 24 ปี เป็นหนึ่งใน 93 ผู้โดยสารบนเครื่องบินของสายการบิน Lansa เที่ยวบิน 508 เดินทางจากรุงลิมาเพื่อกลับไปหาพ่อ แต่เครื่องบินโดนฟ้าผ่าขณะบินเหนือผืนป่าดงดิบในประเทศเปรู เธอกระเด็นออกนอกเครื่องขณะยังถูกเข็มขัดนิรภัยยึดแน่นอยู่กับเก้าอี้ ก่อนจะตกสู่พื้นเบื้องล่างห่างจากจุดที่โดนฟ้าผ่าออกไป 2 ไมล์ ซึ่งมีสภาพเป็นป่ารกทึบ แม้ผู้โดยสาร ลูกเรือ และนักบินทั้ง 91 ชีวิตจะต้องสังเวยให้กับอุบัติเหตุในครั้งนี้ แต่เธอรอดออกมาได้พร้อมตาที่บอดไปข้างหนึ่ง ไหปลาร้าหัก และแผลถลอกฟกช้ำอีกพอสมควร
ภายใต้ความตื่นตระหนก แต่เธอยังตั้งสติและนึกถึงคำของพ่อผู้เป็นนักชีววิทยาที่เคยสอนไว้ว่า น้ำไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ ที่ไหนมีน้ำที่นั่นมีหมู่บ้าน จูเลียเนซึ่งตอนนั้นสวมมินิสเกิร์ตกับรองเท้าแตะ พยายามตะเกียกตะกายเอาชีวิตรอด อาศัยของป่ากินประทังชีวิตผจญกับสัตว์ดุร้ายนานาชนิดนานถึง 9 วันเต็มๆ ในที่สุดเธอก็เจอกระท่อมเล็กๆ กลางป่า ทำให้เธอได้อาศัยน้ำสะอาดล้างและแต่งบาดแผลของตัวเอง และรอจนเจ้าของกระท่อมกลับมาเจอจึงรอดชีวิตออกมาได้ หลังเหตุการณ์นี้ เธอจึงตัดสินใจเรียนต่อจนจบและได้เป็นสัตววิทยาตามรอยพ่อแม่ของเธอ
1. Paul Templer
คนอะไร โดนฮิปโปงับหัวแต่ยังอุตส่าห์จะรอดมาได้อีก!
หลังคร่ำหวอดอยู่ในกองทัพแห่งสหราชอาณาจักรอยู่หลายต่อหลายปี และท่องเที่ยวผจญภัยในโลกกว้าง เผชิญอันตรายสุดโหดมาแล้วนักต่อนัก ในที่สุด พอล เทมเปลอร์ ก็ตัดสินใจลงหลักปักฐานในประเทศซิมบับเว ดำรงชีวิตด้วยการเป็นไกด์แม่น้ำท้องถิ่น กิจวัตรประจำวันของเขาคือการพานักท่องเที่ยวลงเรือชมความงามของแม่น้ำแซมเบวี่
ทัวร์แล้วทัวร์เล่าที่ผ่านพ้นไปด้วยดี ชีวิตของพอลดูจะราบรื่นไม่มีที่ติ แต่แล้วก็เกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น เมื่อเรือทัวร์ของเขาบังเอิญไปป๊ะเข้ากับเจ้าฮิปโปวัว (bull hippo) เข้าจนได้ มันคือสัตว์เจ้าถิ่นที่ได้ชื่อว่าดุร้ายและอันตรายที่สุดในแอฟริกา มันโผล่จากผิวน้ำแล้ววิ่งรี่เข้ามาที่เรือ อาศัยความแข็งแรงและกำยำของมันจนกำลังจะคว่ำเรืออยู่รอมร่อ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริง งานนี้มีโศกนาฏกรรมหมู่แน่นอน เพราะน้อยคนนักที่จะรอดพ้นฟันขี่แหลมของของเจ้าฮิปโปวัวไปได้
เมื่อฮิปโปเหวี่ยงร่างไกด์อีกคนลงไปน้ำซึ่งเต็มไปด้วยสัตว์ร้ายนานาชนิด พอลก็ตัดสินใจกระโดดเข้าช่วยเพื่อน แต่ฮิปโปยักษ์ก็สะบัดตัวและอ้าปากกว้างเต็มพิกัด งับเอาหัวของพอลเข้าไปทั้งหัวพร้อมแขนทั้งสองข้าง ด้วยฟันที่แหลมคมยังกับปังตอสับหมู มันลากตัวพอลหายลงไปใต้น้ำ นักท่องเที่ยวต่างตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้า... ไม่รอดแหงมๆ!
พอลสะบัดตัวออกจากกรามที่โคตรแข็งแรงของฮิปโปมาได้ แล้วทะลึ่งตัวขึ้นสู่ผิวน้ำอีกครั้ง... แต่ฉากต่อสู้ยังไม่จบเพียงเท่านั้น เพราะฮิปโปยังคงไล่ตะครุบตัวพอลอย่างไม่ลดละ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มันขย้ำและฉีกเท้าเขาออกเป็นเสี่ยงๆ ฉีกแขนเขาทั้งสองข้าง หักกระดูกซี่โครงและหน้าอก แถมฟัดแผ่นหลังและหน้าอกของเขาจนเป็นหลุมลึก!
หลังการผ่าตัดที่ยาวนานถึง 7 ชั่วโมง ซึ่งนั่นรวมถึงการตัดแขนขาที่โดนฟัดจนเละ ในที่สุดพอลก็เข้าสู่ระยะพักฟื้นและกายภาพบำบัด จนสามารถดำรงชีวิตได้ตามอัตภาพ
ปัจจุบันเขายังคงดำรงตำแหน่งหัวหน้าทริปซาฟารี เป็นผู้ฝึกสอนเจ้าหน้าที่ เป็นนักพูด และเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงหาเงินเข้าโครงการสำหรับเด็กที่ชื่อ Make-a-Difference
10 บุคคลเฉียดตายที่รอดมาได้อย่างไม่น่าเชื่อ!?
[IMG]