แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Nook747 เมื่อ 2014-5-12 20:00
กระทู้ก่อนหน้านี้ ปฐมบทมหากาพย์แผ่นดินมองโกล
สวัสดีครับ มาแล้วครับ สำหรับตำนานแห่งทุ่งหญ้ามองโกล ซึ่งกระผมจะแบ่งเป็น 3 ตอน และจัดอยู่ในกระทู้นี้ เชิญอ่านกันตามสบาย....
ตอนที่ 1:นักรบฮัน (ซงหนู) ในดินแดนยุโรป
ลำดับแรกก่อนที่เราจะไปเล่าเรื่องของอาณาจักรมองโกลนั้น เราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่าก่อนยุคการเรืองอำนาจของชนเผ่ามองโกลนั้น ปรากฏมีชนเผ่าใหญ่น้อยที่สลับกันขึ้นมามีบทบาทให้ท้องทุ่งและหน้าประวัติศาสตร์มาร่วมพันปีแล้ว ดังที่ได้ปรากฏชื่อในภาพยนตร์ นวนิยาย หรือแม้แต่หนังจีนกำลังภายในอยู่บ่อยครั้ง จนไม่รู้ว่าเผ่าไหนมาก่อนมาหลัง จนทำให้หลายๆท่านมึนงงสงสัยไปว่า "ใครมาก่อน - มาหลังวะ?"
เอางี้ล่ะกันครับ ผมจะอรรถาธิบายให้ทุกท่านได้ฟังตามนี้...
สำหรับชื่อหรือคำเรียกขานของชนเผ่าเร่ร่อนกลุ่มต่างๆในทุ่งหญ้า ชาวจีนจะเรียกง่ายๆแบบรวบๆว่าพวก “หู” - ในสำเนียงแต้จิ๋วจะออกเสียงว่า “ฮู้” - แต่ทุกคำล้วนแปลตรงตัวว่า “หมาป่า” นั่นล่ะครับ
สาเหตุที่เรียกเช่นนี้ ก็เป็นเพราะว่าพวกเผ่าเร่ร่อนต่างบูชาหมาป่าเป็นสัตว์เทพเจ้าครับ เพราะเขาถือว่าหมาป่าคือสัตว์แห่งพลังอำนาจ ความกล้าหาญ และความดุร้าย ทำให้ชนเผ่าเร่ร่อนล้วนจดจำรูปแบบการรบ รวมถึงกระบวนรบก็มีพลังการโจมตีที่ดุดัน ว่องไว และออกศึกเหมือนการล่ารวมกลุ่มอย่างฝูงหมาป่านั่นล่ะครับ
เพราะเหตุนี้ ชาวจีนเรียกไอ้พวกเผ่าเร่ร่อนนี้ว่าเป็น "ชนชาติหมาป่า" ซะเลย - ว่างั้น
สำหรับบรรพบุรุษหรือโคตรวงศ์ของชนเผ่าเร่ร่อนแรกเริ่มแต่เดิมมานั้นค่อนข้างจะคลุมเครือมากครับ เพราะชนเผ่าพวกนี้ไม่ค่อยจดจารึกประวัติศาสตร์ความเป็นมาของตนเองซักเท่าไหร่
แต่นักมานุษวิทยาก็ฟันธงคอนเฟิร์มว่า พวกเขาล้วนสืบเชื้อสายมาจากพวก “เตอร์กิค” (Turkic) ซึ่งเป็นชาติกุลโบราณที่อาศัยอยู่ในเขตยูเรเซีย อันเป็นดินแดนที่เชื่อมระหว่างยุโรปกับเอเชีย และจนกระทั่งเมื่อราวๆศตวรรษที่ ๕ ก่อนคริสตกาลหรือ ๒,๕๐๐ ปีก่อน พวกเตอร์กิคบางส่วนได้อพยพเข้ามาในบริเวณทุ่งหญ้าในมองโกลเลียและเอเชียกลางในปัจจุบัน จากนั้นก็ได้มีการแตกกิ่งแขนงเผ่าพันธุ์ออกเป็นอีกนับสิบชาติกุล (Tribe) เข้าปกครองดินแดนในมองโกเลีย ไซบีเรีย และที่ราบแมนจูเรียในปัจจุบัน
ถ้าหากจะให้ผมจะเล่าให้ครบทุกชาติกุลก็คงจะไม่หวาดไม่ไหว และอาจจะพาลพาออกจากทะเลทรายโกบีไปลงปากน้ำบางปะกงลงทะเลอ่าวไทยเป็นแน่แท้ - ฮา
ดังนั้น ผมก็ขอจะเลือกแต่ชนเผ่าเร่ร่อนที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์เป็นประเดิมก็แล้วกันนะครับ
เผ่าซงหนู
ในความเป็นจริงแล้ว นามว่าซงหนูนั้นเป็นชื่อที่นักวิชาการชาวจีนบัญญัติขึ้นมาใหม่ในภายหลังครับ โดยนามเดิมของพวกเขาจริงๆคือ "ฮวนหนู่" หรือ "ฮวานหนู่" ครับ (แต้จิ๋วอ่านเพี้ยนเป็น "ฮวนนั้ง") ซึ่งหลายๆท่านอาจจะฟังดูแล้วคุ้นหูเสียเหลือเกิน
ดังนั้น ผมขอให้ทุกท่านจำชื่อว่าฮวานหนู่เอาไว้ในใจก่อนนะครับ เพราะชื่อๆนี้จะกลายเป็นหนึ่งในชื่อที่โด่งดังที่สุดในประวัติศาสตร์โลกของเราเลยทีเดียว
เอาล่ะครับ แต่เพื่อไม่ให้ทุกท่านสับสนมึนงงมากไปกว่านี้ ในบทความฉบับนี้ผมขอเรียกชื่อซงหนูก็แล้วกันนะครับ
สำหรับใครๆที่ศึกษาประวัติศาสตร์จีนมาพอตัวก็คงจะรู้จักพวกชนเผ่านี้เป็นอย่างดี เพราะพวกซงหนูนี้ปรากฏตัวในหน้าประวัติศาสตร์จีนเป็นพวกแรกๆ โดยชนเผ่าซงหนูนั้นได้ครอบครองตั้งแต่ทะเลทรายโกบีในมองโกเลียไปจรดทะเลทรายทาคลามากานในมณฑลซินเจียงของจีน แต่บางครั้งยังอาละวาดไปไกลจนถึงใจกลางเอเชียโน่นด้วยเหมือนกันล่ะครับ
พวกเผ่าซงหนูได้ปรากฏตัวประเดิมในหน้าประวัติศาสตร์เป็นครั้งแรก นับแต่ยุคราชวงศ์เซี่ยะโน่นแล้วครับ แต่มากำแหงสำแดงเดชเหลือขนาดเอาตอนในยุคสงครามกลางเมืองที่เรารู้จักกันในชื่อว่า “ยุครณรัฐ” - เลี่ยกว๋อ - หรือที่เราท่านรู้จักในชื่อว่า “ยุคเลียดก๊ก” นั่นล่ะครับ ซึ่งหลังจากทุกแคว้นตีกันนัวจนบอบช้ำได้ที่แล้ว พวกซงหนูก็จะยกพวกเฮกะโลเข้ามาผสมโรงตีซ้ำอีกหลายยก จนทำให้พรมแดนจีนทางเหนือหาความสงบมั่นคงแทบไม่ได้เลยทีเดียว
ดังนั้น เมื่อฉินหวาง (จิ๋นอ๋อง) นามว่า “อิ๋งเจิ้น” รวบรวมแผ่นดินจงหยวนได้เป็นหนึ่ง และสถาปนาตนเองขึ้นเป็น "ฉินสือหวงตี้" หรือที่เรารู้จักกันในนามของ "จิ๋นซีฮ่องเต้" แล้ว พระองค์ทรงมีดำริให้สร้างมหากำแพงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์คือ "ฉางเฉิงหว่านลี่" หรือที่เรารู้จักกันในชื่อ “กำแพงหมื่นลี้” เพื่อสกัดกั้นการรุกรานของพวกเผ่าเร่ร่อนอย่างพวกซงหนูนั่นเองล่ะครับ
แต่เอาไปเอามา กำแพงเมืองหมื่นลี้ก็มิอาจจะต้านทานการรุกรานของเผ่าซงหนูได้เท่าไหร่หรอกครับ เพราะเมื่อผลัดแผ่นดินถึงยุคราชวงศ์ฮั่นแล้ว พวกเผ่าซงหนูก็ยิ่งเข้าบุกโจมตีจีนต่อมา แถมหนักข้อยิ่งกว่าเก่าอีกต่างหาก
เพราะอย่างคราวสมัยฮั่นเกาจู่ (ฮั่นโกโจ) - ปฐมราชวงศ์แห่งฮั่น - นั้น พระองค์ทรงเสด็จนำทัพไปรับศึกทัพซงหนูกว่า ๔๐๐,๐๐๐ ที่บุกข้ามด่านมาได้ (พงศาวดารฮั่นเขาว่างั้นน่ะ) แต่กลายเป็นว่ากองทัพฮั่นถูกบดขยี้และดักล้อมเอาไว้ได้จน พวกซงหนูหวิดจะเด็ดหัวองค์จักรพรรดิฮั่นเกาจู่ได้แล้วนะครับ
เดชะบุญและเคราะห์ดีที่ว่ากองทัพฮั่นแก้สถานการณ์ได้ทันเวลาจนสามารถตีฝ่าออกมาได้ - หาไม่แล้ว - ราชวงศ์ฮั่นคงจะล่มสลายลงตั้งแต่นั้นแล้วล่ะครับ
นับแต่นั้นมา ราชสำนักฮั่นจึงจำยอมต้องส่งบรรณาการให้พวกซงหนูเสมอมา แต่ไปๆมาๆ ยิ่งให้เท่าไหร่ พวกมันก็ยิ่งได้ใจกว่าเดิมตามประสาจิ๊กโก๋แห่งทุ่งหญ้า พี่แกเลยพาลเรียกร้องบรรณาการตามใจชอบ พองวดไหนไม่ส่งบรรณการตามลำดับรายการที่ส่งไปก็หาเรื่องมารุกรานอยู่ร่ำไป
ลุถึงรัชสมัยจักรพรรดิฮั่นอู่ตี้ (ฮั่นบู๊เต้)แล้ว พระองค์ก็ไม่ขอยอมอ่อนข้อให้กับพวกซงหนูอีกต่อไปแล้ว พระองค์จึงมีบัญชาให้จัดกองทัพใหญ่ออกไปรบบดขยี้พวกอนารยชนกลุ่มนี้ให้รู้แล้วรู้รอดกันไป วัดกันไปเลยว่าใครจะอยู่ใครจะไป
ปรากฏว่า งานนี้พวกซงหนูโดนตีแตกกระเจิงสิครับ เพราะร้อยวันพันปีก็เป็นฝ่ายบุกเขาก่อน มางวดนี้เจอเขาบุกก่อนก็เลยเสียรูปมวย โดนทัพฮั่นไล่กระทืบหนีกระเจิดกระเจิงกันไม่เป็นขบวนซะงั้น - ปัดโธ่
แต่ว่าเผ่าซงหนูก็มิได้แตกดับไปโดยสิ้นเชิงหรอกครับ เพราะถ้าไม่เลือกยอมสวามิภักดิ์ต่อราชวงศ์ฮั่นแล้ว พวกซงหนูบางส่วนอพยพย้ายครัวหนีไปตะวันตกไกลโพ้นอีกสองกลุ่มด้วยกัน
กลุ่มหนึ่งอพยพลงไปยังเอเชียกลางและเข้าโจมตีเปอร์เซียและอินเดียในปัจจุบัน และพวกซงหนูกลุ่มนี้ก็ลงเสน่ห์โรตีหรือสาวแขกมิทราบได้ (ฮา) พี่แกจึงเข้าร่วมหอลงโรงกับชนพื้นเมืองจนเกิดเป็นชนเผ่ากลุ่มใหม่ที่มีชื่อว่า “มารฐา” (Maratha) หนึ่งในชาตินักรบผู้กร้าวแกร่งที่สุดอีกกลุ่มหนึ่งของแดนภารตะจน ณ ปัจจุบันนี้แล
ส่วนพวกซงหนูอีกพวกหนึ่งที่ยังคงเร่ร่อนต่อไปจนมาถึงทุ่งหญ้าสเตปป์ของรัสเซีย และจากนั้นก็เข้ารุกรานจักรวรรดิโรมัน ชาวยุโรปจึงเรียกขานพวกซงหนูหรือฮวานหนู่ที่มาถึงยุโรปนี้ว่า "ฮัน"
ใช่แล้วครับ พวกซงหนูหรือฮวานหนู่ ก็คือเผ่าฮันที่เคยรุกรานจักรวรรดิโรมันที่ผมได้เล่าไปแล้วนั่นล่ะครับ - ขอให้เข้าใจไว้โดยถ้วนกัน
พวกซงหนูหรือเผ่าฮันที่บุกเข้ามาใหม่ก็พอจะแผลงฤทธิ์ให้สมชื่อพอตัวทีเดียว เพราะทำเอาเหล่าอนารยชนเยอร์มานิคที่เป็นศัตรูคู่กัดกับพวกโรมันมาช้านานหนีเตลิดเปิดเปิงไปคนละทิศคนละทาง แต่พอถึงยุคของ “อัตติล่า” (Attila) แล้วนั่นล่ะครับ - นรกแตก!
เพราะพี่แกก็นำทัพพลพรรคป่าเถื่อนเข้ามาถล่มแผ่นดินตอนในของจักรวรรดิโรมันจนพินาศย่อยยับเหลือแต่ซากศพและเถ้าถ่านให้ดูต่างหน้า งานนี้นอกจากจักรวรรดิโรมันจะต้องสูญเสียดินแดนไปมากแล้ว ทั้งจักรพรรดิแห่งโรมและคอนสแตนติโนเปิลยังต้องจ่ายบรรณาการให้อัตติล่าอย่างที่จีนเคยจ่ายมาในยุคก่อน - ซะงั้น
ดังนั้น ด้วยความน่าสะพรึงกลัวที่กองทัพฮันบุกมาแหลกลาญอย่างนี้ล่ะครับ ชาวยุโรปในยุคนั้นก็ทั้งกลัวทั้งขยาด “มหันตภัยผมดำ” พวกนี้มาก จนถึงขั้นเล่าแต่งเติมไปเป็นตำช้าตำนานว่าพวกพี่เผ่าฮันแกมีหัวเป็นอสรพิษเลยนั่นเทียว - เอาเข้าไปสิเออ
แต่นับเป็นโชคดีของชาวยุโรปครับ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน อัตติลาข่านคนดีของเราก็มีอันซี้ม่องเท่งเพราะว่าเลือดกำเดาไหลบักโกรกจนตาย (ซะงั้น) งานนี้ก็เลยทำเอาเผ่าฮันวงแตกเกิดศึกชิงอำนาจกันเองจนไม่มีเวลาว่างกลับมาปล้นสะดมแผ่นดินยุโรปอีกแล้ว
ทว่า เผ่าฮันบางส่วนที่ยังตกค้างอยู่ในแผ่นดินยุโรปตะวันออกนั้น พวกฮันเหล่านี้ก็กลืนเข้ากับชนเผ่าพื้นเมืองจนกลายเป็นพวกแมกยาร์ (Magyar) บรรพบุรุษของชาวฮังการีในกาลต่อมานั่นล่ะครับ
ในตอนต่อไป เราจะมาพบกับชนเผ่าเร่ร่อนนามอุโฆษอีกเผ่าหนึ่งกันนะครับ
Credit:Penedge(เช่นเดิม)
(Greater Mongol Empire Series)ความเป็นมาของชนเผ่าบนทุ่งหญ้า