ตอนก่อนหน้านี้ ชีวิตในวัยเยาว์ของเตมูจิน
เดินทางมาถึงตอนที่เตมูจินได้เป็นผู้ใหญ่แล้วนะครับ โดยตอนนี้จะมีถึง 13 ตอนย่อยด้วยกัน!!! แหม่ยาวซะขนาดนี้ อย่าเสียเวลาเลยดีกว่า เชิญอ่านได้......
ตอนที่ 1:วิถีแห่งอำนาจแห่งทุ่งหญ้า และโศกนาฏกรรมอัปยศของเตมูจิน
หลังจากฟันฝ่าวิบากกรรมต่างๆนานามาอย่างโชกโชนแล้ว เมื่อเตมูจินโตอายุได้ ๑๖ ปีแล้ว เขาก็เริ่มจะมีหน้ามีตากะเขาขึ้นมาบ้างแล้วล่ะครับ เพราะนอกจากเขาจะได้รับความช่วยเหลือจากบรรดามิตรสหายหน้าใหม่แล้ว ก็ยังปรากฏมีพวกคนจรหมอนหมิ่นทั้งหลายทะยอยกันเข้ามาอาศัยอยู่ร่วมกับเตมูจินจนกลายเป็นค่ายกระโจมเล็กๆขึ้นมาบ้างแล้วล่ะครับ โดยในคราวนั้นเตมูจินได้มีเพื่อนที่จะกลายเป็นยอดขุนพลคนสนิทในภายภาคหน้าอยู่ ๓ คนคือ บอร์ซู เจลเม และสุโบไตครับ
สำหรับบอร์ซูนั้นก็คือคนเลี้ยงสัตว์ที่ผมเล่าถึงไปในตอนที่แล้วนั่นล่ะครับ ส่วนเจลเมหรือเจลมี (อย่าอ่านเป็น "จาระบี" เชียวล่ะ) นั้นคือลูกชายของชายนิรนามผู้ที่ช่วยชีวิตเตมูจินเอาไว้คราวออกมาจากเผ่าของตาร์:Xไตนั่นล่ะครับ ส่วนสุโบไตนั้นคือพี่ชายของเจลเมที่จะแอบดอดหนีตามมาอีกทีหนึ่งครับ ซึ่งผมขอให้ท่านทั้งหลายจำชื่อของนายสุโบไตคนนี้เอาไว้ให้แม่นนะครับ เพราะเขาคนนี้จะกลายมาเป็นหนึ่งในยอดขุนพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียวเชียวล่ะ
ส่วนผลงานของตะแกนั้นมีอะไรบ้างก็ขอติดไว้ก่อนละกันนะครับ - วกไปเข้าเรื่องของเรากันต่อ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเตมูจินจะไม่ชอบระบบเครือญาติซักเท่าไหร่ แต่เขาก็รู้ตัวดีว่าลำพังกำลังตนเองและเพื่อนฝูงที่มีอยู่ใน ณ ขณะนี้ก็คงจะตั้งเนื้อตั้งตัวได้ยากแน่ๆ และที่สำคัญด้วยวัยอายุ ๑๖ ปีนี้ก็ถึงเวลาของ...
อะแฮ่มๆ...ก็เวลาของคนหนุ่มสาวน่ะสิครับ - ไม่ต้องคิดมาก!
ดังนั้น เตมูจินจึงตัดสินใจที่จะบากหน้ากลับไปเผ่าเจเลอิดส์เพื่อที่จะสู่ขอคู่หมั้น - บูร์ไต - มาแต่งงานแต่งการอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเสียทีนั่นล่ะครับ ซึ่งในการสู่ขอคราวนั้นก็ไม่ปรากฏหลักฐานความยุ่งยากวุ่นวายอะไรหรอกครับ ด้วยคงจะเป็นเพราะว่าฝ่ายตระ:Xลเจเลอิดส์เห็นว่าเตมูจินก็โตเป็นผู้ใหญ่พอและมีหน้ามีตาพอสมควรแล้ว จึงสมควรที่จะยกลูกสาวไปให้เขาเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไป - ว่างั้น
นอกจากนั้นแล้ว เตมูจินยังได้พบกับเพื่อนร่วมสาบานคนเก่าที่พลัดพรากจากกันไปนานอย่างจามูกาด้วยเหมือนกัน ซึ่งมีบันทึกว่าทั้งสองต่างก็สาบานกันต่อฟ้าดินอีกครั้งหนึ่งเพื่อยืนยันถึงความสัมพันธ์ฉันท์มิตรของตนอีกด้วย
แหม่ งานนี้นับว่าเป็นงานชื่นคืนสุขจริงๆครับ เพราะนอกจากจะได้เมียแล้ว ยังได้พบเพื่อนเก่าเพื่อนแก่อีกต่างหาก - สุขใดไหนจะเท่าเล่าหนอ - และหลังจากเข้าพิธีแต่งงานและเข้าพิธีสาบานตนกับเพื่อนเก่าแล้ว เตมูจินยังเดินทางไปทุ่งหญ้าทางตะวันตกเพื่อเข้าพบกับ "โตกริลข่าน" แห่งเผ่าเคอเรอิตอีกด้วยครับ
สำหรับโตกริลข่านผู้นี้ เขาคือข่านผู้ทรงอำนาจที่สุดแห่งทุ่งหญ้ามองโกล ณ เวลานั้นเลยทีเดียวล่ะครับ เพราะความที่เผ่าเคอเรอิตตั้งอยู่ทางชายแดนตะวันตกอันเป็นชุมทางการค้าสำคัญจากเอเชียกลางหรือที่เราเรียกในสมัยหลังๆว่า "เส้นทางสายไหม" นั่นเอง จึงทำให้เผ่ามองโกลสายนี้สะสมความมั่งคั่งจากการวางตัวเป็น "พ่อค้าคนกลาง" ในการรับสินค้าจากโลกตะวันตกมากระจายสู่แผ่นดินตะวันออก หรือรับสินค้าตะวันออกกระจายสู่ดินแดนตะวันตกมาอย่างยาวนานแล้วล่ะครับ อันส่งผลให้พวกเขากลายเป็นหนึ่งในสองเผ่าแห่งทุ่งหญ้าตะวันตกที่หันไปนับถือคริสตศาสนานิกายออโธดอกซ์ไปโดยปริยาย
ไม่เพียงเท่านั้น เผ่าเคอเรอิตจึงกลายเป็นหนึ่งในสองเผ่าแห่งทุ่งหญ้ามองโกลที่พวกหนี่เจินแห่งต้าจินให้การสนับสนุน โดยให้เผ่าเคอเรอิตคุมอำนาจฝั่งตะวันตก และเผ่าตาตาร์คุมอำนาจฝั่งตะวันออกเพื่อรักษาดุลแห่งอำนาจในทุ่งหญ้ามองโกลเอาไว้ หรืออีกนัยหนึ่งก็คือให้ชนเผ่าที่ทรงอำนาจคานกำลังกันเองนั่นแหละ - ว่างั้น
ดังนั้น โตกริลข่านแห่งเผ่าเคอเรอิตจึงกลายเป็นหนึ่งในผู้นำที่ทรงอำนาจสูงสุดแห่งทุ่งหญ้ามองโกลอย่างแท้จริงเลยทีเดียวล่ะครับ
ส่วนสาเหตุที่เตมูจินต้องเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับโตกริลข่านนั้น มิใช่เพียงแค่ความต้องการหาผู้อุปถัมภ์หรือให้การคุ้มครองเท่านั้น หากแต่ยังเป็นการแสดงถึงสิทธิ์อันชอบธรรมว่าเขาคือ "ทายาทที่แท้จริง" ของเยซูไกแห่งเผ่าบอริจิน - เผ่าหมาป่า - เพราะบิดาของเขาเองก็เคยเป็น "เพื่อนร่วมสาบาน" หรืออันตากับโตกริลข่านมาก่อนอีกด้วยนั่นเอง
เพราะฉะนั้น หากเตมูจินต้องการจะตั้งเนื้อตั้งตัวให้อยู่ในทุ่งหญ้ามองโกลอันกว้างใหญ่แต่โหดร้ายแห่งนี้ได้ เขาจำเป็นต้องพึ่งพาโตกริลข่านเพื่อไม่ให้ใครหน้าไหนมารังแกรังควานครอบครัวและชนเผ่าของเขาได้อีกต่อไปแล้วนั่นเองล่ะครับ
ส่วนฝ่ายโตกริลข่านนั้นก็ไม่คิดอะไรมากครับ ซ้ำยินดีที่ได้รู้ว่าบรรดาลูกเมียของเพื่อนเก่ายังมีชีวิตอยู่เสียด้วย แกจึงประกาศยอมรับให้เตมูจินเป็น "บุตรบุญธรรม" อย่างเป็นทางการในทันทีเลยล่ะครับ
สรุปได้ว่างานนี้เตมูจินมีแต่ได้กับได้จริงๆ เพราะได้ทั้งเมีย พบเพื่อนเก่า แถมยังได้ผู้ใหญ่อุปถัมภ์ค้ำจุนเสียเสร็จสรรพ - ชื่นใจเสียไม่มีล่ะ
แต่ทว่า วันคืนแห่งความสุขก็ไม่ยืนยาวนักหรอกครับ เพราะมันดันมีเรื่องใหญ่ที่จะกลายเป็นหนึ่งในความอัปยศของราชวงศ์มองโกลไปอีกหลายสิบปีหลังจากนั้น...
หลังจากเตมูจินแต่งงานกับบูร์ไตได้ไม่นานนัก พวกเมอร์คิทส์ -ศัตรูเก่าแก่ของเยซูไก - ผู้ที่เคยถูกเยซูไกและพี่น้องฉุดคร่าโฮหลันไปเมื่อหลายสิบปีก่อนก็หวนกลับมาอีกครั้งและเข้าโจมตีเผ่าของเตมูจิน พร้อมกับฉุดบูร์ไตและโซชิเกล - แม่เลี้ยงของเบกเตอร์และเบล:Xไต - ไปด้วยซะฉิบเลย!
หากถามว่าตอนที่เกิดเรื่องนั้นเตมูจินทำอะไรในตอนที่เกิดเรื่อง?
ในพงศาวดารลับฯบอกอย่างชัดเจนเลยว่าเตมูจินพร้อมพี่น้องและคนรับใช้บางส่วน "เผ่น" หนีพวกศัตรูไปซะฉิบเลยล่ะครับ - ซะงั้นอ่ะ!
สาเหตุที่เตมูจินและพรรคพวกต้องหนีไปนั้น สาเหตุเนื่องมาจากว่า ในการปล้นสะดมของชนเผ่าบนทุ่งหญ้านั้น นอกจากสัตว์เลี้ยงจะเป็นทรัพยากรที่สำคัญแล้ว พวกผู้ชายก็ยังเป็นกำลังสำคัญของเผ่าอีกด้วย และถ้าในการโจมตีที่รุนแรงจนเกินกว่าจะรับมือได้นั้น พวกผู้ชายจะต้องหนีจากไปก่อนเพื่อรักษาชีวิตและกำลังของตนเองเอาไว้ อย่าหักหาญต่อกรกับศัตรูที่เหนือกว่าเด็ดขาด เพราะหากพวกผู้ชายยอมตายในการต่อสู้หมดแล้ว ผู้ที่จะลำบากก็คือคนที่อยู่ข้างหลังนั่นล่ะครับ
ดังนั้น เตมูจินและพวกผู้ชายบางส่วนจึงจำเป็นต้องหนีเอาชีวิตรอด เพื่อที่จะกลับมาในภายหลังนั่นเอง
แน่นอนครับว่าผลจากการโจมตีในครั้งนั้นสร้างความเสียหายให้กับค่ายของเตมูจินเป็นอย่างมาก เพราะนอกจากฝูงสัตว์จะโดนปล้นไปด้วยแล้ว แถมยังต้องเสียเมียรักที่ไม่เจอกันมาหลายปีกะแม่เลี้ยงไปอีกต่างหากแน่ะ เตมูจินจึงรีบแจ้นไปหาจามูกาและโตกริลข่านเพื่อขอกองกำลังไปล้างแค้นกับเผ่าเมอร์คิทส์ในทันทีล่ะครับ
งานนี้กลายเป็นว่าเมื่อทั้งจามูกาและโตกริลข่านทราบเรื่องแล้วก็ได้แต่นั่งอมพะนำกันล่ะครับ เพราะตามธรรมเนียมแห่งทุ่งหญ้านั้นจะไม่มีการเปิดศึกเพื่อล้างแค้นชิงคนรักหรือผู้หญิงกันเด็ดขาด
พูดง่ายๆว่าเรื่องอะไรจะยกทัพนับร้อยนับพันไปชิงผู้หญิงคนเดียวล่ะครับ - เสียเวลา
แต่งานนี้เตมูจินก็ทั้งไหว้วอนและขอร้องจามูกาและโตกริลข่านสารพัด แถมยอมความให้ว่าผมต้องการแค่เมียคืนคนเดียวเท่านั้น ส่วนสมบัติใดๆให้ท่านเอาไปตามสะดวกเถิด ผมขอร้องล่ะคร้าบ!
นอกจากจะอ้อนวอนสารพัดแล้ว เตมูจินก็พยายามขอร้องให้จามูกาช่วยเจรจาให้หน่อย แถมแกยังขั้นยอมยกสมบัติเก่าแก่ของบิดาเพียงชิ้นเดียวที่เหลืออยู่เสื้่อคลุมขนมิ้งค์สีดำให้กับโตกริลข่าน ซึ่งตามสังคมของชาวมองโกลใน ณ เวลานั้น ขงมิ้งค์มีราคาค่างวดสูงมาก แถมยังเป็นสมบัติของผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้นอีกต่างหาก ฝ่ายท่านข่านเฒ่าเห็นลูกบุญธรรมอ้อนวอนแถมของสมนาคุณให้ขนาดนี้แกก็ยอมใจอ่อนตบปากรับคำให้ตามคำขอโดยมีข้อแม้ว่า...
"งั้นรอปีหน้าละกันนะ เพราะตอนนี้จะเข้าหน้าหนาวแล้ว ไม่มีใครยกทัพไปรบกันตอนนี้หรอกว่ะ!"
เงิบสิครับ อย่างนี้ก็เงิบสิครับ! - เพราะอุตส่าห์เดินทางมาตั้งไกลแต่กลับได้คำตอบเช่นนี้ แต่ในเมื่อท่านข่านรับปากสัญญากันแล้ว จามูกาก็ได้แต่ปลอบให้เตมูจินกลืนเลือดยอมสะกดความแค้นเอาไว้เพื่อชำระแค้นภายในฤดูใบไม้ผลิที่จะมาถึงก็แล้วกันนะเพื่อนนะ //ตบบ่าปลอบ...
ในที่สุดแล้ว เตมูจินก็จำยอมรับปากกับบัญชาของโตกริลข่านอย่างไม่มีทางเลี่ยงในที่สุดครับ...
ครั้นเมื่อหิมะละลายและฤดูใบไม้ผลิมาถึงในปีถัดมา โตกริลข่านพร้อมกองทัพพันธมิตรของจามูกาและเตมูจินก็ยกทัพขึ้นเหนือไปปราบพวกเมอร์คิทส์ตามที่สัญญาเอาไว้ ซึ่งในศึกคราวนั้นเป็นศึกครั้งแรกที่เตมูจินเข้าร่วมและยังมีศักดิ์เป็นถึงผู้บัญชาการทัพหน้าอีกต่างหาก และแน่นอนว่าศึกคราวนั้นก็ไม่ต้องเดาผลให้เมื่อยเซลส์สมองแต่อย่างใดหรอกครับ - ฝ่ายของเตมูจินเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะอย่างงดงามไปตามระเบียบนั่นแหละ
แม้ว่าผลจากการรบในคราวนั้นจะเป็นการสร้างชื่อเสียงให้กับเตมูจินแล้ว เพราะนับเป็นศึกแรกที่เขานับทัพแถมยังได้ชัยชนะอีกด้วย แต่มันก็ดันมีเรื่องงามหน้าเสียแล้วล่ะครับ...
เพราะตอนที่เตมูจินยกทัพไปช่วยบูร์ไตและโซชิเกลออกมานั้น ปรากฏว่าโชซิเกลมิอาจทนรับความอัปยศที่ถูกพวกเมอร์คิทส์ข่มเหงเอาได้ นางจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายไปก่อนแล้ว แต่บูร์ไตน่ะสิครับ...
ใช่ครับ...นางท้องแล้วน่ะสิครับ...
Credit:Penedge
(Greater Mongol Empire Series)มหากาพย์รวมชาติมองโกล