แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Nook747 เมื่อ 2014-6-13 22:14
ตอนก่อนหน้านี้ จุดจบแห่งจักรวรรดิ์จิน
กลับมาอีกครั้ง สำหรับ Greater Mongol Empire Series ที่พวกเราห่างหายไปนาน โดยในตอนนี้จะมี 5 ตอนย่อยมาให้ชมกัน จะอ่านต่ออีกทำไมล่ะ เชิญชมได้!!!
ตอนที่ 1:บุกประจิมทิศ
การสังหารโหดทูตทั้ง ๔๕๐ คนในครั้งนี้ นับว่าเป็นเหตุอัปยศที่สุดอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์มองโกลนับแต่เหตุยุทธการสิบสามทัพเลยทีเดียว เพราะตามธรรมเนียมของชาวมองโกลถือว่าทูตเป็นผู้ที่จะถูกแตะต้องหรือล่วงละเมิดมิได้โดยเด็ดขาด - แม้แต่ทูตของศัตรูก็จะต้องได้รับเกียรติเสมอผู้นำทัพเช่นกัน -
ดังนั้น การสังหารทูตในคราวนี้ก็เท่ากับเป็นการเหยียดหยามเกียรติของชาวมองโกลทั้งปวงในทันที
ครั้นเมื่อเจงกิสข่านได้ทราบข่าวความอัปยศในครั้งนี้แล้ว ก็มีบันทึกบอกว่าพระองค์ทรงกริ้วจนเป็นลมหน้ามืดหมดสติไปเลยทีเดียว และเมื่อทรงฟื้นขึ้นมาก็ถึงขั้นกับอาละวาดเป็นการใหญ่เลยทีเดียว และหมายจะประกาศสงครามกับจักรวรรดิควาเรสม์ในทันที แต่กลายเป็นว่าบรรดาขุนนาง
จีนฮั่นและชี่ตันทั้งหลายต่างรีบชูมือคัดค้านกันหน้าสลอนตามประสานักวิชาการนักวิชาเกิน (ฮา) เพราะว่ามองโกลเองยังต้องทำศึกกับราชสำนักจิน จึงไม่สมควรที่จะเปิดศึกทำสงครามเพิ่มเติมมากไปกว่านี้ หากแต่สมควรที่จะส่งทูตไปเจรจาไปให้รู้เรื่องจะดีกว่า
เมื่อเจงกิสข่านได้ยินเช่นนั้นก็จำใจกัดฟันเก็บความแค้นไว้ชั่วครู่ แล้วจึงส่งขุนนางในราชสำนักพร้อมกับทูตที่เป็นมุสลิมไปเจรจากับพระเจ้าชาห์แห่งควาเรสม์อีกครั้ง ด้วยเห็นว่าหากส่งชาวมุสลิมไปด้วยกันแบบนี้แล้วน่าจะคุยกันรู้เรื่องบ้างล่ะนะ - แต่ทุกอย่างกลับเลวร้ายลงยิ่งกว่าเดิมเสียแล้วล่ะครับ...
เพราะคำตอบที่ได้รับกลับกลายเป็นทูตมุสลิมที่ถูกเผาเคราจนเ:X้ยนและศีรษะพร้อมกับศีรษะหัวหน้าคณะทูตมองโกลกลับคืนมาในห่อผ้าไหมสวยหรูน่ะสิครับ!
เอาล่ะ ในเมื่อว่าถึงเรื่องหนวดเรื่องเคราของชาวมุสลิมแล้ว ซึ่งพี่น้องหลายๆคนก็คงสงสัยว่าทำไมชาวมุสลิมต้องไหว้หนวดไหว้เครา ผมก็ไปไล่ถามเพื่อนที่เป็นมุสลิมจึงได้ความมาว่า ในมหาคัมภีร์อัลกุรอ่านเองก็มิได้มีตัวบทข้อบัญญัติในการไว้หนวดเคราหรอกครับ หากแต่เป็นเหมือน "ค่านิยม" หรือธรรมเนียมปฏิบัติที่ต้องการเอาเป็นแบบอย่างจากนบี (ศาสดา) มูฮัมหมัดและบรรพบุรุษเท่านั้นเอง ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรหรอกครับ เพราะก่อนที่ศาสนาอิสลามจะอุบัติขึ้นมานั้น อย่าว่าแต่พวกผู้ชายในเอเชียตะวันออกกลางเลยครับ ชาวยุโรปและชาวจีนเองก็นิยมไว้หนวดเครากันทั้งนั้น เพราะมันมีนัยยะบ่งบอกถึงความเป็นชาย และรวมถึงเรื่องของอำนาจกับฐานะไปในตัวด้วย
เพราะถ้าหากมีหนวดเคราดกดำเงางาม ย่อมหมายความว่าคนๆนี้ดูดีมีความภูมิฐาน แต่ถ้าหนวดเครายาวรุงรังอีรุงตุงนังเป็นสังกะตัง มันก็เข้าทำนองว่าไม่รู้จักดูแลหรือเข้าใจว่ามีเงินทองดูแลตัวเองเอาเสียเลย แถมกลายเป็นขี้ปากชาวบ้านให้นินทาเล่นอีกต่างหาก
จนกระทั่งถึงยุคที่ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาหลักของตะวันออกกลาง ชาวมุสลิมก็ยิ่งถือว่าการไว้หนวดเครานั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะด้วยมีความ
เชื่อในสังคมอาหรับ ณ เวลานั้นมีความเชื่อแปลกๆว่าหนวดเคราเครื่องเบิกทางสู่สรวงสวรรค์ แต่หากหนวดหรือเคราถูกผู้ใดจับโกนออกหรือถูกย่ำยีทำลายทิ้งเสียก็เท่ากับว่าถูกทำลายเกียรติยศเลยทีเดียว
ดังนั้น ในเมื่อคณะทูตของพระองค์ถูกย่ำยีปานฉะนี้ เจงกิสข่านทรงกริ้วอย่างหนักแถมความดันขึ้นปรี๊ดจนไม่ฟังคำพูดของพวกขุนนางจีนอีกต่อไปแล้ว พระองค์จึงจัดประชุมสภาคูริลไตเพื่อหารือการประกาศสงครามกับจักรวรรดิควาเรสม์ในทันที ซึ่งงานนี้ก็ไม่ต้องคาดเดาให้วุ่นวาย เพราะผลในที่ประชุมเป็นเอกฉันท์ว่าให้ควรเปิดศึกล้างแค้นกับจักรวรรดิควาเรสม์ในทันที
อย่างไรก็ตาม สาเหตุของการเปิดศึกกับจักรวรรดิควาเรสม์อันไกลโพ้นนั้น ดูน่าจะไม่ได้มีเพียงเหตุผลเพื่อที่จะแก้แค้นอย่างเดียวแน่นอนล่ะครับ แต่เรื่องของเรื่องน่าจะมาจากการที่พวกมองโกลเล็งเห็นความสำคัญของผลประโยชน์บนเส้นทางการค้าทางบกที่เรียกว่า “เส้นทางสายไหม” นั่นล่ะครับ
เพราะในอดีตกาลนั้น บรรดาอาณาจักรต่างๆล้วนแย่งชิงความเป็นใหญ่เหนือเส้นทางสายไหมแห่งนี้เสมอ ด้วยว่าเป็นเส้นทางการค้าโบราณที่เชื่อมระหว่างโลกตะวันตกอย่างยุโรปและตะวันออกกลางเข้ากับแผ่นดินจีนมานานแล้ว ซึ่งในสมัยราชวงศ์ฮั่นและถังนั้น กองทัพจีนสามารถบุกตะลุยมาครอบครองยังเขตใจกลางเอเชียกลางได้สำเร็จ ทำให้จีนก้าวขึ้นมาเป็นมหาอำนาจแห่งเอเชีย ถืออำนาจผูกขาดการเป็นพ่อค้าคนสำคัญของโลกไว้แต่เพียงผู้เดียวอย่างเด็ดขาดมากว่า ๕๐๐ ปี
แน่นอนว่า ชาวมองโกลเองก็คงมิได้มองข้ามความมั่งคั่งของเส้นทางสายไหมไปด้วย เพราะนอกจากพวกชนเผ่าเร่ร่อนจะดำรงชีพด้วยการเลี้ยงสัตว์แล้ว พวกเขาก็เป็นพ่อค้าระดับหัวกะทิมานานแล้วเช่นกัน โดยในยุคที่พวกซงหนูยังกำแหงศักดาอยู่นั้น ปัญหาที่ปีนเกลียวกับจีนไม่จบไม่สิ้น ก็เพราะเรื่องความพยายามจะเป็นผู้ผูกขาดการค้าบนเส้นทางสายไหมแห่งนี้นั่นเองครับ
ครั้นมาถึงยุคราชวงศ์ถัง นอกจากจีนจะเอาชนะพวกทูเจี๋ยได้แล้ว ราชสำนักถังยังส่งกองทัพออกไปแผ่ขยายอย่างกว้างขวางเสียยิ่งกว่าสมัยฮั่น อันส่งผลให้เส้นทางสายไหมมีความคึกคักมั่งคั่งเสียยิ่งกว่าสมัยไหนๆ ชนิดว่ากรุงโรมต้องอายน้อยหน้าไปเลยทีเดียว
หากฝรั่งขี้นกเขาจะว่า “ถนนทุกสายมุ่งสู่โรม” พี่น้องชาวเอเชียอย่างเราก็คงพูดได้ว่า “ถนนทุกสายมุ่งสู่ฉางอัน” ได้เช่นกัน
เพราะฉะนั้น ความต้องการสินค้าจากโลกตะวันออกโดยเฉพาะผ้าไหมนั้นเป็นที่ต้องการของโลกตะวันตกมาตั้งแต่ยุคโบราณแล้ว โดยเฉพาะในสมัยโรมันนั้น บรรดาขุนนางโรมันล้วนมีความนิยมในผ้าไหมเป็นอันมากจนใช้เป็นเครื่องบ่งบอกฐานะทางสังคม ถึงขนาดมีความพยายามในการยกทัพเข้าโจมตีจักรวรรดิปาร์เธียน (Parthian Empire) ในตะวันออกกลางเพื่อเบิกทางสู่ดินแดนเอเชียตะวันออกกลางมาแล้ว แต่ผลก็คือถูกทัพม้าปาร์เธียนยำเละเทะ - อย่างที่ผมเคยเล่าไปในแล้วในบทความสาธยายอารยธรรมกรีก - โรมันนั่นล่ะนะ
ครั้นมาถึงสมัยยุคกลาง บรรดากษัตริย์และขุนนางทั้งคริสต์และมุสลิมต่างยินดีจ่ายทองคำเป็น:Xบๆเพื่อให้ได้มาซึ่งผ้าไหมสักหลาหนึ่ง จนทำให้มันเกิดเป็นข่าวลือว่าแท้จริงแล้วผ้าไหมคือผ้าวิเศษที่สวมในฤดูหนาวแล้วจะอุ่นสบาย สวมในฤดูร้อนแล้วจะเย็นช่ำชื่นใจ หรือแม้แต่หากใครป่วยไข้แล้วลองได้สวมหรือห่มผ้าไหมแล้วก็จะหาย - ว่าเข้าไปนั่้น
เพราะเหตุนี้ มีหรือว่าชาวมองโกลจะไม่รู้ดีว่าเส้นทางสายไหมนี้มีความสำคัญมากเพียงใด ซึ่งในช่วงเจงกิสข่านยังไม่ได้รวมแผ่นดินเป็นหนึ่งนั้น เผ่ามหาอำนาจแห่งทุ่งหญ้าอย่างเคอเรอิตและไนแมนส์ต่างก็เป็นเผ่าพ่อค้าระดับเจ้าสัวใหญ่ที่เจริญจากการค้าบนเส้นทางสายไหมทั้งสิ้น - ดังที่ได้เล่าให้ฟังไป (อีก) แล้วนั่นล่ะครับ
ดังนั้น เมื่อเจงกิสข่านรวมแผ่นดินเป็นหนึ่งเดียวได้แล้ว ความหวังที่จะเข้าร่วมแบ่งปันผลประโยชน์เส้นทางการค้านี้ก็มิอาจจะปล่อยผ่านไปง่ายๆ แต่กลับกลายเป็นว่าดันมีเหตุอัปยศด้วยการที่ราชสำนักควาเรสม์สังหารทูตมองโกลถึงสองครั้งติดต่อกันโดยไม่มีเหตุผลเสียแล้ว สงครามจึงเป็นสิ่งที่มิอาจจะหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไปแล้ว
ในการประกาศศึกกับจักรวรรดิควาเรสม์ครั้งนี้ เจงกิสข่านได้มีบัญชาให้กษัตริย์ซีเซี่ยส่งกำลังสนับสนุนเข้าร่วมทำสงคราม แต่ไอ้พวกซีเซี่ยกลับออกอาการเป็นพระเจ้าเบี้ยวอีกรอบ เพราะนอกจากพวกจะไม่ส่งกองทัพเข้าร่วมด้วยไม่พอ ดันไปทะลึ่งโพล่งว่า
“ถ้าไม่มีทหารพอ ก็ไม่น่าเป็นข่านได้”
ดูสิครับ ดูปากมันสิครับ!
งานนี้เจงกิสข่านก็ต้องความดันขึ้นยกสอง แต่เหล่าขุนนางต่างทูลทัดทานไปว่าอย่าเพิ่งไปกริ้ว ถึงมันจะแข็งข้อยังไง มันก็ไม่มีโอกาสจะตลบหลังหรือเป็นภัยต่อพวกเราได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นของพระองค์ก็ต้องกลั้นพระทัยไว้ก่อนก็แล้วกันนะจ๊ะ
ดังนั้น เจงกิสข่านจึงยอมละเว้นอาณาจักรซีเซี่ยเอาไว้เพื่อจะไปจัดการกับพวกควาเรสม์ให้เรียบร้อยก่อน อาณาจักรซีเซี่ยจึงเป็นเป้าหมายที่ถูกแปะโป้งไว้ก่อนรอวันชำระแค้นในคราวหลังก็แล้วกัน...
มหาสงครามครั้งนี้จึงได้อุบัติขึ้นแล้วครับ
(Greater Mongol Empire Series)บุกสู่ตะวันออกกลาง