แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Azeroth_pon เมื่อ 2015-1-1 18:10
หลายๆท่าคงคุณกับคำว่าพลซุ่มยิงดีพอสมควรไม่ว่าจากเกมส์หนังและสื่อต่างๆ ส่วนตัวผมพึ่งมารู้จักและสนใจตอนได้ดูหนังเรื่อง Shooter ด้วยความชอบผมจึงขอนำข้อมูลของพลซุ่มยิงมาให้ทุกท่าได้อ่านกันนะครับ
รูปจากหนังเรื่อง Shooter
ก่อนอื่นเรามาเริ่มกันที่พลซุ่มคืออะไรดีกว่า
พลซุ่มยิง หรือ ในชื่ออังกฤษว่า Sniper คือผู้ที่มีความสามารถสูงในเรื่องของการยิงปืนในระยะ ไกล ซึ่งได้รับการฝึกฝนการยิงเป้าหมายในสถาณการต่างๆที่ต ้องใช้ความสามารถในเรื่องของการยิงปืน เรื่องของความอยู่รอด (survivability) ในพื้นที่ต่างๆ เป็นระยะเวลานาน เช่น ในป่า หรือ ในพื้นที่สิ่งก่อสร้าง หน้าที่ของพลซุ่มยิงคือ การวางวิถีกระสุนอย่างแม่นยำไปยังฝ่ายข้าศึก ซึ่งทหารในหน่วยต่างๆ ไม่สามารถทำการยิงได้ ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะระยะทาง ขนาดของกำลังข้าศึก ที่ตั้งฝ่ายข้าศึก หรือว่าการมองเห็น พลซุ่มมีคติว่า "ONE SHOT ONE KILL" หรือ หนึ่งนัดหนึ่งสังหาร
ต่อมาก็เป็นประวัติความเป็นมาของพลซุ่มยิงกันก่อนต่อนะครับ
ย้อยเวลากลับไปในช่วงสงครามปฏิวัฒน์อเมริกา กองทัพเหล่าแยงกี่ผู้โหยหาอิสระภาพต้องมาสู้กับทหารมืออาชีพของจักรวรรดิอังกฤษ ผลก็รู้ๆกันอยู่กองทัพปฏิวัฒน์ที่พึ่งฝึกเสร็จติดอาวุธแค่พอเป็นพิธีรึจะสู้กองทัพทหารเสื้อแดง(Red Shirt)ของอังกฤษได้ พอสู้ตรงๆไม่ได้ฝ่ายอเมริกาจึงใช้วิธีที่แปลกใหม่ที่ทำให้ฝ่ายอังกฤษไปไม่เป็นกันเลยที่เดียว นั้นคือให้ทหารที่ชำนาลในการล่าสัตว์โดยการซุ่มพรางตัว ใช้ปืนไรเฟิลแบบมีเกลียวในลำกล้องที่ทำให้ยิงได้ไกลและแม่นมาก โดยทหารเหล่านี้จะเลือกเป่าหมายจากทหารอังกฤษยศสูงๆก่อน(นายทหารสมัยนั้นยิ่งยศสูงยิงแต่งตัวอลังการจึงสังเกตได้ง่าย)และนี้เองคือที่มาของ พลซุ่มยิงนั่นเอง
ไม่ใช้ว่าใครก็ได้ที่จะสามารถเป็นพลซุ่มยิงได้หากท่านผู้อ่านอยากที่จะเป็นพลซุ่มยิงท่าจะต่องมีคุณสมบัติ 6 ประการดังนี้
1.แม่นปืน(แน่ละ)ต้องมีความสามารถในการยิงปืนเป็นเลิศ คนที่ได้ผ่านการแข่งขันการยิงปืนและการล่าสัตว์จะได้เปรียบในการคัดเลือก
2.ร่างกายต้องพร้อม ผู้ที่จะเข้ารับการฝึกเป็นพลซุ่มยิง จะต้องเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง และถ้าเคยผ่านการเป็นนักกีฬาในประเภทต่างๆ ก็จะได้เปรียบในการคัดเลือกเข้ารับการฝึก
3.สายตาและความสามารถในการมองเห็น ผู้ที่จะเข้ารับการฝึกจะต้องเป็นผู้ที่ไม่ใส่แว่นสาย ตา เพราะจะเป็นการเสี่ยงต่อความล้มเหลวของภารกิจเมื่อแว ่นสายตาชำรุด หรือสูญหายในพื้นที่ปฏิบัติการ นอกจากนี้จะต้องไม่ตาบอดสี เพราะจะมีปัญหาในการแยกเป้าหมายจากสิ่งแวดล้อม
4.ไม่สูบบุหรี่ ผู้ที่เข้ารับการฝึกจะต้องไปเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะเป็นการเปิดเผยที่ตั้งของตนเอง นอกจากนี้การปฏิบัติงานจริงจะต้องอยู่ในภาวะที่ไม่สา มารถสูบบุหรี่ได้เป็นระยะเวลานาน การที่ไม่สูบบุหรี่เป็นระยะเวลานานของผู้ที่สูบบุหรี ่เป็นประจำจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการยิงลดลง
5.มีความมั่นคงทางอารมณ์สูงกว่าคนปกติ ผู้ที่เข้ารับการฝึก จะต้องเป็นผู้ที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีในภ าวะต่างๆ เพราะการปฏิบัติงานจริงอาจจะต้องตกอยู่ในภาวะที่มีคว ามกดดันสูง การลั่นไก ณ เวลา และสถานที่ที่เหมาะสม เป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อการปฏิบัติงานของพลซุ่ มยิง
ุ6.ความคิดและระดับสติปัญญา ผู้ที่เข้ารับการฝึกนั้นจะต้องเรียนรู้เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับขีปนวิธีของกระสุนในลักษณะต่างๆ การปรับแต่งอุปกรณ์ช่วยเล็ง การใช้วิทยุสื่อสาร การตรวจการณ์ และการปรับการยิง เครื่องยิงลูกระเบิดและปืนใหญ่ การเดินแผนที่และเข็มทิศ การรวบรวมและรายงานข่าวสาร และการพิสูจน์ฝ่ายและอาวุธยุทโธปกรณ์
ในหนึ่งชุดซุ่มยิงลาดตระเวน จะประกอบไปด้วย กำลังพล 2 นาย คือ 1. พลซุ่มยิง (Sniper) เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ในการซุ่มยิง และ 2. พลชี้เป้า (Spotter) เป็นผู้ที่ทำหน้าที่วัดระยะจากที่วางตัวไปยังเป้า หมายแล้วแจ้งให้พลซุ่มยิงทราบ พลซุ่มยิงแค่ชุดยิงลาดตระเวน 1 ชุด สามารถที่จะหยุดการเคลื่อนที่ของทหารได้ถึงหนึ่งกองพลเลยทีเดียว
รูปชุดซุ่มยิง
หลักการของการซุ่มยิงมีอยู่ 3 ข้อคือ
1.การแทรกซึม ถือเป็นการปฏิบัติที่มีความสำคัญกับภารกิจอย่างมาก เนื่องจากหากถูกตรวจพบก็จะทำให้การปฏิบัติภารกิจล้มเหลว และก่อให้เกิดอันตรายกับสไนเปอร์ด้วย โดยจะต้องมีการวางแผนที่จะแทรกซึมอย่างรัดกุม เช่น มีการลวงข่าว อาศัยความเร็ว ความคล่องตัว และการพรางตัว โดยการแทรกซึมนั้นสามารถแยกออกได้ 3 รูปแบบ คือ การแทรกซึมทางอากาศ, การแทรกซึมทางบก, และการแทรกซึมสะเทินน้ำทะเทินบก
2.การปฏิบัติต่อเป้าหมาย ขั้นตอนนี้สามารถแบ่งย่อย ๆ ออกเป็น การเคลื่อนที่เข้าหาเป้าหมาย, การเลือกจุดวางตัว, การวางตัวและตรวจการณ์, การรายงาน และการถอนตัวออกจากจุดวางตัว
3.การถอนตัว การถอนตัว สามารถกระทำได้โดยทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และทางยานยนต์ นอกจากนี้ ซึ่งสไนเปอร์ จะต้องเตรียมการในเรื่องของ การหลบหลีกและหลีกหนี (Evasion and Escape) ไว้ด้วย เมื่อถูกไล่ตามจากฝ่ายตรงข้าม
อาวุธของพลซุ่มยิง
ปืนไรเฟิล หรือ อาวุธซุ่มยิงคู่กายของสไนเปอร์ ถูกออกแบบมาให้ยิงด้วยการประทับไหล่ ภายในลำกล้องมีการเซาะให้เป็นสันเกลียว (Land) และร่องเกลียว (Groove) ซึ่งสันเกลียวจะสัมผัสกับหัวกระสุนและรีดหัวกระสุนไปตามสันเกลียวโดยหมุนควงรอบตัวเอง เพื่อให้หัวกระสุนไม่กลับหัวกลางอากาศ และเพิ่มความแม่นยำของอานุภาพในการสังหาร
ตัวอย่างของปืนไรเฟิลซุ่มยิง
1.M24
2.SR25
3.M21
4.Barrett82A1 .50 Cal
5.Cheytac .408
เป็นต้นครับ
เรามาต่อกันที่ 10 อันดับพลซุ่มยิงในตำนาจตลอดการเราไปดูกันนะครับว่าพวกเขาเทพขนาดไหนกัน
1.สิโม ฮาห์ยา (Simo Häyhä)
ในช่วงสงครามกับรัสเซีย พ.ศ.2482-2483 ในเวลาเพียง 100 วัน พลทหารกองทัพเล็กๆ ของฟินแลนด์คนนี้สังหารทหารรัสเซีย 505 คนด้วยปืนไรเฟิ้ลไม่ติดกล้อง กับอีกราว 200 คนด้วยปืนกล รวมผลงาน 705 ศพ
ฮาห์ยา บอกกับคนใกล้ชิดในเวลาต่อมาว่า กล้องติดปืนเป็นอันตรายอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมด้วยหิมะ มันอาจสะท้อนแสงวาววับเมื่อไรก็ได้ ซึ่งจะทำให้ข้าศึกมองเห็นจุดซุ่มยิง เทคนิคการเอาชีวิตรอดอีกอย่างหนึ่งคือ ก่อนจะลั่นไกเขาจะอมหิมะเอาไว้ ป้องกันมิให้ลมหายใจที่พวยพุ่งออกมากลายเป็นไอให้เห็น ภายใต้อุณหภูมิติดลบ 40 องศาเซลเซียส ซึ่งจะเป็นที่สังเกตของฝ่ายตรงข้าม
จุดซุ่มของเขาจะมีหิมะปกคลุมช่วงปลายกระบอกปืนเอาไว้เสมอ ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ ไม่ให้ไอร้อนจากการยิงพวยพุ่งขึ้น
เมื่อเขายิงสังหารฝ่ายรัสเซียเป็นจำนวนมากขึ้นทุกทีๆ ฝ่ายนั้นส่งทหารทั้งกองร้อย ออกค้นหาทั่วทั้งป่าและทุ่งหิมะ แต่ก็ไม่เคยพบ “ความตายสีขาว” (White Death) อันเป็นฉายาที่ข้าศึกมอบให้ด้วยความเคารพเลื่อมใส
2.คาร์ลอส นอร์แมน แฮธค็อกซ์ ที่ 2 (Carlos Norman Hathcock II)
แฮธค็อกซ์ เกิดวันที่ 20 พ.ค.2485 ถึงแก่กรรม 1 เม.ย.2542 เคยเป็นนักยิงปืนล่ารางวัลและได้รับหลากหลายรางวัลก่อนจะอาสาไปเวียดนาม ซึ่งพลทหารคนนี้สามารถ “ล้ม” ข้าศึกได้ 93 คนเท่าที่ยืนยันได้ และ ยังมีเป้าหมายที่ไม่สามารถยืนยันการเสียชีวิตได้อีกนับร้อย
มีเรื่องเล่ากันต่อๆ มาว่า กองทัพเวียดนามเหนือตั้งค่าหัวแฮธค็อกซ์ถึง 30,000 ดอลลาร์ หลังจากสังหารกำลังพลของฝ่ายนั้นไปมากมาย รวมทั้งระดับรองแม่ทัพคนหนึ่ง
แฮธค็อกซ์ เป็นสไนเปอร์เพียงคนเดียวในสงครามเวียดนาม ที่ “สอย” นักซุ่มของฝ่ายข้าศึกคนหนึ่งโดยยิงทะลุกล้องติดปืน ซึ่งมีเพียงโอกาสเดียวที่จะเกิดขึ้นได้ คือ ทั้งสองฝ่ายเล็งปืนเข้าหากันในเวลาเดียวกัน แฮธค็อกซ์ ลั่นไกก่อนและมันพุ่งทะลุเข้าลูกตาอย่างแม่นยำ
เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นขณะที่หมวดนาวิกโยธินที่แฮธค็อกซ์สังกัด กำลังลาดตระเวน สไนเปอร์ของเวียดนามเหนือเปิดฉากยิงจากระยะไกลแต่พลาด พลทหารโรแลนด์ เบิร์ค (Roland Burke) พลชี้เป้ามองเห็นแสงสะท้อนจากเลนส์กล้องติดปืน แฮธค็อกซ์เล็งไปที่นั่นทันทีทันใด และสร้างตำนานให้สไนเปอร์รุ่นหลังเล่าขาน
ครั้งหนึ่งเขาได้รับคำสั่งให้ “เก็บ” นายพลเวียดนามเหนือคนสำคัญ แฮธค็อกซ์ปฏิบัติการเวลากลางคืน พรางตัวและคลานเป็นระยะทาง 1,500 หลาเข้าพื้นที่เป้าหมาย ช่วงหนึ่งเขาเกือบถูกงูเห่าฉก และอีกครั้งหนึ่งเกือบจะถูกทหารเดินยามเวียดนามเหนือคนหนึ่งเหยียบ
แฮธค็อกซ์ คลานถึงจุดซุ่ม เมื่อเป้าหมายไปถึงเขาก็พร้อมอยู่แล้วและเหนี่ยวไกทันที ท่านนายพลโดนเข้ากลางอกล้มลง ทหารฝ่ายนั้นออกค้นหาสไนเปอร์จ้าละหวั่น พลทหารนักแม่นปืนต้องคลานกลับอีก 1,500 หลา ให้พ้นพื้นที่ข้าศึก
และนี่คือ สุดยอดสไนเปอร์ในช่วงสงครามเวียดนาม ซึ่งทะยานขึ้นอันดับ 2 ในสังเวียนระดับโลก
3.เอเดลเบิร์ต เอฟ วัลดรอน (Adelbert F Waldron)
เกิดวันที่ 14 มี.ค.2476 ถึงแก่กรรม 18 ต.ค.2535 “เก็บ” ฝ่ายเวียดนามเหนือได้ 109 คน แต่ได้รับการยกย่องเป็นนักแม่นปืนที่แม่นยำที่สุดและมือดีที่สุดคนหนึ่งของนาวิกฯ สหรัฐฯ
พ.อ.ไมเคิล ลี แลนนิง (Michael Lee Lanning) นายทหารผ่านศึกจากสงครามเวียดนาม ได้บันทึกเหตุการณ์เอาไว้ว่า บ่ายวันหนึ่งขณะหมวดลาดตระเวนกำลังแล่นเรือไปตามลำน้ำโขง มีข้าศึกยิงจากฝั่งในระยะไกลโดนเข้าลำเรือ และขณะที่คนอื่นๆ ตื่นตระหนกหาที่หลบซ่อน จ่าวัลดรอนมองเห็น เขายกปืนขึ้นเล็งและสอยเวียดกงนักซุ่มลงจากต้นมะพร้าวที่อยู่ห่างออกไปราว 900 หลา
มือวางอันดับ 2 ในสงครามเวียดนามและอันดับ 3 ในระดับโลก ได้รับการยกย่องในความมีสติ กับความแม่นยำยิ่ง ในเหตุการณ์ดังกล่าว เขาประทับไหล่ยิงขณะที่เรือยังคงแล่นไปข้างหน้า ซึ่งยากมากที่จะ "สอย" เป้าหมายที่อยู่ไกลขนาดนั้น
“นี่คือ พลแม่นปืนที่ดีที่สุดของเราคนหนึ่ง” พ.อ.แลนนิง เขียนเอาไว้ในหนังสือ “Inside the Crosshairs: Snipers in Vietnam”
4.ฟรานซิส พีกะมากาโบว์ (Francis Pegahmagabow)
เกิด 1 มี.ค.2431 ถึงแก่กรรม 5 ส.ค.2495 เป็นพลทหารชาวแคนาดา เป็นสไนเปอร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 1 มีประวัติสังหารทหารเยอรมันถึง 378 คน จับได้อีก 300 คนเศษ ยังมีชื่อเสียงในฐานะนักสะกดรอยและสอดแนมในพื้นที่ยึดครองของข้าศึก
5.ลูดมิลา ปาฟลิเชนโก (Lyudmila Pavlichenko)
เกิด 12 ก.ค.2459 ถึงแก่กรรม 10 ต.ค.2517 สมัครเข้าเป็นทหารเดือน มิ.ย.2484 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะกองทัพนาซีบุกสหภาพโซเวียต เธอเป็นหนึ่งในนักแม่นปืนหญิงราว 2,000 คนของกองทัพแดง ปฏิบัติการในเซวาสโตโปล (Sevastopol) คาบสมุทรไครเมีย ในทะเลดำ
“นักฆ่าหน้าหวาน” มีประวัติสังหารนาซี 309 คน ในนั้น 36 คนเป็นสไนเปอร์เช่นเดียวกับเธอ
ุ6.วาสสิลี เซ้ตซอฟ (Vassili Zaytsev)
เกิด 23 มี.ค.2458 ถึงแก่กรรม 15 ธ.ค.2544 ดูจะเป็นสไนเปอร์ที่โลกรู้จักมากที่สุด ผ่านภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่ ฌ็อง-ฌากส์ อานโนด์ (Jean-Jaques Annaud) สร้างและกำกับ จูด ลอว์ (Jude Law) ประชันบทกับ ริชาร์ด ไฟนส์ (Richard Fiennes) เอ็ด แฮร์ริส (Ed Harris) กับ เรเชล ไวส์ (Rachel Weisz)
เกิดในครอบครัวชาวนา เซ้ตซอฟเข้าเป็นทหารกองทัพแดงของอดีตสหภาพโซเวียต เขาสังหารนาซีได้ 242 คน ระหว่างเดือน ต.ค.2485 ถึง ม.ค.2486 ที่กองทัพของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ยึดครองนครสตาลินกราด (Stalingrad) เรื่องราวอันแท้จริงของเขาไม่มีรายละเอียดมากนัก เพียงแต่ว่าเขาสามารถสังหารเออร์วิน โคนิก (Erwin Kónig) สุดยอด "มือปราบสไนเปอร์" ของนาซีได้ และได้ปืนของคู่ต่อสู้เป็นรางวัลเกียรติยศ เนื่องจากเป็นของคนที่เป็นยอดฝีมือเช่นเดียวกันกับตัวเขา
7.ร็อบ เฟอร์ลอง (Rob Furlong)
เป็นอดีตพลทหารกองทัพแคนาดา ปฏิบัติการในอัฟกานิสถาน เป็นสไนเปอร์ที่ยิงสังหารได้จากระยะไกลที่สุดเท่าที่มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ คือ 1.51 ไมล์ หรือ 2,430 เมตร
ร็อบยิงด้วยปืน TAC 50 ขนาด .50 ของแม็คมิลลันบราเดอร์ส (McMillan Brothers) และ ยิงด้วยกระสุน A-MAX เป้าหมายเป็นผู้นำระดับปฏิบัติการคนสำคัญของกลุ่มอัลกออิดะห์ นัดแรกของเขาพลาดเป้า นัดที่สองโดนเป้สะพายหลัง
ตอนกระสุนนัดที่ 2 โดนนั้น ร็อบได้เหนี่ยวไกยิงนัดที่ 3 ออกไปแล้ว แต่ก็เป็นช่วงที่อีกฝ่ายหนึ่งรู้ตัวว่าถูกลอบยิง ระยะทางขนาดนั้นกระสุนแต่ละนัดใช้เวลาราว 3 วินาที แหวกอากาศสู่เป้าหมาย ซึ่งนานพอที่อีกฝ่ายหนึ่งจะรู้ตัวว่าโดนซุ่มและหลบหาที่กำบัง
แต่นักฆ่าชาวแคนาดามีสติมั่นคง เพียง 3 วินาทีก็มากพอที่จะยิงซ้ำนัดที่ 3 ซึ่งพุ่งเข้าทะลุหน้าอกของเป้าหมายทั้งหมดนี้เกิดขึ้นต่อหน้าเพื่อนร่วมทีมสังหารอีก 3 คน
8.ชาร์ลส์ “ชัค” มอวินนีย์ (Charles ‘Chuck’ Mawhinney)
เกิดปี พ.ศ.2492 เกิดในครอบครัวชาวนาแห่งทุ่งแพรรี่ ล่าสัตว์มาตั้งแต่ยังเล็ก สมัครเข้ารับใช้ชาติในปี 2510 และ เพียง 16 เดือนในเวียดนาม พลทหารมอวินนีย์ ซัดข้าศึกด่าวดิ้นต่อหน้า 103 คน อีก 216 คน โดน “ส่อง” และอาจถึงแก่ชีวิต ในช่วงปีดังกล่าวเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะค้นหาศพเพื่อยืนยัน
เมื่อปลดประจำการจากกองกำลังนาวิกโยธิน “ชัค” ไม่ปริปากเรื่องเวียดนามกับใคร มีเพื่อนนาวิกฯ เพียงไม่กี่คนที่รู้ จนอีก 20 ปีต่อมาหนึ่งในคนเหล่านั้นจึงเปิดเผยเรื่องราวอันน่าทึ่งของเขาออกมาให้โลกรู้จัก ซึ่งขณะนั้นมอวินนีย์เป็นครูสอนวิชายิงปืนที่สถาบันแห่งหนึ่ง
“มันเป็นการล่าที่สุดยอด- คนๆ หนึ่งออกล่าอีกคนหนึ่งที่กำลังตามล่าตัวเขาเช่นเดียวกัน อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับการล่าสิงโตล่าช้างอย่างเด็ดขาด- สัตว์พวกนั้นไม่ได้มีโอกาสต่อสู้ ไม่ได้ยิงโต้ตอบคุณด้วยไรเฟิ้ลติดกล้อง ผมรักการล่า (ในเวียดนาม) อย่างจับใจ และรู้สึกพอแล้ว” เพื่อนนาวิกฯ ที่เขียนเรื่องราวของเขา อ้างคำพูดอันเป็นวรรคทองของมอวินนีย์
ระยะซุ่มยิงของมอวินนีย์จะอยู่ระหว่าง 300-800 หลา แต่ก็มีหลายครั้งที่เขาสอยข้าศึกร่วงจากระยะกว่า 1,000 หลา ซึ่งทำให้มอวินนีย์เป็นเทพสไนเปอร์อันดับ 3 ในสงครามเวียดนาม และนี่คือมือวางอันดับ 8 ของโลก
9.จ่าเกรซ(Sgt Grace)
ทหารราบพลปืนสังกัดกองพันทหารราบจอร์เจียที่ 4 ของฝ่ายสหพันธรัฐ ในช่วงสงครามกองทัพกับอังกฤษ เป็นผู้สังหารนายพล จอห์น เซ็ดจ์วิค (Gen John Sedgwick) ของฝ่ายข้าศึกจากระยะ 1,000 หลา
จ่าเกรซ ยิงพลาดนัดแรกทำให้ทหารอังกฤษวิ่งหาที่กำบัง แต่นายพลเซ็ดจ์วิค ยังอยู่ที่เดิม และ ยังดุผู้ใต้บังคับบัญชาว่าตกใจกลัวเกินเหตุ ทั้งๆ ที่สไนเปอร์ยิงจากระยะไกลขนาดนั้น ท่านนายพลดุทหารซ้ำอีกครั้งว่า “ระยะขนาดนั้นยิงช้างยังไม่โดนเลย”
แต่กระสุนนัดที่ 2 ของจ่าเกรซเจาะทะลุเข้าที่บริเวณใต้ตาข้างขวาของนายพลเซ็ดจ์วิค ซึ่งกลายเป็นผู้เสียชีวิตระดับสูงที่สุดของฝ่ายอังกฤษในสงครามแย่งดินแดนอาณานิคมในอเมริกาเหนือ
และเรื่องที่ขำไม่ออก ก็คือ จ่าเกรซซุ่มยิงด้วยไรเฟิ้ลยี่ห้อวิธเวิร์ธ (Whitworth) ที่ผลิตในอังกฤษ
10.โทมัส พลันเกตต์ (Thomas Plunkett)
พลทหารชาวไอริชสังกัดกองทัพอังกฤษประจำการในแคนาดา เป็นผู้ยิงสังหารนายพลออกุสเต-มารี-ฟรังซัว โกลแบร์ต (Auguste-Marie-François Colbert) จากระยะไกล 600 เมตร ด้วยไรเฟิ้ลยี่ห้อเบเคอร์ (Baker)
พลันเกตต์ ไม่ได้ฟลุก เขายิงพลแตรของฝ่ายฝรั่งเศสอีกคนหนึ่ง ที่เข้าไปช่วยเหลือท่านนายพลขณะใกล้จะสิ้นลม ถือเป็นผลงานสุดยอดด้วยไรเฟิ้ลในศตวรรษที่ 19
ไม่มีรายละเอียดมากนักเกี่ยวกับพลทหารยอดฝีมือจากไอร์แลนด์ ทราบแต่ว่าเสียชีวิตในปี พ.ศ.2394
ก็ของจบแต่เพียงเท่านี้นะครับผมผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมานะที่นี้
ของแทมครับรูป Call of Duty Modern warfare เวอร์ชั่น โมเอะ
ใครสนใจอยากดูเพิ่มก็เอาชื่อนี้ไปหาในพี่:Xเอานะครับ
หลายๆท่าคงคุณกับคำว่าพลซุ่มยิงดีพอสมควรไม่ว่าจากเกมส์หนังและสื่อต่างๆ ส่วนตัวผมพึ่งมารู้จักและสนใจตอนได้ดูหนังเรื่อง Shooter ด้วยความชอบผมจึงขอนำข้อมูลของพลซุ่มยิงมาให้ทุกท่าได้อ่านกันนะครับ
รูปจากหนังเรื่อง Shooter
ก่อนอื่นเรามาเริ่มกันที่พลซุ่มคืออะไรดีกว่า
พลซุ่มยิง หรือ ในชื่ออังกฤษว่า Sniper คือผู้ที่มีความสามารถสูงในเรื่องของการยิงปืนในระยะ ไกล ซึ่งได้รับการฝึกฝนการยิงเป้าหมายในสถาณการต่างๆที่ต ้องใช้ความสามารถในเรื่องของการยิงปืน เรื่องของความอยู่รอด (survivability) ในพื้นที่ต่างๆ เป็นระยะเวลานาน เช่น ในป่า หรือ ในพื้นที่สิ่งก่อสร้าง หน้าที่ของพลซุ่มยิงคือ การวางวิถีกระสุนอย่างแม่นยำไปยังฝ่ายข้าศึก ซึ่งทหารในหน่วยต่างๆ ไม่สามารถทำการยิงได้ ทั้งนี้ อาจจะเป็นเพราะระยะทาง ขนาดของกำลังข้าศึก ที่ตั้งฝ่ายข้าศึก หรือว่าการมองเห็น พลซุ่มมีคติว่า "ONE SHOT ONE KILL" หรือ หนึ่งนัดหนึ่งสังหาร
ต่อมาก็เป็นประวัติความเป็นมาของพลซุ่มยิงกันก่อนต่อนะครับ
ย้อยเวลากลับไปในช่วงสงครามปฏิวัฒน์อเมริกา กองทัพเหล่าแยงกี่ผู้โหยหาอิสระภาพต้องมาสู้กับทหารมืออาชีพของจักรวรรดิอังกฤษ ผลก็รู้ๆกันอยู่กองทัพปฏิวัฒน์ที่พึ่งฝึกเสร็จติดอาวุธแค่พอเป็นพิธีรึจะสู้กองทัพทหารเสื้อแดง(Red Shirt)ของอังกฤษได้ พอสู้ตรงๆไม่ได้ฝ่ายอเมริกาจึงใช้วิธีที่แปลกใหม่ที่ทำให้ฝ่ายอังกฤษไปไม่เป็นกันเลยที่เดียว นั้นคือให้ทหารที่ชำนาลในการล่าสัตว์โดยการซุ่มพรางตัว ใช้ปืนไรเฟิลแบบมีเกลียวในลำกล้องที่ทำให้ยิงได้ไกลและแม่นมาก โดยทหารเหล่านี้จะเลือกเป่าหมายจากทหารอังกฤษยศสูงๆก่อน(นายทหารสมัยนั้นยิ่งยศสูงยิงแต่งตัวอลังการจึงสังเกตได้ง่าย)และนี้เองคือที่มาของ พลซุ่มยิงนั่นเอง
ไม่ใช้ว่าใครก็ได้ที่จะสามารถเป็นพลซุ่มยิงได้หากท่านผู้อ่านอยากที่จะเป็นพลซุ่มยิงท่าจะต่องมีคุณสมบัติ 6 ประการดังนี้
1.แม่นปืน(แน่ละ)ต้องมีความสามารถในการยิงปืนเป็นเลิศ คนที่ได้ผ่านการแข่งขันการยิงปืนและการล่าสัตว์จะได้เปรียบในการคัดเลือก
2.ร่างกายต้องพร้อม ผู้ที่จะเข้ารับการฝึกเป็นพลซุ่มยิง จะต้องเป็นผู้ที่มีร่างกายแข็งแรง และถ้าเคยผ่านการเป็นนักกีฬาในประเภทต่างๆ ก็จะได้เปรียบในการคัดเลือกเข้ารับการฝึก
3.สายตาและความสามารถในการมองเห็น ผู้ที่จะเข้ารับการฝึกจะต้องเป็นผู้ที่ไม่ใส่แว่นสาย ตา เพราะจะเป็นการเสี่ยงต่อความล้มเหลวของภารกิจเมื่อแว ่นสายตาชำรุด หรือสูญหายในพื้นที่ปฏิบัติการ นอกจากนี้จะต้องไม่ตาบอดสี เพราะจะมีปัญหาในการแยกเป้าหมายจากสิ่งแวดล้อม
4.ไม่สูบบุหรี่ ผู้ที่เข้ารับการฝึกจะต้องไปเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ เพราะการสูบบุหรี่จะเป็นการเปิดเผยที่ตั้งของตนเอง นอกจากนี้การปฏิบัติงานจริงจะต้องอยู่ในภาวะที่ไม่สา มารถสูบบุหรี่ได้เป็นระยะเวลานาน การที่ไม่สูบบุหรี่เป็นระยะเวลานานของผู้ที่สูบบุหรี ่เป็นประจำจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการยิงลดลง
5.มีความมั่นคงทางอารมณ์สูงกว่าคนปกติ ผู้ที่เข้ารับการฝึก จะต้องเป็นผู้ที่สามารถควบคุมอารมณ์ของตนเองได้ดีในภ าวะต่างๆ เพราะการปฏิบัติงานจริงอาจจะต้องตกอยู่ในภาวะที่มีคว ามกดดันสูง การลั่นไก ณ เวลา และสถานที่ที่เหมาะสม เป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่งต่อการปฏิบัติงานของพลซุ่ มยิง
ุ6.ความคิดและระดับสติปัญญา ผู้ที่เข้ารับการฝึกนั้นจะต้องเรียนรู้เรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับขีปนวิธีของกระสุนในลักษณะต่างๆ การปรับแต่งอุปกรณ์ช่วยเล็ง การใช้วิทยุสื่อสาร การตรวจการณ์ และการปรับการยิง เครื่องยิงลูกระเบิดและปืนใหญ่ การเดินแผนที่และเข็มทิศ การรวบรวมและรายงานข่าวสาร และการพิสูจน์ฝ่ายและอาวุธยุทโธปกรณ์
ในหนึ่งชุดซุ่มยิงลาดตระเวน จะประกอบไปด้วย กำลังพล 2 นาย คือ 1. พลซุ่มยิง (Sniper) เป็นผู้ที่ทำหน้าที่ในการซุ่มยิง และ 2. พลชี้เป้า (Spotter) เป็นผู้ที่ทำหน้าที่วัดระยะจากที่วางตัวไปยังเป้า หมายแล้วแจ้งให้พลซุ่มยิงทราบ พลซุ่มยิงแค่ชุดยิงลาดตระเวน 1 ชุด สามารถที่จะหยุดการเคลื่อนที่ของทหารได้ถึงหนึ่งกองพลเลยทีเดียว
รูปชุดซุ่มยิง
หลักการของการซุ่มยิงมีอยู่ 3 ข้อคือ
1.การแทรกซึม ถือเป็นการปฏิบัติที่มีความสำคัญกับภารกิจอย่างมาก เนื่องจากหากถูกตรวจพบก็จะทำให้การปฏิบัติภารกิจล้มเหลว และก่อให้เกิดอันตรายกับสไนเปอร์ด้วย โดยจะต้องมีการวางแผนที่จะแทรกซึมอย่างรัดกุม เช่น มีการลวงข่าว อาศัยความเร็ว ความคล่องตัว และการพรางตัว โดยการแทรกซึมนั้นสามารถแยกออกได้ 3 รูปแบบ คือ การแทรกซึมทางอากาศ, การแทรกซึมทางบก, และการแทรกซึมสะเทินน้ำทะเทินบก
2.การปฏิบัติต่อเป้าหมาย ขั้นตอนนี้สามารถแบ่งย่อย ๆ ออกเป็น การเคลื่อนที่เข้าหาเป้าหมาย, การเลือกจุดวางตัว, การวางตัวและตรวจการณ์, การรายงาน และการถอนตัวออกจากจุดวางตัว
3.การถอนตัว การถอนตัว สามารถกระทำได้โดยทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ และทางยานยนต์ นอกจากนี้ ซึ่งสไนเปอร์ จะต้องเตรียมการในเรื่องของ การหลบหลีกและหลีกหนี (Evasion and Escape) ไว้ด้วย เมื่อถูกไล่ตามจากฝ่ายตรงข้าม
อาวุธของพลซุ่มยิง
ปืนไรเฟิล หรือ อาวุธซุ่มยิงคู่กายของสไนเปอร์ ถูกออกแบบมาให้ยิงด้วยการประทับไหล่ ภายในลำกล้องมีการเซาะให้เป็นสันเกลียว (Land) และร่องเกลียว (Groove) ซึ่งสันเกลียวจะสัมผัสกับหัวกระสุนและรีดหัวกระสุนไปตามสันเกลียวโดยหมุนควงรอบตัวเอง เพื่อให้หัวกระสุนไม่กลับหัวกลางอากาศ และเพิ่มความแม่นยำของอานุภาพในการสังหาร
ตัวอย่างของปืนไรเฟิลซุ่มยิง
1.M24
2.SR25
3.M21
4.Barrett82A1 .50 Cal
5.Cheytac .408
เป็นต้นครับ
เรามาต่อกันที่ 10 อันดับพลซุ่มยิงในตำนาจตลอดการเราไปดูกันนะครับว่าพวกเขาเทพขนาดไหนกัน
1.สิโม ฮาห์ยา (Simo Häyhä)
ในช่วงสงครามกับรัสเซีย พ.ศ.2482-2483 ในเวลาเพียง 100 วัน พลทหารกองทัพเล็กๆ ของฟินแลนด์คนนี้สังหารทหารรัสเซีย 505 คนด้วยปืนไรเฟิ้ลไม่ติดกล้อง กับอีกราว 200 คนด้วยปืนกล รวมผลงาน 705 ศพ
ฮาห์ยา บอกกับคนใกล้ชิดในเวลาต่อมาว่า กล้องติดปืนเป็นอันตรายอย่างยิ่งในสภาพแวดล้อมด้วยหิมะ มันอาจสะท้อนแสงวาววับเมื่อไรก็ได้ ซึ่งจะทำให้ข้าศึกมองเห็นจุดซุ่มยิง เทคนิคการเอาชีวิตรอดอีกอย่างหนึ่งคือ ก่อนจะลั่นไกเขาจะอมหิมะเอาไว้ ป้องกันมิให้ลมหายใจที่พวยพุ่งออกมากลายเป็นไอให้เห็น ภายใต้อุณหภูมิติดลบ 40 องศาเซลเซียส ซึ่งจะเป็นที่สังเกตของฝ่ายตรงข้าม
จุดซุ่มของเขาจะมีหิมะปกคลุมช่วงปลายกระบอกปืนเอาไว้เสมอ ด้วยเหตุผลเดียวกัน คือ ไม่ให้ไอร้อนจากการยิงพวยพุ่งขึ้น
เมื่อเขายิงสังหารฝ่ายรัสเซียเป็นจำนวนมากขึ้นทุกทีๆ ฝ่ายนั้นส่งทหารทั้งกองร้อย ออกค้นหาทั่วทั้งป่าและทุ่งหิมะ แต่ก็ไม่เคยพบ “ความตายสีขาว” (White Death) อันเป็นฉายาที่ข้าศึกมอบให้ด้วยความเคารพเลื่อมใส
2.คาร์ลอส นอร์แมน แฮธค็อกซ์ ที่ 2 (Carlos Norman Hathcock II)
แฮธค็อกซ์ เกิดวันที่ 20 พ.ค.2485 ถึงแก่กรรม 1 เม.ย.2542 เคยเป็นนักยิงปืนล่ารางวัลและได้รับหลากหลายรางวัลก่อนจะอาสาไปเวียดนาม ซึ่งพลทหารคนนี้สามารถ “ล้ม” ข้าศึกได้ 93 คนเท่าที่ยืนยันได้ และ ยังมีเป้าหมายที่ไม่สามารถยืนยันการเสียชีวิตได้อีกนับร้อย
มีเรื่องเล่ากันต่อๆ มาว่า กองทัพเวียดนามเหนือตั้งค่าหัวแฮธค็อกซ์ถึง 30,000 ดอลลาร์ หลังจากสังหารกำลังพลของฝ่ายนั้นไปมากมาย รวมทั้งระดับรองแม่ทัพคนหนึ่ง
แฮธค็อกซ์ เป็นสไนเปอร์เพียงคนเดียวในสงครามเวียดนาม ที่ “สอย” นักซุ่มของฝ่ายข้าศึกคนหนึ่งโดยยิงทะลุกล้องติดปืน ซึ่งมีเพียงโอกาสเดียวที่จะเกิดขึ้นได้ คือ ทั้งสองฝ่ายเล็งปืนเข้าหากันในเวลาเดียวกัน แฮธค็อกซ์ ลั่นไกก่อนและมันพุ่งทะลุเข้าลูกตาอย่างแม่นยำ
เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดขึ้นขณะที่หมวดนาวิกโยธินที่แฮธค็อกซ์สังกัด กำลังลาดตระเวน สไนเปอร์ของเวียดนามเหนือเปิดฉากยิงจากระยะไกลแต่พลาด พลทหารโรแลนด์ เบิร์ค (Roland Burke) พลชี้เป้ามองเห็นแสงสะท้อนจากเลนส์กล้องติดปืน แฮธค็อกซ์เล็งไปที่นั่นทันทีทันใด และสร้างตำนานให้สไนเปอร์รุ่นหลังเล่าขาน
ครั้งหนึ่งเขาได้รับคำสั่งให้ “เก็บ” นายพลเวียดนามเหนือคนสำคัญ แฮธค็อกซ์ปฏิบัติการเวลากลางคืน พรางตัวและคลานเป็นระยะทาง 1,500 หลาเข้าพื้นที่เป้าหมาย ช่วงหนึ่งเขาเกือบถูกงูเห่าฉก และอีกครั้งหนึ่งเกือบจะถูกทหารเดินยามเวียดนามเหนือคนหนึ่งเหยียบ
แฮธค็อกซ์ คลานถึงจุดซุ่ม เมื่อเป้าหมายไปถึงเขาก็พร้อมอยู่แล้วและเหนี่ยวไกทันที ท่านนายพลโดนเข้ากลางอกล้มลง ทหารฝ่ายนั้นออกค้นหาสไนเปอร์จ้าละหวั่น พลทหารนักแม่นปืนต้องคลานกลับอีก 1,500 หลา ให้พ้นพื้นที่ข้าศึก
และนี่คือ สุดยอดสไนเปอร์ในช่วงสงครามเวียดนาม ซึ่งทะยานขึ้นอันดับ 2 ในสังเวียนระดับโลก
3.เอเดลเบิร์ต เอฟ วัลดรอน (Adelbert F Waldron)
เกิดวันที่ 14 มี.ค.2476 ถึงแก่กรรม 18 ต.ค.2535 “เก็บ” ฝ่ายเวียดนามเหนือได้ 109 คน แต่ได้รับการยกย่องเป็นนักแม่นปืนที่แม่นยำที่สุดและมือดีที่สุดคนหนึ่งของนาวิกฯ สหรัฐฯ
พ.อ.ไมเคิล ลี แลนนิง (Michael Lee Lanning) นายทหารผ่านศึกจากสงครามเวียดนาม ได้บันทึกเหตุการณ์เอาไว้ว่า บ่ายวันหนึ่งขณะหมวดลาดตระเวนกำลังแล่นเรือไปตามลำน้ำโขง มีข้าศึกยิงจากฝั่งในระยะไกลโดนเข้าลำเรือ และขณะที่คนอื่นๆ ตื่นตระหนกหาที่หลบซ่อน จ่าวัลดรอนมองเห็น เขายกปืนขึ้นเล็งและสอยเวียดกงนักซุ่มลงจากต้นมะพร้าวที่อยู่ห่างออกไปราว 900 หลา
มือวางอันดับ 2 ในสงครามเวียดนามและอันดับ 3 ในระดับโลก ได้รับการยกย่องในความมีสติ กับความแม่นยำยิ่ง ในเหตุการณ์ดังกล่าว เขาประทับไหล่ยิงขณะที่เรือยังคงแล่นไปข้างหน้า ซึ่งยากมากที่จะ "สอย" เป้าหมายที่อยู่ไกลขนาดนั้น
“นี่คือ พลแม่นปืนที่ดีที่สุดของเราคนหนึ่ง” พ.อ.แลนนิง เขียนเอาไว้ในหนังสือ “Inside the Crosshairs: Snipers in Vietnam”
4.ฟรานซิส พีกะมากาโบว์ (Francis Pegahmagabow)
เกิด 1 มี.ค.2431 ถึงแก่กรรม 5 ส.ค.2495 เป็นพลทหารชาวแคนาดา เป็นสไนเปอร์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่ 1 มีประวัติสังหารทหารเยอรมันถึง 378 คน จับได้อีก 300 คนเศษ ยังมีชื่อเสียงในฐานะนักสะกดรอยและสอดแนมในพื้นที่ยึดครองของข้าศึก
5.ลูดมิลา ปาฟลิเชนโก (Lyudmila Pavlichenko)
เกิด 12 ก.ค.2459 ถึงแก่กรรม 10 ต.ค.2517 สมัครเข้าเป็นทหารเดือน มิ.ย.2484 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ขณะกองทัพนาซีบุกสหภาพโซเวียต เธอเป็นหนึ่งในนักแม่นปืนหญิงราว 2,000 คนของกองทัพแดง ปฏิบัติการในเซวาสโตโปล (Sevastopol) คาบสมุทรไครเมีย ในทะเลดำ
“นักฆ่าหน้าหวาน” มีประวัติสังหารนาซี 309 คน ในนั้น 36 คนเป็นสไนเปอร์เช่นเดียวกับเธอ
ุ6.วาสสิลี เซ้ตซอฟ (Vassili Zaytsev)
เกิด 23 มี.ค.2458 ถึงแก่กรรม 15 ธ.ค.2544 ดูจะเป็นสไนเปอร์ที่โลกรู้จักมากที่สุด ผ่านภาพยนตร์ที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งที่ ฌ็อง-ฌากส์ อานโนด์ (Jean-Jaques Annaud) สร้างและกำกับ จูด ลอว์ (Jude Law) ประชันบทกับ ริชาร์ด ไฟนส์ (Richard Fiennes) เอ็ด แฮร์ริส (Ed Harris) กับ เรเชล ไวส์ (Rachel Weisz)
เกิดในครอบครัวชาวนา เซ้ตซอฟเข้าเป็นทหารกองทัพแดงของอดีตสหภาพโซเวียต เขาสังหารนาซีได้ 242 คน ระหว่างเดือน ต.ค.2485 ถึง ม.ค.2486 ที่กองทัพของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ยึดครองนครสตาลินกราด (Stalingrad) เรื่องราวอันแท้จริงของเขาไม่มีรายละเอียดมากนัก เพียงแต่ว่าเขาสามารถสังหารเออร์วิน โคนิก (Erwin Kónig) สุดยอด "มือปราบสไนเปอร์" ของนาซีได้ และได้ปืนของคู่ต่อสู้เป็นรางวัลเกียรติยศ เนื่องจากเป็นของคนที่เป็นยอดฝีมือเช่นเดียวกันกับตัวเขา
7.ร็อบ เฟอร์ลอง (Rob Furlong)
เป็นอดีตพลทหารกองทัพแคนาดา ปฏิบัติการในอัฟกานิสถาน เป็นสไนเปอร์ที่ยิงสังหารได้จากระยะไกลที่สุดเท่าที่มีการบันทึกในประวัติศาสตร์ คือ 1.51 ไมล์ หรือ 2,430 เมตร
ร็อบยิงด้วยปืน TAC 50 ขนาด .50 ของแม็คมิลลันบราเดอร์ส (McMillan Brothers) และ ยิงด้วยกระสุน A-MAX เป้าหมายเป็นผู้นำระดับปฏิบัติการคนสำคัญของกลุ่มอัลกออิดะห์ นัดแรกของเขาพลาดเป้า นัดที่สองโดนเป้สะพายหลัง
ตอนกระสุนนัดที่ 2 โดนนั้น ร็อบได้เหนี่ยวไกยิงนัดที่ 3 ออกไปแล้ว แต่ก็เป็นช่วงที่อีกฝ่ายหนึ่งรู้ตัวว่าถูกลอบยิง ระยะทางขนาดนั้นกระสุนแต่ละนัดใช้เวลาราว 3 วินาที แหวกอากาศสู่เป้าหมาย ซึ่งนานพอที่อีกฝ่ายหนึ่งจะรู้ตัวว่าโดนซุ่มและหลบหาที่กำบัง
แต่นักฆ่าชาวแคนาดามีสติมั่นคง เพียง 3 วินาทีก็มากพอที่จะยิงซ้ำนัดที่ 3 ซึ่งพุ่งเข้าทะลุหน้าอกของเป้าหมายทั้งหมดนี้เกิดขึ้นต่อหน้าเพื่อนร่วมทีมสังหารอีก 3 คน
8.ชาร์ลส์ “ชัค” มอวินนีย์ (Charles ‘Chuck’ Mawhinney)
เกิดปี พ.ศ.2492 เกิดในครอบครัวชาวนาแห่งทุ่งแพรรี่ ล่าสัตว์มาตั้งแต่ยังเล็ก สมัครเข้ารับใช้ชาติในปี 2510 และ เพียง 16 เดือนในเวียดนาม พลทหารมอวินนีย์ ซัดข้าศึกด่าวดิ้นต่อหน้า 103 คน อีก 216 คน โดน “ส่อง” และอาจถึงแก่ชีวิต ในช่วงปีดังกล่าวเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะค้นหาศพเพื่อยืนยัน
เมื่อปลดประจำการจากกองกำลังนาวิกโยธิน “ชัค” ไม่ปริปากเรื่องเวียดนามกับใคร มีเพื่อนนาวิกฯ เพียงไม่กี่คนที่รู้ จนอีก 20 ปีต่อมาหนึ่งในคนเหล่านั้นจึงเปิดเผยเรื่องราวอันน่าทึ่งของเขาออกมาให้โลกรู้จัก ซึ่งขณะนั้นมอวินนีย์เป็นครูสอนวิชายิงปืนที่สถาบันแห่งหนึ่ง
“มันเป็นการล่าที่สุดยอด- คนๆ หนึ่งออกล่าอีกคนหนึ่งที่กำลังตามล่าตัวเขาเช่นเดียวกัน อย่าเอาไปเปรียบเทียบกับการล่าสิงโตล่าช้างอย่างเด็ดขาด- สัตว์พวกนั้นไม่ได้มีโอกาสต่อสู้ ไม่ได้ยิงโต้ตอบคุณด้วยไรเฟิ้ลติดกล้อง ผมรักการล่า (ในเวียดนาม) อย่างจับใจ และรู้สึกพอแล้ว” เพื่อนนาวิกฯ ที่เขียนเรื่องราวของเขา อ้างคำพูดอันเป็นวรรคทองของมอวินนีย์
ระยะซุ่มยิงของมอวินนีย์จะอยู่ระหว่าง 300-800 หลา แต่ก็มีหลายครั้งที่เขาสอยข้าศึกร่วงจากระยะกว่า 1,000 หลา ซึ่งทำให้มอวินนีย์เป็นเทพสไนเปอร์อันดับ 3 ในสงครามเวียดนาม และนี่คือมือวางอันดับ 8 ของโลก
9.จ่าเกรซ(Sgt Grace)
ทหารราบพลปืนสังกัดกองพันทหารราบจอร์เจียที่ 4 ของฝ่ายสหพันธรัฐ ในช่วงสงครามกองทัพกับอังกฤษ เป็นผู้สังหารนายพล จอห์น เซ็ดจ์วิค (Gen John Sedgwick) ของฝ่ายข้าศึกจากระยะ 1,000 หลา
จ่าเกรซ ยิงพลาดนัดแรกทำให้ทหารอังกฤษวิ่งหาที่กำบัง แต่นายพลเซ็ดจ์วิค ยังอยู่ที่เดิม และ ยังดุผู้ใต้บังคับบัญชาว่าตกใจกลัวเกินเหตุ ทั้งๆ ที่สไนเปอร์ยิงจากระยะไกลขนาดนั้น ท่านนายพลดุทหารซ้ำอีกครั้งว่า “ระยะขนาดนั้นยิงช้างยังไม่โดนเลย”
แต่กระสุนนัดที่ 2 ของจ่าเกรซเจาะทะลุเข้าที่บริเวณใต้ตาข้างขวาของนายพลเซ็ดจ์วิค ซึ่งกลายเป็นผู้เสียชีวิตระดับสูงที่สุดของฝ่ายอังกฤษในสงครามแย่งดินแดนอาณานิคมในอเมริกาเหนือ
และเรื่องที่ขำไม่ออก ก็คือ จ่าเกรซซุ่มยิงด้วยไรเฟิ้ลยี่ห้อวิธเวิร์ธ (Whitworth) ที่ผลิตในอังกฤษ
10.โทมัส พลันเกตต์ (Thomas Plunkett)
พลทหารชาวไอริชสังกัดกองทัพอังกฤษประจำการในแคนาดา เป็นผู้ยิงสังหารนายพลออกุสเต-มารี-ฟรังซัว โกลแบร์ต (Auguste-Marie-François Colbert) จากระยะไกล 600 เมตร ด้วยไรเฟิ้ลยี่ห้อเบเคอร์ (Baker)
พลันเกตต์ ไม่ได้ฟลุก เขายิงพลแตรของฝ่ายฝรั่งเศสอีกคนหนึ่ง ที่เข้าไปช่วยเหลือท่านนายพลขณะใกล้จะสิ้นลม ถือเป็นผลงานสุดยอดด้วยไรเฟิ้ลในศตวรรษที่ 19
ไม่มีรายละเอียดมากนักเกี่ยวกับพลทหารยอดฝีมือจากไอร์แลนด์ ทราบแต่ว่าเสียชีวิตในปี พ.ศ.2394
ก็ของจบแต่เพียงเท่านี้นะครับผมผิดพลาดประการใดก็ขออภัยมานะที่นี้
ของแทมครับรูป Call of Duty Modern warfare เวอร์ชั่น โมเอะ
ใครสนใจอยากดูเพิ่มก็เอาชื่อนี้ไปหาในพี่:Xเอานะครับ
[NEET(aoki47)]Rendezvous! (Call of Duty : Modern Warfare)
ขอบคุณที่มาอ่านกันนะครับ
ว่าด้วยเรื่องของพลซุ่มยิง
ปลายนิ้วเคลื่อนขีดเขียน จดจารสารศักดิ์สิทธิ์ เคลื่อนต่อไป ไม่ยอมให้ความคิดหรือจริตสำนวนหวนทวนคืนมาขีดฆ่าแม้ครึ่งบรรทัดหรือน้ำตาชะล้างคำใดให้เลือนหาย