กระผมนาย Azeroth_pon มีเรื่องมาให้ทุกท่านได้อ่านกันอีกตามเคย วันนี้เราจะมาดูสารพัดการทดลองทางวิทยาศาสตร์แต่ไม่ใช้ในแบบทั่วไปแน่นอนครับ
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้ซื่อหนังสือที่มีชื่อว่า "หมออำมหิตจากนรก Doctor from Hell" มาอ่านทำให้ผมอยากลงข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ
1.การทดลองการนอนหลับของสหภาพโซเวียต (The Russian sleep experiment)
ในปี ค.ศ. 1940 สหภาพโซเวียตได้ทำการทดลองเพิ่มศักยภาพทางการทหาร โดยการนำนักโทษ 5 คนมาถูกขังรวมกันโดยให้สัญญาว่าจะปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข เริ่มโดยการรมก๊าซกระตุ้นประสาทในปริมาณพอเหมาะเขาไปในห้องขังเพื่อให้ผู้ทดลองตื่นอยู่ตลอดเวลาเป้าหมายคือให้ผู้ทดลองไม่ต้องหลับเป็นเวลา 15 วัน ภายในห้องจะมีหน้าต่างที่ให้นักวิทยาศาตร์มองดูผู้ทดลองได้และมีอาหารแห้งสำหรับ 5 คนที่อยู่ได้เป็นเดือนๆ มีเตียงมีชั้นหนังสือ
5วันแรกผู้ทดลองมีพฤติกรรมปกตินักวิทยาศาสตร์เริ่มพอใจและตั้งความหวังการทดลองนี้จะสำเร็จไปด้วยดี แต่ในวันที่ 6 ผู้ทดลองมีอาการหวาดระแวงมีอาการเหมือนคนจิตหลอนจากเคยพูดคุยกลายเป็นเงียบเปลี่ยนมากระซิบเหมือนบ่นกับตัวเอง จนเข้าวันที่ 9 บางคนกรีดร้องผู้ทดลองเริ่มชีกหนังสือแล้วเอามาแปะที่หน้าต่างเสียงกรีดร้องยุดลงทันที่ วันที่ 12 ไม่มีเสียงใดออกมาจากไมโครโฟนเลย นักวิทยาศาสตร์จึงประกาศว่า "เราจะเปิดประตูเข้าไปตรวจสอบไมโครโฟน ถอยห่างจากประตูและนอนราบกับพื้นหากไม่ปฏิบัติตามท่านจะถูกยิง แต่ถ้าทำตามเราจะปล่อยตัวคนหนึ่งให้เป็นอิสระทันที" มีเสียงต้อบกลับมาว่า"พวกเราไม่อยากถูกปล่อยตัวอีกแล้วล่ะ"หลังจากห้องทดลองถูกเปิดออกมาห้องที่เต็มไปด้วยแก๊สต่างๆก็หมดไปมีอากาศบริสุทธิ์เข้ามาแทนทันใดนั้นก็มีเสียงมาจากไมโครเฟนสามเสียงต่างกันเริ่มขอร้องให้นักทดลองนั่นเอาแก๊สเข้ามาในห้องเหมือนเดิมห้องทดลองถูกเปิดแล้วทหารก็เข้าไปดูอาการของนักโทษ นักโทษเริ่มกรีดร้องด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมเมื่อทหารได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างในห้องนั้น สี่ในห้าคนนั้นยังมีชีวิตอยู่
มือขวาของผู้นำเผด็จการนาซี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ผู้มีนามว่า ไฮน์ริช ฮิมเลอร์ ได้มอบหมายให้ นพ.โจเซฟ เมนเกลเลอ "เทพมรณะ" กับ ดร.ฮันส์ มุนช์ ให้ดำเนินการทดลองในค่ายเอาช์วิตษ์ พวกเขาได้ใช้เด็กที่เป็นพี่น้องหรือฝาแฝดเท่านั้น โดยจะประกาศให้รู้กันทั่วว่า หากผู้ใดเป็นแฝดจะสามารถมีชีวิตอยู่อย่างดีโดยไม่ได้รับอันตรายทำให้มีเด็กชาวยิวที่เป็นพี่น้องหรือฝาแฝดหลายคนเสี่ยงที่จะเดิมพันเพื่อเข้าโครงการนี้ แต่แท้จริงแล้วการทดลองนี้ปฏิบัติการเพื่อค้นหาความลับของฝาแฝดออกจากกันและทดลองโดยทำร้ายเด็กคนหนึ่งเพื่อดูว่าเด็กอีกคนจะมีผลอย่างไร หลังการทดลองพวกเข้าพบว่าหากคนหนึ่งได้รับบาดเจ็บอีกคนก็จะรู้สึกเจ็บตำแหน่งเดียวกัน และเมื่อการทดลองได้ถูกยกระดับไปถึงขั้นตัดอวัยวะเช่น แขน ขา ก็ทำให้แฝดอีกคนเกิดรู้สึกด้านชาในอวัยวะส่วนนั้นจนใช้งานไม่ได้ไปด้วย ค่ายนี้ถูกกองทัพโซเวียตปลดปล่อยในปี ค.ศ. 1945
4.ประตูสู่พระเจ้า (Gateway of the mind)
เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาผมได้ซื่อหนังสือที่มีชื่อว่า "หมออำมหิตจากนรก Doctor from Hell" มาอ่านทำให้ผมอยากลงข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ
1.การทดลองการนอนหลับของสหภาพโซเวียต (The Russian sleep experiment)
ในปี ค.ศ. 1940 สหภาพโซเวียตได้ทำการทดลองเพิ่มศักยภาพทางการทหาร โดยการนำนักโทษ 5 คนมาถูกขังรวมกันโดยให้สัญญาว่าจะปล่อยตัวโดยไม่มีเงื่อนไข เริ่มโดยการรมก๊าซกระตุ้นประสาทในปริมาณพอเหมาะเขาไปในห้องขังเพื่อให้ผู้ทดลองตื่นอยู่ตลอดเวลาเป้าหมายคือให้ผู้ทดลองไม่ต้องหลับเป็นเวลา 15 วัน ภายในห้องจะมีหน้าต่างที่ให้นักวิทยาศาตร์มองดูผู้ทดลองได้และมีอาหารแห้งสำหรับ 5 คนที่อยู่ได้เป็นเดือนๆ มีเตียงมีชั้นหนังสือ
5วันแรกผู้ทดลองมีพฤติกรรมปกตินักวิทยาศาสตร์เริ่มพอใจและตั้งความหวังการทดลองนี้จะสำเร็จไปด้วยดี แต่ในวันที่ 6 ผู้ทดลองมีอาการหวาดระแวงมีอาการเหมือนคนจิตหลอนจากเคยพูดคุยกลายเป็นเงียบเปลี่ยนมากระซิบเหมือนบ่นกับตัวเอง จนเข้าวันที่ 9 บางคนกรีดร้องผู้ทดลองเริ่มชีกหนังสือแล้วเอามาแปะที่หน้าต่างเสียงกรีดร้องยุดลงทันที่ วันที่ 12 ไม่มีเสียงใดออกมาจากไมโครโฟนเลย นักวิทยาศาสตร์จึงประกาศว่า "เราจะเปิดประตูเข้าไปตรวจสอบไมโครโฟน ถอยห่างจากประตูและนอนราบกับพื้นหากไม่ปฏิบัติตามท่านจะถูกยิง แต่ถ้าทำตามเราจะปล่อยตัวคนหนึ่งให้เป็นอิสระทันที" มีเสียงต้อบกลับมาว่า"พวกเราไม่อยากถูกปล่อยตัวอีกแล้วล่ะ"หลังจากห้องทดลองถูกเปิดออกมาห้องที่เต็มไปด้วยแก๊สต่างๆก็หมดไปมีอากาศบริสุทธิ์เข้ามาแทนทันใดนั้นก็มีเสียงมาจากไมโครเฟนสามเสียงต่างกันเริ่มขอร้องให้นักทดลองนั่นเอาแก๊สเข้ามาในห้องเหมือนเดิมห้องทดลองถูกเปิดแล้วทหารก็เข้าไปดูอาการของนักโทษ นักโทษเริ่มกรีดร้องด้วยเสียงที่ดังขึ้นกว่าเดิมเมื่อทหารได้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างในห้องนั้น สี่ในห้าคนนั้นยังมีชีวิตอยู่
ที่จริงก็คือปริมาณอาหารนั้นหมดไปตั้งแต่ห้าวันที่แล้วทหารได้พบก้อนเนื้อต้นขาของนักโทษที่ตายไปแล้ว หน้าอกถูกทิ้งไว้ที่ท่อระบายน้ำตรงกลางของห้องทดลองท่อตันจึงมีน้ำไหลออกมาเต็มห้อง ซึ่งตอนนี้ห้องเต็มไปด้วยเลือดที่ผสมกับน้ำกลายเป็นน้ำเลือดแดงไปทั่วห้องทดลอง นักโทษทุกคน "ที่รอดชีวิต"มีชิ้นส่วนอวัยวะ และผิวหนังที่ถูกฉีกออกไปจากร่าง ของพวกเขาเองนักทดลองเห็นกระดูกที่โผล่ออกมาจากปลายนิ้วซึ่งแผลนั้นถูกทำโดยมือของพวกเขาเอง
นักทดลองคิดว่านักโทษสี่คนนี้ได้ทำการทรมานตนเองอวัยวะเกี่ยวกับระบบย่อยอาหารของนักโทษทั้งสี่นั้นถูกเอาออกไปเกือบหมดในขณะที่หัวใจ ปอดและกะบังลมยังคงอยู่ ผิวหนังและกล้ามเนื้อที่ติดกับกระดูกก็ได้ถูกฉีกออกไป เส้นเลือดต่างๆยังอยู่ครับถ้วน พวกเขานอนอยู่กับพื้น คว้านท้องให้กระจัดกระจายระบบย่อยอาหารของทั้งสี่คนยังทำงานได้เป็นปกติ หน้าท้องที่เปิดอยู่โดยปราศจากผิวหนังมาหุ้มแสดงให้เห็นข้างในว่าพวกเขาได้ย่อยอวัยวะของพวกเขาเองซึ่งตัดออกมากินลงไปตั้งแต่วันที่อาหารหมดแล้วนั่นเองทหารรัสเซียส่วนใหญ่ที่อยู่ที่นี่นั้นเป็นหน่วยปฏิบัติการพิเศษแต่ทหารส่วนใหญ่ก็ปฏิเสธที่จะกลับเข้าไปที่ห้องทดลองนั้นอีก นักโทษยังคงกรีดร้อง และขอให้ปล่อยแก๊สกลับเข้ามาที่ห้องอีกครั้งนึง
ผู้บังคับบัญชาทหารสั่งให้ปิดตายห้องทดลองนั้นไปพร้อมกับนักโทษ ตัวเขาเองแล้วนักทดลองอีกสามคนนักทดลองคนหนึ่งได้ชักปืนออกมาแล้วยิงไปที่ผู้บังคับบัญชาคนนั้นกลางเบ้าตาตายทันทีแล้วหันกระบอกปืนไปที่นักโทษที่พูดไม่ได้แล้วเป่าสมองกระจุย
จากนั้นเขาก็ชี้ปืนไปยังนักโทษที่เหลือคนสุดท้ายยังคงถูกพันธนาการไว้กับเตียงเหมือนกับนักโทษทุกคน"ฉันจะไม่ถูกขังไว้ในห้องนี้กับไอ้พวกนี้หรอก ไม่แน่ๆกับ!"จากนั้นนักทดลองคนนั้นก็ถามนักโทษว่า "แกเป็นใครกันแน่ฉันจะต้องรู้ให้ได้"
นักโทษคนนั้นยิ้ม
"คุณลืมไปแล้วยังงั้นหรือ?" นักโทษถาม " พวกเราคือคุณพวกเราคือความคุ้มคลั่งที่ซ่อนอยู่ภายในตัวคุณทุกคนต้องการที่จะเป็นอิสระทุกช่วงขณะอยู่ภายใต้จิตสำนึกของสิ่งมีชีวิตพวกเราเป็นสิ่งที่คุณต้องการจะซ่อนอยู่ใต้เตียงของคุณทุกๆคืนพวกเราคือสิ่งที่คุณจะเงียบและทำเป็นไม่ขยับเมื่อคุณไปหลบอยู่ในสถานที่ๆพวกเราไม่สามารถเข้าไปถึงได"
นักทดลองคนนั้นหยุดชะงักจากนั้นเล็งไปที่หัวใจของนักโทษแล้วยิงกราฟเครื่องตรวจคลื่นสมองของนักโทษคนนั้นกลายเป็นเส้นตรงนักโทษคนนั้นก็ใช้กำลังที่เหลืออยู่พูดประโยคสุดท้ายออกมาว่า"เกือบที่จะได้เป็น....อิสระ....อยู่แล้วเชียว..."
ที่กระผมเล่ามาเป็นเรื่องแต่งครับ 55555 ไม่มีโครงการทดลองการนอนหลับของสหภาพโซเวียตหรอกครับมันเป็นแค่เรื่องเล่าครับแต่เห็นว่าหน้ากลัวดีเลยเอามาลง
2.งานทดลองการแข็งตัวของเลือด (The Blood freezing experiment)
อันนี้ของจริงครับไม่ใช้แค่เรื่องเล่าเหมือนอันที่แล้วครับ ในปี ค.ศ. 1944 สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังปะทุหนัก อังกฤษพยายามค้นคว้าทดลองเพิ่มประสิทธิภาพทหารมากขึ้น ในการทดลองนั้นคือ "การแข็งตัวของเลือด" โดยอังกฤได้คิดค้นสารเคมีที่ชวยให้เลือดแข็งตัวทันที่ทหารถูกยิง
การทดลองเริ่มขึ้นโดยฉีดสารเคมีกระตุ้น ซึ่งไม่เปิดเผยว่าเป็นอะไรเข้าไปในร่างของผู้ทดสอบเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งจะเพิ่มค่าพลาสม่าในเลือดจาก 55% เป็น 59% ส่งผลให้เลือดมีออกซิเจนอยู่ในปริมาณสูงถึง 96% ในระหว่างนั้นได้งดการให้น้ำและอาหารแก่ผู้ทดลองหลังจากผ่านไป 48 ชั่วโมง ได้นำตัวผู้ทดลองไปทดสอบ ด้วยการใช้มีดกรีดแขนซ้ายเป็นแผลยาวลึก พบว่าเลือดแข็งตัวและหยุดไหลภายในไม่ถึง 3 วินาที ในขั้นต่อไปผู้ทดลองถูกยิงจากปืนขนาดจุดสี่ห้ายิงเข้าแขนซ้ายของผู้ทดสอบแล้วตราจผลหลังผ่านไป 144 ชั่วโมง ผู้ทดสอบก็เข้าทดสอบอีกโดยใช้ปืนยิงเข้าหลายจุดซึ่งผลเป็นที่พอใจ (ยกเว้นคนโดนยิงนะ) ได้มีการทดลองเพิ่มเติมโดยเพิ่มผู้ทดสอบเป็นชายวัย 22,23,29 ปี มาทำการทดลองผลที่ได้เป็นที่พอใจ แต่ผู้เขารับการทดลองต่างมีอาการเจ็บปวดจนต้องฉีดมอร์ฟีนเข้าไปแก้ปวด ตัวยามีราคาแพงและหายากจึงมีใช้เฉพาะสายลับ MI5 และหน่วย SAS เท่านั้น (ถึงว่าและทำไมกัปตัน ไพรซ์ กับ โซป จากเกมส์ call of duty modern warfare ถึงตายยากจัง)
3.การทดลองฝาแฝดที่ค่ายเอาช์วิตษ์ (Auschwitz twins experiment)
4.ประตูสู่พระเจ้า (Gateway of the mind)
ว่ากันว่าหากคนเราเสียประสาทรับรู้ไปหนึ่งอันที่เหลือจะดีขึ้นแต่ท่าเราเสียทั้งหมดละจะเกิดอะไรขึ้น
ในปี ค.ศ. 1983 ได้มีทฤษฏีหนึ่งเพื่อติดต่อกับพระเจ้าโดยการใช้ชายแก่ผู้ไร้ญาติขาดมิตรมารับการผ่าตัดโดยการตัดเส้นประสาทการรับรู้ทั้งหมดออกให้หมดทำให้ไม่สามารถรับรู้อะไรได้เลยโดยเขาจะบอกสิ่งที่เขาเห็นและได้ยินให้มากที่สุด หลังจากปิดประสาท 4 วัน ผู้ทดสอบอ้างว่าได้ยินเสียงคนพูดกับเขา วันที่ 6 เขาอ้างว่าได้ยินเสียงของภรรยาที่ตายไปแล้วและเขาพูดกับเธอได้แล้วเขาก็ร้องห่มร้องไห้ขั้นรุนแรง นักวิทยาศาสตร์สันนิษฐานว่าผู้ทดสอบอาจจินตนาการไปเอง จนเมื่อผู้ทดสอบได้กล่าวถึงชื่อและอ้างการติดต่อญาติขอนักวิทยาศาสตร์ในโครงการ 7 วันต่อมาผู้ทดลองกรีดร้องทำให้นักวิทยาศาสตร์ต้องฉีดยานอนหลับแก่เขา แต่ทุกครั้งที่เขาตื่นก็จะเริ่มร้องโหยหวนอย่างทรมาน ผ่านไป 2 อาทิตย์ ผู้ทดลองมีอาการสงบลง เขาหันหน้าไปเผชิญหน้ากับเหล่านักวิทยาศาสตร์และพูดว่า "ผมได้คุยกับพระเจ้าแล้ว และ พระเจ้าก็ได้ละทิ้งพวกเราทั้งหมด"
กระผมก็ขอจบแต่เพียงเท่านี้นะครับ
การทดลองที่สุดวิปริตสุดจะบรรยาย
ปลายนิ้วเคลื่อนขีดเขียน จดจารสารศักดิ์สิทธิ์ เคลื่อนต่อไป ไม่ยอมให้ความคิดหรือจริตสำนวนหวนทวนคืนมาขีดฆ่าแม้ครึ่งบรรทัดหรือน้ำตาชะล้างคำใดให้เลือนหาย