โอนิ (ญี่ปุ่น: 鬼) คือ ยักษ์ในตำนานของชินโต ในประเทศญี่ปุ่น มันเป็นยักษ์สูงใหญ่ที่มีรูปร่างคล้ายมนุษย์ มี 3 ตา มี 2 เขา มีเขี้ยวและเล็บคมกริบ และในมือถือกระบองอันใหญ่เอาไว้ ว่ากันว่าโอนิจะนำพามาซึ่งโรคร้าย โรคระบาด ความโชคร้าย และความหายนะ โอนิเหาะเหินเดินในอากาศได้ และจะคอยจับเอาดวงวิญญาณของคนชั่วที่กำลังจะตาย
บะกุ (ญี่ปุ่น: 獏 Baku ? แปลว่า "สมเสร็จ") มีชื่อเต็มว่า ชิโระกินนะคะสึกะ (史郎のカット金武蘇カーサ) เป็นปีศาจในความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เป็นปีศาจที่คอยกินฝันร้ายของผู้คน (dream eater) เชื่อกันว่าบะกุนั้น มีรูปร่างคล้ายหมี และมีส่วนผสมของสัตว์หลายชนิด เช่น มีหน้าผากมีนอคล้ายแรด มีจมูกเป็นงวงคล้ายช้าง มีเท้าเหมือนเสือ มีหางเหมือนวัว ชาวญี่ปุ่นโบราณเชื่อว่า เมื่อมีฝันร้ายหรือลางร้าย ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดจากการกระทำของปีศาจ เช่น จานชามเกิดบิ่นหรือแตกหักเองโดยไม่มีใครทำ กาต้มน้ำส่งเสียงดังเหมือนคนร้อง เสื้อผ้าปรากฏรอยเลือด หรือหูสุนัขที่ลู่ไปข้างหลัง เป็นต้น ให้ท่องคาถาว่า "บะกุ คุระเอะ" ซึ่งแปลว่า "บะกุ จงมากินฝันร้ายของข้า" 3 ครั้ง บะกุจะมากินฝันร้ายนั้นให้ และกลับจากร้ายเป็นดี ปีศาจทั้งหลายจะถูกสูบลงไปในพื้นดินลึก 3 ฟุต
ความเชื่อเรื่องบะกุ สะท้อนออกมา ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น หมอนไม้ชนิดหนึ่งมีสลักเป็นตัวหนังสือที่มีความหมายถึง บะกุ เป็นต้น เชื่อว่าถ้านอนหนุนด้วยหมอนนี้แล้วจะไม่ฝันร้าย
เสือขาว (จีน: 白虎; พินอิน: Bái Hǔ ; ญี่ปุ่น: Byakko ; เกาหลี: Baek-ho, 백호 ; เวียดนาม: Bạch Hổ / 白) เป็นหนึ่งในสี่เทพศักดิ์สิทธิ์ประจำทิศตะวันตก และฤดูใบไม้ร่วง เป็นสัตว์วิเศษของจีน เป็นเทพแห่งสงครามและการต่อสู้ เป็นตัวแทนของอำนาจบารมีและความเคารพยำเกรง เป็นเจ้าแห่งสัตว์ป่า สัตว์สี่เท้า สัตว์นักล่าทั้งมวล ในสมัยโบราณเสือขาวถูกใช้เป็นชื่อของหน่วยกำลังรบ เป็นตราสัญลักษณ์ของกองทัพ เป็นสัญลักษณ์ให้โชค ในงานหัตถกรรมต่างๆ นิยมให้เสือขาวคู่กับมังกรเขียวเชื่อกันว่า เสือขาวเป็นเพียงสัตว์ในตำนาน ในสมัยราชวงศ์ฮั่นผู้คนเชื่อว่าเสือขาวเป็นราชาของปีศาจ มีอายุยืนมาก ตำนานได้กล่าวไว้ว่าคราใดที่เสือขาวมีอายุ 500 ปีมันจะลงมาเกิดครั้งหนึ่ง หางของมันจะกลายเป็นสีขาวทั้งหมด และจะเกิดเป็นมนุษย์ในช่วงที่มีจักรพรรดิจีนปกครองอาณาจักรด้วยความเป็นธรรมอย่างที่สุด เพื่อสร้างสันติสุขให้กับโลก
คัมภีร์แห่งถัง กล่าวถึงการลงมาเกิดของเสือขาวไว้ว่า เสือขาวได้ลงมาเกิดเป็นแม่ทัพในรัชสมัยของจักรพรรดิถังไท่จง นามว่า หลัวเชิง และมังกรเขียวได้ลงมาเกิดเป็นแม่ทัพ ต้านซยฺงซิน ทั้งสองทำสัญญาเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับฉิน ชูเป่า เชิ่งจือเจี๋ย และยูฉือ จิงเต้อ และเชื่อว่าหลังจากตายแล้วได้ไปเกิดใหม่ในสมัยราชวงศ์ถัง และ ราชวงศ์เหลียว เสือขาวเป็นเซวฺย์ เหรินกุ้ย และมังกรเป็นเจ้าชายเหอ ซูเหวิน ทั้งสองคนเป็นศัตรูกัน
ภายในสุสานยุคจั้นกั๋ว (ราว 433 ปีก่อนคริสตกาล) แห่งหนึ่งในมณฑลหูเป่ย ได้มีการขุดพบภาพวาดของหมู่ดาว 28 ดวงกับมังกรเขียวและเสือขาวบนภาชนะเคลือบใบหนึ่ง จึงมีหลักฐานที่แสดงว่า การกำหนดหมู่ดาวของจีนได้มีมานานแล้ว และถูกกำหนดโดยเทพทั้งสี่
โดโดเมกิ (อังกฤษ: Dodomeki) ซึ่งมีเรื่องอยู่ว่าในสมัยอดีต มีหญิงลึกลับคนหนึ่ง เธอมีแขนที่ยาวและสามารถใช้มือและแขนได้อย่างคล่องแคล่ว เธอมีนิสัยชอบลักเล็กขโมยน้อย คนสมัยอดีตจะเรียกขโมยแบบนี้ว่า"เทนางะ"(คนแขนยาว)อีกทั้งผู้หญิงคนนี้ล้วงกระเป๋าเก่งอีกต่างหาก ถ้าแค่นี้ก็คงเป็นเพียงแค่ขโมยหญิงคนหนึ่งเท่านั้น แต่ความลึกลับของผู้หญิงคนนี้ยังไม่หยุดเพียงเท่านี้ เพราะเงินที่ผู้หญิงคนนั้ขโมยไปจะติดตามร่างกายของเธอทันที และเงินที่ติดตามร่างกายนั้นต่อมาก็จะกลายเป็นดวงตา เลยเรียกว่าโดโดเมกิ(ปีศาจร้อยตา)คนสมัยอดีตเรียกเหรียญที่มีรูว่า"โชโมะกุ"ซึ่งมีความหมายว่า ตาของนก ทำให้คนสมัยโบราณรู้สึกว่า เหรียญกับตานั้นเป็นสิ่งที่เป็นประเภทเดียวกันมีลักษณะคล้ายกัน จิตรกรโทรียามา เซกีเอ็นผู้วาดภาพปีศาจตัวนี้ได้บอกว่า"ตามทฤษฎีของบางคน เชื่อว่า โดโดเมกิ เป็นสถานที่ในโทโตะ"ถ้าพูดถึงโทโตะ แล้วจะหมายถึงเขตอูสึโนะมิยะ ในจังหวัดโทชีกิ เพราะดูเหมือนที่นี่จะเคยมีสถานที่ชื่อ โดโดเมกิ อยู่ใกล้กับภูเขาฮะจิมันแถมมีตำนานของปีศาจที่เรียกว่า โดโดเมกิ อยู่ที่นั่นด้วย แต่อย่างไรก้ตามตำนานปีศาจของที่นี่จะเป็นเรื่องเกี่ยวกับปีศาจร้อยตา ซึ่งไม่มีเกี่ยวข้องกันแต่อย่างใดกับการลักขโมยและดูเหมือนจิตรกรเซกีเอ็นก็ได้ใช้ตำนานนี้เป็นแบบในการวาดรูปด้วย
กิเลน (จีน: 麒麟; พินอิน: qílín; เวด-ไจลส์: ch'i-lin ฉีหลิน) หรือ (ญี่ปุ่น: 麒麟 คิริน ?) และอาจสะกดเป็น Qilin, Kylin หรือ Kirin เป็นคำที่มาจากภาษาจีน ซึ่งเป็นชื่อของสัตว์ชนิดหนึ่งในเทพนิยายจีน
ถ้าเป็นตัวผู้เรียกว่า "กี" ถ้าเป็นตัวเมียเรียกว่า "เลน" หรือ "กิเลน" กิเลน ตามตำนานจีนว่ามีรูปร่างเหมือนกวาง แต่มีเขาเดียว หางเหมือนวัว หัวเป็นมังกร ตีนมีกีบเหมือนม้า (บางตำราว่ามีตัวเป็นสุนัข ลำตัวเป็นเนื้อสมัน) เกิดจากธาตุทั้งห้า คือ ดิน น้ำ ไฟ ไม้ และโลหะ ผสมกันเชื่อว่ามีอายุอยู่ได้ถึงพันปี และถือว่าเป็นยอดแห่งสัตว์ทั้งหลาย เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณงามความดี ปรากฏให้เห็นเมื่อใด ก็จะเกิดผู้มีบุญมาปกครองบ้านเมืองให้อยู่เย็นเป็นสุขเมื่อนั้น กิเลนเป็นหนึ่งในสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งประกอบด้วย หงส์ เต่า มังกร และกิเลน (บ้างว่าเป็น เสือ)คนไทยคงรู้จักกิเลนของจีนมานานแล้ว ในสมุดภาพสัตว์ป่าหิมพานต์ที่ช่างโบราณได้ร่างแบบสำหรับผูกหุ่นเข้า กระบวนแห่พระบรมศพครั้งรัชกาลที่ 3 ก็มีรูปกิเลนจีนทำหนวดยาว ๆ ส่วนภาพกิเลนแบบไทย มีกระหนกและเครื่องประดับเป็นแบบไทยๆ การจัดลายประกอบผิดไปจากในสมุดภาพสัตว์ป่าหิมพานต์ของโบราณนั้นบ้าง ที่แปลกอีกอย่างหนึ่ง คือ กิเลนไทยมีสองเขา ของจีนแท้ ๆ มีเขาเดียว ในวรรณคดีเรื่องพระอภัยมณี ของกวีเอกสุนทรภู่ ก็มีสัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายกิเลนนี้ในเรื่องด้วย คือ ม้ามังกร หรือ ม้านิลมังกร นั่นเองโคดามะ (อังกฤษ: 木魂) เป็นวิญญาณในตำนานพื้นบ้านญี่ปุ่น ซึ่งเชื่อกันว่าสิงสถิตอยู่ในต้นไม้ แบบเดียวกับนางไม้ (dryad) ในเทพปกรณัมกรีก การตัดต้นไม้ที่มีโคดามะสิงสถิตอยู่เชื่อกันว่าจะนำมาซึ่งโชคร้าย และต้นไม้ดังนี้มักถูกทำเครื่องหมายด้วยเชือกชิเมนาวะ (shimenawa)
ผีไม่มีหน้า (ญี่ปุ่น: のっぺらぼう Noppera Bou นปเปะระโบว ?) เป็นผีญี่ปุ่นอย่างหนึ่งที่ไม่มีใบหน้า มีแต่หน้าเกลี้ยงๆ คล้ายไข่ ซึ่งแม้แต่ตา จมูก ปาก ไม่มีบนใบหน้าเลย ผีตนนี้มักเที่ยวหลอกหลอนคนผ่านทางในเวลากลางคืน มีตำนานที่เล่าขานในจังหวัดอิวาเตะ ประเทศญี่ปุ่น บางครั้งก็เรียกผีตนนี้ว่า "มุจินะ" (ญี่ปุ่น: ムジナ Mujina ?)ตามตำนาน เกิดขึ้นที่เนินทางแห่งหนึ่งในจังหวัดอิวาเตะ ในเวลากลางดึก มีชายคนหนึ่งได้เดินทางผ่านบริเวนดังกล่าวเพื่อที่จะเข้าไปในเมือง ได้พบหญิงสาวสวมชุดญี่ปุ่นคนหนึ่งมีท่าทางร้องไห้ ราวกับจะกระโดดลงแม่น้ำเพื่อฆ่าตัวตาย ชายคนดังกล่าวจึงพยายามเข้าไปปลอบใจ และเข้ามากอด และตกใจเมื่อพบว่าใบหน้าของเธอไม่มีหน้า หน้าเกลี้ยงเหมือนไข่ปลอก จึงวิ่งหนีไป ราวกับว่าเธอจะวิ่งตามมาด้วยจนกระทั่งเขาได้มายังร้านบะหมี่แห่งหนึ่ง เจ้าของร้านได้ถามว่าไปเจออะไรมา เขาตอบว่าเจอผีไม่มีหน้า เจ้าของร้านจึงถามว่า "ลักษณะเป็นแบบนี้ใช่ไหม?" และเจ้าของร้านบะหมี่ลูบหน้าจนหน้าหายกลายเป็นผีไม่มีหน้าอีกตน ชายคนนั้นจึงตกใจและวิ่งหนีออกไปจากร้านเรื่องราวที่เกี่ยวกับผีไม่มีหน้านั้น มักจะเป็นผีที่มาหลอกคนที่เดินผ่านทางในเวลากลางคืน และเป็นตำนานในสมัยเอโดะ
ซัวเจ๋ง (จีน: 沙僧; อังกฤษ: Sha Wujing) เป็นตัวละครในเรื่อง ไซอิ๋ว เดิมเป็นเทวดาบนสวรรค์ แต่ทำความผิดจึงถูกสาปให้ทรมานทุกวันโดยให้มีด 7 ด้ามตามแทงหัวใจ อยู่มาวันหนึ่งคิดการใหญ่จึงหนีดำลงไปใต้บาดาล และกลายเป็นพรายน้ำชอบจับผู้คนกินเป็นอาหาร ต่อมาได้พบพระถังซัมจั๋ง ได้รับฟังพระธรรมเทศนาจึงกลับตัวเป็นคนดี ออกติดตามไปอัญเชิญพระไตรปิฎกด้วย โดยมากจะรับหน้าที่แบกสัมภาระ มีอาวุธเป็นท่อนยาวด้านหนึ่งคล้ายเสี้ยวพระจันทร์ อีกด้านหนึ่งเป็นเหล็กสี่เหลี่ยมคล้ายจอบ หรือพลั่วในภาพยนตร์ "ไซอิ๋ว" ซัวเจ๋งเป็นน้องคนสุดท้าย มีนิสัยโอบอ้อมอารี ขยัน อดทนและซื่อสัตย์ และใฝ่ธรรมะ ภายหลังเสร็จสิ้นภารกิจไปอัญเชิญพระไตรปิฏกแล้ว จึงพ้นโทษกลับไปเป็นเทวดาบนสวรรค์ตามเดิม
เห้งเจีย (ตัวเต็ม: 行者, ตัวย่อ: 行者, พินอิน: Xíng Zhě สิง เจ่อ, ฮกเกี้ยน: เห้งเจีย; แปลว่า ภิกษุผู้จาริก หรือข้าพระ); อังกฤษ: Magic Monkey) เป็นหนึ่งในตัวละครเอกเรื่องไซอิ๋ว ซึ่งเห้งเจียเดิมเป็นหินที่ถูกแสงสุริยันจันทราอาบมากว่า 1,000 ปี วันหนึ่งจึงแตก และมีลิงตัวหนึ่งกระโดดออกมา เจ้าลิงตัวนั้นจึงได้ไปอยู่กับฝูงลิงที่เขาไม้ผล (เขาฮวยก๊วยซัว จีนกลางเรียกว่า เขาฮัวกั่วซาน) และตั้งตัวเป็นหัวหน้าฝูง บรรดาลิงในฝูงนับถือเป็นท่านอ๋อง ฉายา "มุ้ยเกาอ๋อง" (พญาวานรโสภา)วันหนึ่ง เจ้าลิงหินตัวนี้ เห็นลิงในฝูงตัวหนึ่งตายลงด้วยความแก่ จึงเกิดความคิดจะออกเดินทางไปหาวิชาที่จะไม่ทำให้เจ็บ ไม่ทำให้ตาย จึงออกจากฝูงเดินทางเสาะแสวงหาผู้รู้ไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็พบกับเซียน "โผเถโจ๊ซือ" (สุภูติ) เมื่อเซียนรับเป็นศิษย์ ได้ฝึกวิชาต่าง ๆ เช่น การแปลงกายที่แปลงได้ 72 ร่าง, ตีลังกาได้ไกลกว่า 300 ลี้, ยืด-หดตัวได้, ถอนขนเสกเป็นของต่าง ๆ, ขี่เมฆวิเศษ เป็นต้น พร้อมกับตั้งชื่อให้ว่า "ซึงหงอคง"[1] (จีนตัวเต็ม:孫悟空; จีนตัวย่อ: 孙悟空; พินอิน: Sūn Wùkōng; เวด-ไจลส์: Sun Wu-k'ung; ซุน อู้คง, ฮกเกี้ยน:ซุนหงอคง)เมื่อฝึกวิชาสำเร็จแล้ว หงอคง เกิดลำพองใจ ไปอาละวาด อวดวิชาตามสถานที่ต่าง ๆ ไม่เว้นแม้กระทั่งสวรรค์หรือบาดาล ทำให้ 3 โลก ปั่นป่วนไปหมด เง็กเซียนฮ่องเต้ส่งทหารสวรรค์นับ 10 หมื่นนาย และเทพต่าง ๆ ไปจับ ก็จับไม่ได้ กลับถูกเห้งเจียปราบกลับมาจนเข็ดเขี้ยวตาม ๆ กัน ในที่สุด เง็กเซียนฮ่องเต้ ต้องยอมให้เห้งเจียขึ้นเป็นใหญ่ พร้อมตั้งให้เป็น "มหาเทพ" (ฉีเทียนต้าเซิ้น แปลตามตัวว่า ผู้ยิ่งใหญ่เสมอฟ้าดิน) จากเดิมที่เป็นเพียงคนเลี้ยงม้า (ปี้ม่าอุน) แต่หงอคงก็ยังเหิมเกริมไม่เลิก ในที่สุด องค์ยูไล(พระพุทธเจ้าในความเชื่อของชาวจีน) ต้องเสด็จมาปราบเอง โดยให้หงอคงถูกทับด้วยภูเขาหินนาน 500 ปี และผู้ที่จะช่วยออกมาได้ คือ พระถังซัมจั๋ง ผู้เดียวเท่านั้น และเห้งเจียต้องบวชเป็นลูกศิษย์รับใช้พระถังซัมจั๋งไปชมพูทวีป และมีหน้าที่คุ้มครองพระถังซัมจั๋งไปตลอดทางเมื่อพระถังซัมจั๋งรับหงอคงเป็นศิษย์แล้ว จึงตั้งชื่อให้ใหม่ว่า "เห้งเจีย" หรือ "ซุนเห้งเจีย" (จีน: 孫行者) แต่เห้งเจียก็ยังคงติดนิสัยเดิม ๆ คือ ใจร้อน ห่าม ดื้อรั้น ไม่เชื่อฟังพระถังซัมจั๋ง พระถังซัมจั๋งมีไม้ตายที่ปราบพยศเห้งเจียคือ รัดเกล้า ที่ได้รับประทานจากพระโพธิสัตว์กวนอิม ที่รัดอยู่กับหัวของเห้งเจีย เมื่อเห้งเจียพยศเมื่อไหร่ พระถังซัมจั๋ง จะสวดมนต์ เห้งเจียจะเจ็บปวดมาก รัดเกล้าอันนี้จะหายไปเมื่อภารกิจได้เสร็จสิ้นแล้วตลอดระยะเวลาการเดินทาง ต้องผจญกับอุปสรรคนานับประการ โดยเฉพาะปีศาจ ที่มักปลอมตัวมาหลอกลวงให้เข้าใจผิด โดยเฉพาะกับพระถังซัมจั๋ง ซึ่งเห้งเจียมักจะมองปีศาจออกก่อนทุกครั้ง และลงมือทำร้ายไปก่อน จึงสร้างความขัดแย้งให้กับศิษย์ อาจารย์ คู่นี้ไปตลอด ว่ากันว่า เป็นการเจตนาสร้างความขัดแย้งของตัวละคร ซึ่งสะท้อนถึงบุคคลิกของบุคคลในลักษณะต่าง ๆอาวุธสำคัญของเห้งเจีย คือ กระบองวิเศษ ที่ปกติจะเก็บไว้ในรูหู สามารถยืด-หดได้ ซึ่งเดิมเป็นเสาค้ำมหาสมุทร ของเจ้าสมุทรทะเลใต้ (ทะเลตงไห่) และมีพาหนะเป็นเมฆวิเศษปัจจุบัน หงอคง หรือ เห้งเจีย ได้รับการนับถือจากชาวจีน โดยตามศาลเจ้าบางแห่ง จะมีรูปเคารพ และนับถือเป็น ไต่เสี่ยฮุกโจ้ว หรือเจ้าพ่อเห้งเจีย เป็นต้น
สึจิโนะโกะ (ญี่ปุ่น: ツチノコ Tsuchinoko ?) สัตว์ประหลาดจำพวกสัตว์เลื้อยคลานคล้ายงู พบในประเทศญี่ปุ่น ในคันไซและเกาะชิโกะกุ เรียก บะชิเฮะบิ (bachi hebi)สึจิโนะโกะ มีรูปร่างตามคำบอกเล่าของผู้ที่อ้างว่าเคยพบเห็น มีรูปร่างยาวคล้ายงู แต่ลำตัวอ้วนป้อม สั้น ไม่มีขา ความยาวประมาณ 30 เซนติเมตร ถึง 80 เซนติเมตร มีลวดลายคล้ายงู แต่มีปลายหางแหลมยาวออกมา เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว บ้างก็กล่าวว่าสามารถกระโดดได้ไกลเป็นเมตรด้วย บ้างก็บอกว่ามันร้องเสียงว่า "จี่" บ้างก็กล่าวว่าเคยเห็นมันงับหางตัวเองแล้วเคลื่อนที่โดยกลิ้งไปเป็นวงกลม จากลักษณะตามที่กล่าวมาทั้งหมดทำให้คิดได้ว่า สึจิโนะโกะมีรูปร่างคล้ายกิ้งก่าจำพวกหนึ่งที่เรียกว่า กิ้งก่าลิ้นสีน้ำเงิน (Tiliqua spp.) หรือ กิล่ามอนสเตอร์ (Heloderma suspectum) ที่พบในทะเลทรายทวีปอเมริกาเหนือ เป็นต้น ซึ่งถ้าสึจิโนะโกะมีจริง อาจเป็นไปได้ว่าเป็นสัตว์จำพวกนี้ก็ได้ ในขณะที่บางคนเชื่อว่า แท้ที่จริงแล้วสึจิโนะโกะก็คืองูที่กินอาหารชิ้นใหญ่กว่าลำตัวเข้าไป ทำให้ลำตัวป่องออก แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า การอ้างว่าพบเห็น สึจิโนะโกะมีอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่นหลักฐานแรกที่มีการกล่าวถึงสึจิโนะโกะ สามารถย้อนกลับไปไกลถึงได้ 10,000 ปีก่อน ในยุคโจมง (Jōmon Period) (10,000 - 300 ปีก่อนคริสต์ศักราช) มีวัตถุที่คล้ายสึจิโนะโกะ ในยุคเอโดะ ในสารานุกรมเล่มแรกของญี่ปุ่นก็ได้มีการกล่าวถึงสึจิโนะโกะด้วย โดยเรียกว่า เยตสุ เฮบิ (yatsui hebi)สึจิโนะโกะ ได้ถูกอ้างอิงถึงในวัฒนธรรมร่วมสมัยของญี่ปุ่นหลายอย่าง เช่น มีการประกาศให้รางวัลตั้งแต่ 3 ล้าน ถึง 20 ล้านเยนแก่ผู้ที่สามารถจับสึจิโนะโกะเป็น ๆ มาได้ หรือใน การ์ตูน เป็นต้น เช่น โดราเอมอน มีอยู่ตอนหนึ่งใช้ชื่อว่า "ค้นพบ สึจิโนะโกะ" (หรือตอน "เจองูดิน!" ในเล่มที่ 9 ของเนชั่น เอ็ดดูเทนเมนท์) ในเนื้อเรื่องกล่าวถึง โนบิตะที่ต้องการจะเป็นผู้ที่มีชื่อจารึกไว้ในสารานุกรมบุคคลสำคัญของโลก จึงขึ้นเครื่องไทม์ แมชชีน ไปพร้อมกับโดราเอมอนเพื่อหาซื้อ สึจิโนะโกะ ซึ่งเป็นสัตว์เลี้ยงยอดนิยมในโลกอนาคต มาอวดคนในยุคปัจจุบันว่า ตนเป็นผู้ค้นพบสึจิโนะโกะ แต่ปรากฏว่าเมื่อนำกลับมาแล้ว สึจิโนะโกะได้หนีหายไป ท้ายที่สุดปรากฏว่า ไจแอนท์เป็นผู้ค้นพบสึจิโนะโกะไป
อันสุดท้ายนี้ผมลงไปแล้ว แต่อยากเอาเนื้อหาเน้นมาให้อ่านกัน เพราะผมสนใจมาก ปิศาจตนนี้ เอิ๊กๆ ~
สตรีหิมะ หรือ ยูกิอนนะ (ญี่ปุ่น: 雪女 yuki onna นางหิมะ ?) ตามความเชื่อของชาวญี่ปุ่น เป็นชื่อที่ใช้เรียกภูตหิมะที่มีรูปร่างเป็นสตรีที่งดงาม ว่ากันว่าเป็นจิตวิญญาณแห่งฤดูหนาว ซึ่งยูกิอนนะนี้ จะมีลักษณะเป็นผู้หญิงสาวสวย สวมชุดกิโมโนสีขาวสะอาด นางจะปรากฏตัวบนภูเขาหิมะในวันที่มีพายุหิมะ และหลอกล่อให้ผู้ชายที่หลงไหลในความงามของนางไปสู่ความตาย เรื่องเล่าของสตรีหิมะมีหลากหลายอยู่ว่า บางครั้งเล่ากันว่าในวันที่หิมะตกหนัก นักเดินทางที่โชคไม่ดี จะได้พบกับสตรีหิมะท่ามกลางพายุหิมะที่อันตราย เธอจะสวมกิโมโนสีขาว และค่อนข้างตัวสูง บ้างก็เล่าว่าเธอสวมกิโมโนสีแดง แล้วรอยเท้าที่เธอเดิน เต็มไปด้วยคราบเลือด บางครั้งเชื่อว่าสตรีหิมะเป็นวิญญาณของหญิงที่ตั้งครรภ์ ที่ตายเพราะพายุหิมะ และเมื่อใครเดินผ่านมาตามทางแล้วพบเห็นเธอเข้า เธอจะยิ้มแล้วยอมให้คนนั้นอุ้มลูก เหยื่อจะไม่สามารถปล่อยลูกของเธอได้เมื่ออุ้มแล้ว และลูกของเธอจะหนักขึ้นและเย็นจนแข็ง ทำให้เหยื่อขยับไปไหนไม่ได้ และจะจมหิมะตายทว่าเรื่องเล่าที่มีชื่อเสียงของสตรีหิมะ เป็นเรื่องที่มีอยู่ว่า ชายตัดฟืน 2 คน คนหนึ่งยังหนุ่ม ส่วนอีกคนค่อนข้างมีอายุ ติดอยู่ท่ามกลางพายุหิมะไม่สามารถกลับได้ จึงต้องหาที่พักซึ่งเป็นกระท่อมร้างเพื่อหลบหิมะก่อน เมื่อทั้งคู่หลับลง กลางดึกนั้นมีเพียงชายคนที่อายุน้อยกว่ากึ่งหลับกึ่งตื่น เห็นผู้หญิงที่สวมกิโมโนสีขาว หน้าตาซีดเผือด และมีแววตาที่น่ากลัว เป่าลมหายใจใส่ชายคนที่มีอายุกว่า ชายคนที่อายุน้อยกว่าตกใจมากจนพูดไม่ออก แล้วสตรีหิมะก็เข้ามากระซิบว่าเธอจะไว้ชีวิตเขา ตราบเท่าที่เขาไม่แพร่งพรายเรื่องของเธอให้ใครรู้ แล้วสตรีหิมะก็หายตัวไป เขาพบว่าชายคนที่สูงวัยกว่าได้แข็งตายไปแล้วหลังจากนั้น 1 ปีให้หลัง เขาได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งที่ค่อนข้างสูง หน้าตาซีดเผือด แต่เป็นผู้หญิงที่หน้าตาดี เขาตัดสินใจแต่งงานและอยู่กินกับเธอ ถึงแม้ว่าเธอจะมีลูกกับเขาถึง 10 คน แต่ความงามของเธอไม่เปลี่ยนแปลงไปเลยซักนิดเดียว วันหนึ่งสามีก็เกิดหลุดปาก เล่าเรื่องสตรีหิมะออกมาให้เธอฟัง เมื่อเธอได้ยิน เธอก็คืนร่างกลับเป็นสตรีหิมะตนเดิม ตนเดียวกับที่สามีเคยเจอ ด้วยความเป็นมนุษย์ ฝ่ายสามีเกิดหวาดกลัวภรรยา แต่เพราะว่าเธอเห็นแก่ลูกๆ จึงไว้ชีวิตสามีแล้วหายตัวไป หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้พบกับสตรีหิมะนางนั้นอีกเลยส่วนใหญ่แล้ว เรื่องเล่าของ ยุกิอนนะ จะปรากฏในทางตอนเหนือของเกาะญี่ปุ่นเสียเป็นส่วนมาก ไม่ว่าจะเป็นทางแถบฮอกไกโด หรือทางแถบจังหวัดอิวาเทะ เนื่องจากทางตอนเหนือของญี่ปุ่นจะมีอากาศหนาวเย็น และมีหิมะปกคลุมอยู่เกือบตลอดทั้งปี จึงมีเรื่องเล่าขานของยูกิอนนะ มากกว่าท้องที่อื่นๆ
เครดิต : wikipedia.org
[IMG]
Guilty Crown
ความรักมันไม่ใช่ความสุข แต่มันเป็นความทุกข์ที่เรารับได้
ถ้าเราไม่รักเราก็ไม่ทุกข์ แล้วความสุขมันคืออะไร ?