ประวัติศาสนาชินโต
คำว่า"ชินโต" นี้ มาซาฮารุ อนาซากิ (MasaharuAnasaki. 1963 : 19 - 23) ได้อธิบายว่า
มาจากอักษรจีนสองตัวคือ "เชน" (Shen) ซึ่งแปลว่า "เทพทั้งหลาย"
ส่วน"เต๋า" (Tao) แปลว่า "ทาง" รวมความแล้ว แปลว่า"วิถีทางแห่งเทพทั้งหลาย" เพราะชาวญี่ปุ่นบูชาเทพเจ้าเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
เทพเหล่านี้เป็นเทพที่มีอยู่ในธรรมชาติและการที่จะเข้าถึงองค์เทพได้นั้นจะต้องเข้าถึงธรรมชาติชินโตจึงสอนให้บุคคลเคารพในธรร มชาติ
เพื่อที่จะเข้าใจความเป็นชินโตให้มากขึ้นเราจะต้องศึกษาเทพนิยายและตำนานธรรมของคนญี่ปุ่นซึ่ง มีมานานก่อนศตวรรษที่ 6
อันเป็นเรื่องราวที่แสดงถึงชาติกำเนิดของคนญี่ปุ่น
ซึ่งเชื่อกันว่าสืบสายเลือดมาจากเทพทั้งหลายทั้งปวงเทพเหล่านี้ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า "กามิ" (Kami)
แต่นักศาสนาบางท่านได้สันนิษฐานว่ากามิ คือ มานา (mana)
กามิจะเป็นมานาหรือไม่ยากที่จะระบุลงไปได้ เพราะแม้แต่นักศาสนาของญี่ปุ่นที่ชื่อ โมโตโอริ โนรินางะ (MotooriNorinaga)
ยังไม่ยอมที่จะอธิบายกามิให้มากไปกว่าความหมายซึ่งเป็นที่เข้าใจกันทั่ว ๆ ไป
ชินโต เป็นศาสนาตามความเชื่อเดิมของชาวญี่ปุ่นและเคยเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศญี่ปุ่นในอดีต ชินโตเป็นศาสนาที่บูชาพระเจ้า
หรือที่เรียกว่าคะมิ และวิญญาณในธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ซุซะโนะโอะ เทพเจ้าแห่งสายฟ้า คำว่าชินโตมาจากภาษาญี่ปุ่นสองคำในอักษรคันจิ
คำว่า"ชิน" ที่แปลว่าพระเจ้า และ "โต" ที่หมายถึงวิถีชีวิต
ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองชินโตหกกดดเเกได้ถูกยกเลิกจากการเป็นศาสนาประจำชาติ
ซึ่งในปัจจุบันชินโตเริ่มลดหายไปจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นโดยที่ยังเห็นได้ในปัจจุบันได้แก่ โอะมิกุจิ (การดึงฉลากเสี่ยงโชคในศาลเจ้าชินโต)
และการเฉลิมฉลองงานปีใหม่ญี่ปุ่น ที่มีจัดขึ้นตามศาลเจ้าชินโต
ชินโตในระยะแรกไม่มีการสร้างศาลเจ้าจนกระทั่งศตวรรษที่3-4 ในศตวรรษที่4 เมื่อรัฐบาลยะมะโตะรวบรวมญี่ปุ่นจัดตั้งเป็นประเทศได้แล้ว
ทำให้ชินโตถูกแบ่งเป็น2ระดับคืออะมะทสึ-คะมิ(Amatsu-kami)
และคคุทสึ-คะมิ(Koukutsu-kami)คำสอนอันแรกของชินโตที่ปรากฏขึ้นในกลางสมัยเฮอัน
คือฮนจิสุยจะขุ(Honjisuijaku) ที่ได้ผนวกคำสอนของนิกายเทนได(Tendai) และ นิกายชินเง็น(Shingen)เข้าไว้ด้วยกัน
รวมคำสอนของพระพุทธเจ้ากับเทพเจ้าที่มีมาตั้งแต่สมัยเฮอัน มาแยกเป็นทฤษฎีที่ให้ความสำคัญกับพระพุทธเจ้าเป็นหลักและเทพเจ้าสำคัญเป็นรอง
โดยกล่าวว่าเทพเจ้าต่างๆในญี่ปุ่นล้วนเป็นปางหนึ่งของพระพุทธเจ้าที่เสด็จลงมาโปรดนั่นเอง
ในสมัยใหม่กลุ่มนิกายเช่นอิเสะ(Ise) โยะชิดะ(yoshida) ฟุคโค(Fukko)
ได้สร้างทฤษฎีที่เน้ความเป็นอิสระของชินโตเมื่อเข้าสู่สมัยเมจิได้มีการทำให้คำสอนกับพิธีกรรมของศาลเจ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
โดยยึดถือพิธีกรรมของพระราชวงศ์เป็นหลักนักบวชของชินโตมีหน้าที่ประกอบพิธีกรรมเท่านั้น
ส่วนประชาชนทุกคนถือเป็นสาวกกลายเป็นคกคะชินโต(Kokka Shintou)
หรือชินโตที่เป็นของรัฐหลังสงครามโลก ชินโตแต่ละนิกายได้ถูกบัญญัติให้เป็นศาสนาถูกต้องตาม กฎหมาย
จากข้อมูลทางสถิติของกระทรวงวัฒนธรรมของญี่ปุ่นสำรวจโดยอาสาสมัครของศาลเจ้าชินโตในปี ค.ศ.1994
สุซาโนโอะ
(Susanowo-เจ้าสมุทร) เทพแห่งลมพายุ และเจ้าแห่งงูตัวแทนแห่งปีศาจ เขากำเนิดจากจมูกของอิซานางิ และได้รับการมอบหมายให้ปกครองทะเล
แต่ด้วยความที่เขาเป็นเทพเจ้าที่กล้าหาญหัวแข็ง ไม่ยอมอยู่ภายใต้กฏใดๆ และใจร้อนหุนหันพลันแล่น เขาทำลายทุกสิ่งไปทั่วไม่จำกัดอยู่แต่ในทะเล
เขาได้ส่งพายุไปทำลายทุกสิ่งบนแผ่นดินและปกคลุมจนท้องฟ้าดำมืด นั่นทำให้เทพเจ้าทั้ง 8 ล้านองค์พิโรธ
และประชุมตัดสินลงโทษการก่อกวนเล็กน้อยๆของเขาโดยเฉพาะการต่อต้านพี่สาวของเขา
เขาถูกตัดหนวดเครา, เล็บมือ, ยึดดินแดนที่เขาครอบครองทั้งหมดและขับไล่ไปโลกมนุษย์ เขาได้ผจญภัยไปทั่ว
และได้ปราบยามาทะ โน โอโรชิ เป็นงูใหญ่ 8 หัว8 หางมีดวงตาแดงก่ำ ลำตัวมีตะไคร่น้ำ และต้นฉำฉางอกอยู่ และที่หางมีดาบคุซานางิ โนทสึรุงิ
("ดาบปราบหญ้า"-ดาบวิเศษมีปลาย 7 แฉกเป็นตัวแทนของสายฟ้า) ปักอยู่
(ต่อมาเขาแต่งงานกับ คุชินาดะ สร้างวังที่ซึงะในเมืองอิซึโมะ ต่อมาได้ย้ายไปที่เมืองเนโนคุนิ)
ต่อมาเขาได้พิชิตเกาหลีและปราบโรคระบาด
ยามาตะโนะ โอโรจิ
คือชื่อของจอมอสูรในตำนานเทพปกรณัมของญี่ปุ่นโบราณ
เมื่อคราที่อิซะนะงิเทพบิดร และอิซะนะมิ เทพมารดร สร้างประเทศญี่ปุ่นขึ้นโดยการกวนน้ำทะเลนั้น
ได้เกิดจอมอสูรขึ้นมาในยุคเดียวกันนั้นด้วยคือยามาตะ โนะ โอโรจิ
ยามาตะ โนะโอโรจิ มีลักษณะเป็นงูขนาดใหญ่ ร่างกายของมันใหญ่ปานขุนเขา มีหัวแปดหัว
(ด้วยเหตุนี้ จึงชื่อว่ายามาตะ หมายถึง แปดง่ามคือมีหัวทั้งแปด งอกออกมาจากง่ามทั้งแปด) และสามารถพ่นไฟได้
เมื่อยามาตะโนะ โอโรจิ ปรากฏตัวขึ้น ไม่ว่าจะไปยังหมู่บ้านใดๆ ก็ตามจะเกิดการสูญเสียทั้งชีวิตคน และสัตว์เป็นจำนวนมาก
แต่ละหมู่บ้านที่ยามาตะโนะ โอโรจิ จะผ่านไปนั้น จึงต้องคัดเลือกหญิงสาวมาสังเวยให้แก่ยามาตะ โนะ โอโรจิ
เพื่อทำให้ยามาตะโนะ โอโรจิ พึงพอใจ จะได้ไม่มาทำลายหมู่บ้าน ขณะนั้น จอมเทพ ซุซะโนะโอะ โนะมิโคโตะ เทพแห่งวายุ
น้องชายของเทพีอามาเทระสุเทพีแห่งดวงอาทิตย์ ได้ออกเดินทางผจญภัยไปยังแคว้นต่างๆเมื่อเดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ซึ่งขณะนั้นได้มีการจัดเตรียมเครื่องสังเวย โดยหมู่บ้านนี้ เป็นหมู่บ้านที่ 8 ที่ยามาตะ โนะ โอโรจิ จะมาเยือน ซุซะโนะโอะได้รู้ดังนั้น
จึงอาสาที่จะปราบยามาตะโนะ โอโรจิ เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านให้พ้นภัย
ซุซะโนะโอะได้เตรียมสุราไว้ด้วยกันแปดจอก และนำเอาหญิงสาวซ่อนไว้ด้านในสุด
โดยให้เงาของหญิงสาวทาบทับสะท้อนลงไปในจอกสุราทั้งแปดจอกนั้น เมื่อยามาตะ โนะ โอโรจิมาถึงก็ไล่ดื่มสุราทีละจอกทีละจอก
เพราะเห็นเงาของหญิงสาวนั้นสะท้อนอยู่ในเหล้าทุกจอกเมื่อดื่มครบแปดจอก ก็เกิดความเมามายซุซะโนะโอะที่ซ่อนตัวอยู่เห็นว่าได้จังหวะเหมาะ
จึงกระโจนออกจากที่ซ่อนแล้วใช้ดาบฟาดฟันงูยักษ์ยามาตะ โนะ โอโรจิจนหัวขาดหมดสิ้นทั้งแปดหัวและถูกสยบลงได้ในที่สุด
เมื่อยามาตะโนะ โอโรจิถูกกำราบลงแล้ว ซุซะโนะโอะได้เห็นว่าที่หางของยามาตะ โนะโอโรจินั้นมีแสงเรืองรองส่องสว่างอยู่
จึงได้ตัดหางของยามาตะโนะ โอโรจิออกดู และพบว่ามีดาบอยู่ในนั้นดาบที่ซุซะโนะโอะนำออกมาจากปลายหางของยามาตะ โนะ โอโรจิ
มีชื่อว่าดาบคุซานางิซุซะโนะโอะได้นำดาบนั้นมาครอบครองและนำไปถวายให้อะมา เตระสุเพื่อขอขมาในภายหลัง
คำว่า"ชินโต" นี้ มาซาฮารุ อนาซากิ (MasaharuAnasaki. 1963 : 19 - 23) ได้อธิบายว่า
มาจากอักษรจีนสองตัวคือ "เชน" (Shen) ซึ่งแปลว่า "เทพทั้งหลาย"
ส่วน"เต๋า" (Tao) แปลว่า "ทาง" รวมความแล้ว แปลว่า"วิถีทางแห่งเทพทั้งหลาย" เพราะชาวญี่ปุ่นบูชาเทพเจ้าเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน
เทพเหล่านี้เป็นเทพที่มีอยู่ในธรรมชาติและการที่จะเข้าถึงองค์เทพได้นั้นจะต้องเข้าถึงธรรมชาติชินโตจึงสอนให้บุคคลเคารพในธรร มชาติ
เพื่อที่จะเข้าใจความเป็นชินโตให้มากขึ้นเราจะต้องศึกษาเทพนิยายและตำนานธรรมของคนญี่ปุ่นซึ่ง มีมานานก่อนศตวรรษที่ 6
อันเป็นเรื่องราวที่แสดงถึงชาติกำเนิดของคนญี่ปุ่น
ซึ่งเชื่อกันว่าสืบสายเลือดมาจากเทพทั้งหลายทั้งปวงเทพเหล่านี้ในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า "กามิ" (Kami)
แต่นักศาสนาบางท่านได้สันนิษฐานว่ากามิ คือ มานา (mana)
กามิจะเป็นมานาหรือไม่ยากที่จะระบุลงไปได้ เพราะแม้แต่นักศาสนาของญี่ปุ่นที่ชื่อ โมโตโอริ โนรินางะ (MotooriNorinaga)
ยังไม่ยอมที่จะอธิบายกามิให้มากไปกว่าความหมายซึ่งเป็นที่เข้าใจกันทั่ว ๆ ไป
ชินโต เป็นศาสนาตามความเชื่อเดิมของชาวญี่ปุ่นและเคยเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศญี่ปุ่นในอดีต ชินโตเป็นศาสนาที่บูชาพระเจ้า
หรือที่เรียกว่าคะมิ และวิญญาณในธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น ซุซะโนะโอะ เทพเจ้าแห่งสายฟ้า คำว่าชินโตมาจากภาษาญี่ปุ่นสองคำในอักษรคันจิ
คำว่า"ชิน" ที่แปลว่าพระเจ้า และ "โต" ที่หมายถึงวิถีชีวิต
ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่สองชินโตหกกดดเเกได้ถูกยกเลิกจากการเป็นศาสนาประจำชาติ
ซึ่งในปัจจุบันชินโตเริ่มลดหายไปจากวัฒนธรรมญี่ปุ่นโดยที่ยังเห็นได้ในปัจจุบันได้แก่ โอะมิกุจิ (การดึงฉลากเสี่ยงโชคในศาลเจ้าชินโต)
และการเฉลิมฉลองงานปีใหม่ญี่ปุ่น ที่มีจัดขึ้นตามศาลเจ้าชินโต
ชินโตในระยะแรกไม่มีการสร้างศาลเจ้าจนกระทั่งศตวรรษที่3-4 ในศตวรรษที่4 เมื่อรัฐบาลยะมะโตะรวบรวมญี่ปุ่นจัดตั้งเป็นประเทศได้แล้ว
ทำให้ชินโตถูกแบ่งเป็น2ระดับคืออะมะทสึ-คะมิ(Amatsu-kami)
และคคุทสึ-คะมิ(Koukutsu-kami)คำสอนอันแรกของชินโตที่ปรากฏขึ้นในกลางสมัยเฮอัน
คือฮนจิสุยจะขุ(Honjisuijaku) ที่ได้ผนวกคำสอนของนิกายเทนได(Tendai) และ นิกายชินเง็น(Shingen)เข้าไว้ด้วยกัน
รวมคำสอนของพระพุทธเจ้ากับเทพเจ้าที่มีมาตั้งแต่สมัยเฮอัน มาแยกเป็นทฤษฎีที่ให้ความสำคัญกับพระพุทธเจ้าเป็นหลักและเทพเจ้าสำคัญเป็นรอง
โดยกล่าวว่าเทพเจ้าต่างๆในญี่ปุ่นล้วนเป็นปางหนึ่งของพระพุทธเจ้าที่เสด็จลงมาโปรดนั่นเอง
ในสมัยใหม่กลุ่มนิกายเช่นอิเสะ(Ise) โยะชิดะ(yoshida) ฟุคโค(Fukko)
ได้สร้างทฤษฎีที่เน้ความเป็นอิสระของชินโตเมื่อเข้าสู่สมัยเมจิได้มีการทำให้คำสอนกับพิธีกรรมของศาลเจ้าเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
โดยยึดถือพิธีกรรมของพระราชวงศ์เป็นหลักนักบวชของชินโตมีหน้าที่ประกอบพิธีกรรมเท่านั้น
ส่วนประชาชนทุกคนถือเป็นสาวกกลายเป็นคกคะชินโต(Kokka Shintou)
หรือชินโตที่เป็นของรัฐหลังสงครามโลก ชินโตแต่ละนิกายได้ถูกบัญญัติให้เป็นศาสนาถูกต้องตาม กฎหมาย
จากข้อมูลทางสถิติของกระทรวงวัฒนธรรมของญี่ปุ่นสำรวจโดยอาสาสมัครของศาลเจ้าชินโตในปี ค.ศ.1994
สุซาโนโอะ
(Susanowo-เจ้าสมุทร) เทพแห่งลมพายุ และเจ้าแห่งงูตัวแทนแห่งปีศาจ เขากำเนิดจากจมูกของอิซานางิ และได้รับการมอบหมายให้ปกครองทะเล
แต่ด้วยความที่เขาเป็นเทพเจ้าที่กล้าหาญหัวแข็ง ไม่ยอมอยู่ภายใต้กฏใดๆ และใจร้อนหุนหันพลันแล่น เขาทำลายทุกสิ่งไปทั่วไม่จำกัดอยู่แต่ในทะเล
เขาได้ส่งพายุไปทำลายทุกสิ่งบนแผ่นดินและปกคลุมจนท้องฟ้าดำมืด นั่นทำให้เทพเจ้าทั้ง 8 ล้านองค์พิโรธ
และประชุมตัดสินลงโทษการก่อกวนเล็กน้อยๆของเขาโดยเฉพาะการต่อต้านพี่สาวของเขา
เขาถูกตัดหนวดเครา, เล็บมือ, ยึดดินแดนที่เขาครอบครองทั้งหมดและขับไล่ไปโลกมนุษย์ เขาได้ผจญภัยไปทั่ว
และได้ปราบยามาทะ โน โอโรชิ เป็นงูใหญ่ 8 หัว8 หางมีดวงตาแดงก่ำ ลำตัวมีตะไคร่น้ำ และต้นฉำฉางอกอยู่ และที่หางมีดาบคุซานางิ โนทสึรุงิ
("ดาบปราบหญ้า"-ดาบวิเศษมีปลาย 7 แฉกเป็นตัวแทนของสายฟ้า) ปักอยู่
(ต่อมาเขาแต่งงานกับ คุชินาดะ สร้างวังที่ซึงะในเมืองอิซึโมะ ต่อมาได้ย้ายไปที่เมืองเนโนคุนิ)
ต่อมาเขาได้พิชิตเกาหลีและปราบโรคระบาด
ยามาตะโนะ โอโรจิ
คือชื่อของจอมอสูรในตำนานเทพปกรณัมของญี่ปุ่นโบราณ
เมื่อคราที่อิซะนะงิเทพบิดร และอิซะนะมิ เทพมารดร สร้างประเทศญี่ปุ่นขึ้นโดยการกวนน้ำทะเลนั้น
ได้เกิดจอมอสูรขึ้นมาในยุคเดียวกันนั้นด้วยคือยามาตะ โนะ โอโรจิ
ยามาตะ โนะโอโรจิ มีลักษณะเป็นงูขนาดใหญ่ ร่างกายของมันใหญ่ปานขุนเขา มีหัวแปดหัว
(ด้วยเหตุนี้ จึงชื่อว่ายามาตะ หมายถึง แปดง่ามคือมีหัวทั้งแปด งอกออกมาจากง่ามทั้งแปด) และสามารถพ่นไฟได้
เมื่อยามาตะโนะ โอโรจิ ปรากฏตัวขึ้น ไม่ว่าจะไปยังหมู่บ้านใดๆ ก็ตามจะเกิดการสูญเสียทั้งชีวิตคน และสัตว์เป็นจำนวนมาก
แต่ละหมู่บ้านที่ยามาตะโนะ โอโรจิ จะผ่านไปนั้น จึงต้องคัดเลือกหญิงสาวมาสังเวยให้แก่ยามาตะ โนะ โอโรจิ
เพื่อทำให้ยามาตะโนะ โอโรจิ พึงพอใจ จะได้ไม่มาทำลายหมู่บ้าน ขณะนั้น จอมเทพ ซุซะโนะโอะ โนะมิโคโตะ เทพแห่งวายุ
น้องชายของเทพีอามาเทระสุเทพีแห่งดวงอาทิตย์ ได้ออกเดินทางผจญภัยไปยังแคว้นต่างๆเมื่อเดินทางมาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง
ซึ่งขณะนั้นได้มีการจัดเตรียมเครื่องสังเวย โดยหมู่บ้านนี้ เป็นหมู่บ้านที่ 8 ที่ยามาตะ โนะ โอโรจิ จะมาเยือน ซุซะโนะโอะได้รู้ดังนั้น
จึงอาสาที่จะปราบยามาตะโนะ โอโรจิ เพื่อช่วยเหลือชาวบ้านให้พ้นภัย
ซุซะโนะโอะได้เตรียมสุราไว้ด้วยกันแปดจอก และนำเอาหญิงสาวซ่อนไว้ด้านในสุด
โดยให้เงาของหญิงสาวทาบทับสะท้อนลงไปในจอกสุราทั้งแปดจอกนั้น เมื่อยามาตะ โนะ โอโรจิมาถึงก็ไล่ดื่มสุราทีละจอกทีละจอก
เพราะเห็นเงาของหญิงสาวนั้นสะท้อนอยู่ในเหล้าทุกจอกเมื่อดื่มครบแปดจอก ก็เกิดความเมามายซุซะโนะโอะที่ซ่อนตัวอยู่เห็นว่าได้จังหวะเหมาะ
จึงกระโจนออกจากที่ซ่อนแล้วใช้ดาบฟาดฟันงูยักษ์ยามาตะ โนะ โอโรจิจนหัวขาดหมดสิ้นทั้งแปดหัวและถูกสยบลงได้ในที่สุด
เมื่อยามาตะโนะ โอโรจิถูกกำราบลงแล้ว ซุซะโนะโอะได้เห็นว่าที่หางของยามาตะ โนะโอโรจินั้นมีแสงเรืองรองส่องสว่างอยู่
จึงได้ตัดหางของยามาตะโนะ โอโรจิออกดู และพบว่ามีดาบอยู่ในนั้นดาบที่ซุซะโนะโอะนำออกมาจากปลายหางของยามาตะ โนะ โอโรจิ
มีชื่อว่าดาบคุซานางิซุซะโนะโอะได้นำดาบนั้นมาครอบครองและนำไปถวายให้อะมา เตระสุเพื่อขอขมาในภายหลัง
อะมาเตระสุ
เป็นเทพีแห่งดวงอาทิตย์ตามความเชื่อของศาสนาชินโตมีตำนานที่เกี่ยวข้องกับเทพีองค์นี้มากมาย
ซึ่งเป็นรากฐานของพิธีกรรมสำคัญต่างๆเรื่องที่สำคัญคือการที่สุริยเทวีหลบหนีซุซะโนะโอะ เทพแห่งพายุเข้าไปอยู่ในถ้ำ
ทำให้โลกต้องพบกับความมืดมิดเกิดจลาจลเทวดาทั้งหลายจึงคิดอุบายล่อหลอกให้สุริยเทวีปรากฏตั วออกมา
เมื่อสุริยเทวีปรากฏตัวอีกครั้งแสงสว่างได้ขับไล่ความมืดและความชั่วร้ายและสามารถปร าบซูซะโนะโวะลงได้นางจึงกลายเป็นเทพที่สำคัญที่สุดของศาสนาชินโต
ซุซะโนะโอะ
ซุซะโนะโอะเป็นน้องชายของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์อามาเทราซุ และเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ สึกิโยะมิ โดยเทพเจ้าสามองค์ถือกำเนิดจากเทพอิซานางิ
เทพแห่งลมพายุและเจ้าแห่งงู ผู้ปกครองปีศาจ เขากำเนิดจากจมูกของอิซานางิ และได้รับการมอบหมายให้ปกครองทะเล
แต่ด้วยความที่เขาเป็นเทพเจ้าที่กล้าหาญหัวแข็ง ไม่ยอมอยู่ภายใต้กฏใดๆ และใจร้อนหุนหันพลันแล่นเขาทำลายทุกสิ่งไปทั่วไม่จำกัดอยู่แต่ในทะเล
เขาได้ส่งพายุไปทำลายทุกสิ่งบนแผ่นดินและปกคลุมจนท้องฟ้าดำมืด นั่นทำให้เทพเจ้าทั้ง 8 ล้านองค์พิโรธ
และประชุมตัดสินลงโทษการก่อกวนเล็กน้อยๆของเขาโดยเฉพาะการต่อต้าน อามาเทราซุพี่สาวของเขา
เขาถูกตัดหนวดเครา, เล็บมือ, ยึดดินแดนที่เขาครอบครองทั้งหมด
และขับไล่ไปโลกมนุษย์เขาได้ผจญภัยไปทั่ว และได้ปราบ ยามาตาโนะ โอโรจิ
เป็นงูใหญ่ 8 หัว 8 หาง มีดวงตาแดงก่ำ ลำตัวมีตะไคร่น้ำและต้นฉำฉางอกอยู่
และที่หางมีดาบคุซานางิโน ทสึรุงิ ("ดาบปราบหญ้า"-ดาบวิเศษมีปลาย 7 แฉกเป็นตัวแทนของสายฟ้า)ปักอยู่ซึ่งได้ลักพาตัวสาวในหมู่บ้านเจ็ดคน
และขณะที่มาลักพาตัวสาวคนที่แปดเทพซุซะโนะโอะได้หลอก ยามาตาโนะ โอโรจิ ให้ดื่มสาเก 8 ไหสำหรับแต่ละหัว
และกำจัดลงได้หลังจากที่ยามาตาโนะ โอโรชิเมาหลับไป
ต่อมาเขาแต่งงานกับคุชินาดะ สร้างวังที่ซึงะ ในเมืองอิซึโมะ ต่อมาได้ย้ายไปที่เมืองเนโนคุนิต่อมาเขาได้พิชิตเกาหลี และปราบโรคระบาด
นานแสนนานมาแล้วเมื่อท้องฟ้าและพื้นดินเพิ่งแยกออกจากกันเทพอิซานางิ และ เทพอิซานามิผู้ เป็นทั้งภรรยาและน้องสาวกำเนิดมาจากทะเลโคลน
ทั้งคู่ได้ยืนอยู่บนสะพานสายรุ้งและเอาง้าวจุ่มลงในทะเลโคลนกวนให้น้ำแยกจาก ดิน และดินโคลนทั้งหลายก็รวมตัวอยู่ตรงกลางเมื่อดึงง้าวขึ้นมา
โคลนที่ติดอยู่กับง้าวก็หยดลงมากลายเป็นเกาะโอโนโกโรเป็นเกาะแรกของหมู่เกาะญี่ปุ่น ที่ซึ่งเทพเจ้าและมนุษย์ได้อาศัยกำเนิดขึ้นมา
ทั้งคู่ได้สร้างเกาะญี่ปุ่น40 เกาะและให้กำเนิดเทพ36 องค์ องค์สุดท้ายคือ คากูทซึชิ เทพแห่งไฟ
ที่เมื่อคลอดออกมาก็เผาผลาญอิซานามิจนตาย ไปอยู่นรก และกลายเป็นเทพีผู้ปกครองนรกบาดาล
หลังจากอิซานามิ ตาย อิซานางิ ก็เอาแต่โศกเศร้า และเฝ้าคิดถึงภรรยา จึงลงไปหาภรรยาในนรก
แต่เมื่อได้พบอิซานางิ ก็ตกใจกับรูปลักษณ์ของภรรยา ที่เน่าเปื่อย กลายเป็นผีที่น่าเกลียด และแสดงอาการรังเกียจออกมา
แต่ก็ได้ร้องขอให้เธอกลับไปครองรักกันเหมือนเดิมแต่ อิซานามิ เห็นอาการของสามีที่รังเกียจตน จึงปฏิเสธไม่ยอมกลับไปด้วย
ทั้งสองจึงแยกจากกันชั่วนิรันดร์หลังจาก อิซานางิ กลับมาจากนรก อิซานางิ รังเกียจภรรยาที่กลายเป็นผีจึงปิดผนึกปากถ้ำที่เป็นทางลงไปสู่นรก
แต่อิซานามิได้หลบหนีออกมาจนได้ ด้วยความโกรธ ที่สามีของตนรังเกียจตน
จึงอธิษฐานให้มนุษย์ตายวันละ 1,000 คนแต่อิซานางิ ก็อธิษฐานให้ มนุษย์เกิดขึ้นมาวันละ 1,500 คน
หลังจากนั้นอิซานางิ ได้ทำพิธีชำระล้างมลทินเป็นครั้งแรก
- เขาล้างตาซ้ายของเขามีน้ำตาหยดออกมาหลอมตัวก่อกำเนิดเป็น สุริยะเทวีอามาเตราสึ
- เมื่อเขาล้างตาขวาของเขาน้ำตาร่วงหล่นหลอมตัวก่อกำเนิดเป็น จันทราเทพบุตร ทซึกิ-ยูมิ
- และน้ำมูกจากจมูกของเขา ได้ให้กำเนิดเจ้าสมุทรซูซาโนโอะ
อาชูร่า
อาชูร่าในบางศาสนาคือเทพ มีศาสนาเดียวน่ะละ คือศาสนาโซโรอัสเตอร์
แล้วต่อมาศาสนาโซโรอัสเตอร์ที่นับถือไฟและแสงสว่างมีอิทธิพลในเอเชีย
คตินับถือเทพอาชูร่าในฐานะเทพแห่งแสงสว่างก็แพร่หลายไปในหลายประเทศ เช่นในอินเดีย ในจีน
อิทธิพลของศาสนาก็เช่นในนิยายกำลังภายใน มังกรหยก พรรคจรัส หรือเม้งก่า นั่นก็มีต้นกำเนิดจากเปอร์เซียคือบูชาไฟ แบบศาสนาโซโรอัสเตอร์
นอกจากนั้นเทพอาชูร่าก็จะเป็นต้นกำเนิดของคติความเชื่อในพระอมิ ตาภะพุทธด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม อาชูร่าเป็นการออกเสียงเพี้ยนเนื่องจากอ่านหนังสือกา ร์ตูนญี่ปุ่นชื่อจริงๆคือ อะหูระ มาจาก อะหูระ มัสตะ
หรือบางทีก้เรียก ออร์มัทซ์ แต่คำนี้ในภาษาสันสกฤตก็คือคำเดียวกับคำว่า อสูร
อสูรสำหรับคติอินเดียคือ ฝ่ายอธรรม แต่ศาสนาโซโรอัสเตอร์เรียกเทพว่า อสูร เรียกมารว่าเทวะ
* อาเบะเซย์เมย์ ผมเห็นชื่อแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ไปพักหนึ่งเรยชื่อนี้ เอิ๊กๆ
เซย์เมย์เกิดในรัชสมัยเอ็นกิที่21 (ประมาณปีค.ศ. 921) และถือว่าท่านเป็นต้นตระกูลอาเบะ
ที่มีชื่อเสียงทางศาสตร์อนเมียวจินับตั้งแต่สมัยคามากุระจนถึงเมจิ
ในยุคนั้นเซย์เมย์ถือว่าเป็นหนึ่งทางด้านศาสตร์ของอนเมียวจิ ทั้งด้านพยากรณ์ และการดูดินฟ้าอากาศ บ้างก็ว่าที่เซย์เมย์มีอายุยืนยาวไม่เจ็บไม่ป่วยก็เพราะว่าเขามีพลังลึกลับ
ตามที่เล่าขานสืบต่อกันมาบ้างก็เชื่อกันว่าแท้ที่จริงแล้วเซย์เมย์ไม่ใช่มนุษย ์ ว่ากันว่าพ่อของเซย์เมย์(อาเบะ โนะ ยะซุนะ)
และแม่ของเขา(อาเบะ โนะ คาซุโนะฮะ) เป็นวิญญาณหมาป่าที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ (คิตสึเนะ)มีตำนานเล่าว่าเมื่อตอนเซย์เมย์เป็นเด็กเล็กๆ
เขาสามารถบงการภูตผีให้ทำตามคำสั่งของเขาได้จนแม่ของเขาต้องพาตัวไปฝากกับ คาโมะ โนะ ทาดายูกิ อนเมียวจิชื่อดังในสมัยนั้น
เพื่อกำราบพลังในตัวเซย์เมย์ไม่เช่นนั้นเขาจะกลายเป็นผู้ใช้พลังด้านมืดเสียเอง
เซย์เมย์เริ่มมีชื่อปรากฎในบันทึกทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 960
ในปีนั้นเองที่จักรพรรดิมุราคามิมอบหมายให้เซย์เมย์เป็นผู้ตรวจดวงชะตา
นับแต่นั้นเซย์เมย์ก็ได้รับความไว้วางใจจากองค์จักรพรรดิ และขุนนางเรื่อยมา
ในปี ค.ศ. 979 เซย์เมย์ทำความดีความชอบให้ราชวงศ์อีกครั้งเมื่อเซย์เมย์สามารถปกป้ององค์รัชทายาท
(ภายหลังสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิคะเด็ง)จากเท็งงู
ในภูเขานาจิไว้ได้ตั้งแต่นั้นมาเซย์เมย์ก็เป็นที่ไว้วางพระทัยขององค์จ ักรพรรดิคะเด็งเรื่อยมาแม้สิ้นรัชสมัยขององค์จักรพรรดิคะเด็งไปแล้ว
แต่องค์จักรพรรดิอิจิโจวและฟุจิวาระ มิจินางะก็ยังให้ความนับถือเซย์เมย์อยู่จวบจนกระทั่งเซย์เมย์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1005 ด้วยอายุ 85 ปี
หลังจากเซย์เมย์เสียชีวิตองค์จักรพรรดิอิจิโจวก็สร้างศาลเจ้าเซย์เมย์ใน ปี ค.ศ. 1007
แม้แต่ปัจจุบันก็ยังมีผู้คนไปสักการะเซย์เมย์อย่างไม่ขาดสาย
ยิ่งในช่วงที่มีผลงานหนังสือหรือภาพยนต์ที่เกี่ยวข้องกับอาเบะ เซย์เมย์ศาลเจ้าแห่งนี้จะคราคร่ำไปด้วยผู้คนจนแทบไม่มีที่เดินเลยทีเดียว
เป็นเทพีแห่งดวงอาทิตย์ตามความเชื่อของศาสนาชินโตมีตำนานที่เกี่ยวข้องกับเทพีองค์นี้มากมาย
ซึ่งเป็นรากฐานของพิธีกรรมสำคัญต่างๆเรื่องที่สำคัญคือการที่สุริยเทวีหลบหนีซุซะโนะโอะ เทพแห่งพายุเข้าไปอยู่ในถ้ำ
ทำให้โลกต้องพบกับความมืดมิดเกิดจลาจลเทวดาทั้งหลายจึงคิดอุบายล่อหลอกให้สุริยเทวีปรากฏตั วออกมา
เมื่อสุริยเทวีปรากฏตัวอีกครั้งแสงสว่างได้ขับไล่ความมืดและความชั่วร้ายและสามารถปร าบซูซะโนะโวะลงได้นางจึงกลายเป็นเทพที่สำคัญที่สุดของศาสนาชินโต
ซุซะโนะโอะ
ซุซะโนะโอะเป็นน้องชายของเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์อามาเทราซุ และเทพเจ้าแห่งดวงจันทร์ สึกิโยะมิ โดยเทพเจ้าสามองค์ถือกำเนิดจากเทพอิซานางิ
เทพแห่งลมพายุและเจ้าแห่งงู ผู้ปกครองปีศาจ เขากำเนิดจากจมูกของอิซานางิ และได้รับการมอบหมายให้ปกครองทะเล
แต่ด้วยความที่เขาเป็นเทพเจ้าที่กล้าหาญหัวแข็ง ไม่ยอมอยู่ภายใต้กฏใดๆ และใจร้อนหุนหันพลันแล่นเขาทำลายทุกสิ่งไปทั่วไม่จำกัดอยู่แต่ในทะเล
เขาได้ส่งพายุไปทำลายทุกสิ่งบนแผ่นดินและปกคลุมจนท้องฟ้าดำมืด นั่นทำให้เทพเจ้าทั้ง 8 ล้านองค์พิโรธ
และประชุมตัดสินลงโทษการก่อกวนเล็กน้อยๆของเขาโดยเฉพาะการต่อต้าน อามาเทราซุพี่สาวของเขา
เขาถูกตัดหนวดเครา, เล็บมือ, ยึดดินแดนที่เขาครอบครองทั้งหมด
และขับไล่ไปโลกมนุษย์เขาได้ผจญภัยไปทั่ว และได้ปราบ ยามาตาโนะ โอโรจิ
เป็นงูใหญ่ 8 หัว 8 หาง มีดวงตาแดงก่ำ ลำตัวมีตะไคร่น้ำและต้นฉำฉางอกอยู่
และที่หางมีดาบคุซานางิโน ทสึรุงิ ("ดาบปราบหญ้า"-ดาบวิเศษมีปลาย 7 แฉกเป็นตัวแทนของสายฟ้า)ปักอยู่ซึ่งได้ลักพาตัวสาวในหมู่บ้านเจ็ดคน
และขณะที่มาลักพาตัวสาวคนที่แปดเทพซุซะโนะโอะได้หลอก ยามาตาโนะ โอโรจิ ให้ดื่มสาเก 8 ไหสำหรับแต่ละหัว
และกำจัดลงได้หลังจากที่ยามาตาโนะ โอโรชิเมาหลับไป
ต่อมาเขาแต่งงานกับคุชินาดะ สร้างวังที่ซึงะ ในเมืองอิซึโมะ ต่อมาได้ย้ายไปที่เมืองเนโนคุนิต่อมาเขาได้พิชิตเกาหลี และปราบโรคระบาด
นานแสนนานมาแล้วเมื่อท้องฟ้าและพื้นดินเพิ่งแยกออกจากกันเทพอิซานางิ และ เทพอิซานามิผู้ เป็นทั้งภรรยาและน้องสาวกำเนิดมาจากทะเลโคลน
ทั้งคู่ได้ยืนอยู่บนสะพานสายรุ้งและเอาง้าวจุ่มลงในทะเลโคลนกวนให้น้ำแยกจาก ดิน และดินโคลนทั้งหลายก็รวมตัวอยู่ตรงกลางเมื่อดึงง้าวขึ้นมา
โคลนที่ติดอยู่กับง้าวก็หยดลงมากลายเป็นเกาะโอโนโกโรเป็นเกาะแรกของหมู่เกาะญี่ปุ่น ที่ซึ่งเทพเจ้าและมนุษย์ได้อาศัยกำเนิดขึ้นมา
ทั้งคู่ได้สร้างเกาะญี่ปุ่น40 เกาะและให้กำเนิดเทพ36 องค์ องค์สุดท้ายคือ คากูทซึชิ เทพแห่งไฟ
ที่เมื่อคลอดออกมาก็เผาผลาญอิซานามิจนตาย ไปอยู่นรก และกลายเป็นเทพีผู้ปกครองนรกบาดาล
หลังจากอิซานามิ ตาย อิซานางิ ก็เอาแต่โศกเศร้า และเฝ้าคิดถึงภรรยา จึงลงไปหาภรรยาในนรก
แต่เมื่อได้พบอิซานางิ ก็ตกใจกับรูปลักษณ์ของภรรยา ที่เน่าเปื่อย กลายเป็นผีที่น่าเกลียด และแสดงอาการรังเกียจออกมา
แต่ก็ได้ร้องขอให้เธอกลับไปครองรักกันเหมือนเดิมแต่ อิซานามิ เห็นอาการของสามีที่รังเกียจตน จึงปฏิเสธไม่ยอมกลับไปด้วย
ทั้งสองจึงแยกจากกันชั่วนิรันดร์หลังจาก อิซานางิ กลับมาจากนรก อิซานางิ รังเกียจภรรยาที่กลายเป็นผีจึงปิดผนึกปากถ้ำที่เป็นทางลงไปสู่นรก
แต่อิซานามิได้หลบหนีออกมาจนได้ ด้วยความโกรธ ที่สามีของตนรังเกียจตน
จึงอธิษฐานให้มนุษย์ตายวันละ 1,000 คนแต่อิซานางิ ก็อธิษฐานให้ มนุษย์เกิดขึ้นมาวันละ 1,500 คน
หลังจากนั้นอิซานางิ ได้ทำพิธีชำระล้างมลทินเป็นครั้งแรก
- เขาล้างตาซ้ายของเขามีน้ำตาหยดออกมาหลอมตัวก่อกำเนิดเป็น สุริยะเทวีอามาเตราสึ
- เมื่อเขาล้างตาขวาของเขาน้ำตาร่วงหล่นหลอมตัวก่อกำเนิดเป็น จันทราเทพบุตร ทซึกิ-ยูมิ
- และน้ำมูกจากจมูกของเขา ได้ให้กำเนิดเจ้าสมุทรซูซาโนโอะ
อาชูร่า
อาชูร่าในบางศาสนาคือเทพ มีศาสนาเดียวน่ะละ คือศาสนาโซโรอัสเตอร์
แล้วต่อมาศาสนาโซโรอัสเตอร์ที่นับถือไฟและแสงสว่างมีอิทธิพลในเอเชีย
คตินับถือเทพอาชูร่าในฐานะเทพแห่งแสงสว่างก็แพร่หลายไปในหลายประเทศ เช่นในอินเดีย ในจีน
อิทธิพลของศาสนาก็เช่นในนิยายกำลังภายใน มังกรหยก พรรคจรัส หรือเม้งก่า นั่นก็มีต้นกำเนิดจากเปอร์เซียคือบูชาไฟ แบบศาสนาโซโรอัสเตอร์
นอกจากนั้นเทพอาชูร่าก็จะเป็นต้นกำเนิดของคติความเชื่อในพระอมิ ตาภะพุทธด้วย
แต่อย่างไรก็ตาม อาชูร่าเป็นการออกเสียงเพี้ยนเนื่องจากอ่านหนังสือกา ร์ตูนญี่ปุ่นชื่อจริงๆคือ อะหูระ มาจาก อะหูระ มัสตะ
หรือบางทีก้เรียก ออร์มัทซ์ แต่คำนี้ในภาษาสันสกฤตก็คือคำเดียวกับคำว่า อสูร
อสูรสำหรับคติอินเดียคือ ฝ่ายอธรรม แต่ศาสนาโซโรอัสเตอร์เรียกเทพว่า อสูร เรียกมารว่าเทวะ
* อาเบะเซย์เมย์ ผมเห็นชื่อแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ไปพักหนึ่งเรยชื่อนี้ เอิ๊กๆ
เซย์เมย์เกิดในรัชสมัยเอ็นกิที่21 (ประมาณปีค.ศ. 921) และถือว่าท่านเป็นต้นตระกูลอาเบะ
ที่มีชื่อเสียงทางศาสตร์อนเมียวจินับตั้งแต่สมัยคามากุระจนถึงเมจิ
ในยุคนั้นเซย์เมย์ถือว่าเป็นหนึ่งทางด้านศาสตร์ของอนเมียวจิ ทั้งด้านพยากรณ์ และการดูดินฟ้าอากาศ บ้างก็ว่าที่เซย์เมย์มีอายุยืนยาวไม่เจ็บไม่ป่วยก็เพราะว่าเขามีพลังลึกลับ
ตามที่เล่าขานสืบต่อกันมาบ้างก็เชื่อกันว่าแท้ที่จริงแล้วเซย์เมย์ไม่ใช่มนุษย ์ ว่ากันว่าพ่อของเซย์เมย์(อาเบะ โนะ ยะซุนะ)
และแม่ของเขา(อาเบะ โนะ คาซุโนะฮะ) เป็นวิญญาณหมาป่าที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ (คิตสึเนะ)มีตำนานเล่าว่าเมื่อตอนเซย์เมย์เป็นเด็กเล็กๆ
เขาสามารถบงการภูตผีให้ทำตามคำสั่งของเขาได้จนแม่ของเขาต้องพาตัวไปฝากกับ คาโมะ โนะ ทาดายูกิ อนเมียวจิชื่อดังในสมัยนั้น
เพื่อกำราบพลังในตัวเซย์เมย์ไม่เช่นนั้นเขาจะกลายเป็นผู้ใช้พลังด้านมืดเสียเอง
เซย์เมย์เริ่มมีชื่อปรากฎในบันทึกทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 960
ในปีนั้นเองที่จักรพรรดิมุราคามิมอบหมายให้เซย์เมย์เป็นผู้ตรวจดวงชะตา
นับแต่นั้นเซย์เมย์ก็ได้รับความไว้วางใจจากองค์จักรพรรดิ และขุนนางเรื่อยมา
ในปี ค.ศ. 979 เซย์เมย์ทำความดีความชอบให้ราชวงศ์อีกครั้งเมื่อเซย์เมย์สามารถปกป้ององค์รัชทายาท
(ภายหลังสถาปนาขึ้นเป็นจักรพรรดิคะเด็ง)จากเท็งงู
ในภูเขานาจิไว้ได้ตั้งแต่นั้นมาเซย์เมย์ก็เป็นที่ไว้วางพระทัยขององค์จ ักรพรรดิคะเด็งเรื่อยมาแม้สิ้นรัชสมัยขององค์จักรพรรดิคะเด็งไปแล้ว
แต่องค์จักรพรรดิอิจิโจวและฟุจิวาระ มิจินางะก็ยังให้ความนับถือเซย์เมย์อยู่จวบจนกระทั่งเซย์เมย์เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1005 ด้วยอายุ 85 ปี
หลังจากเซย์เมย์เสียชีวิตองค์จักรพรรดิอิจิโจวก็สร้างศาลเจ้าเซย์เมย์ใน ปี ค.ศ. 1007
แม้แต่ปัจจุบันก็ยังมีผู้คนไปสักการะเซย์เมย์อย่างไม่ขาดสาย
ยิ่งในช่วงที่มีผลงานหนังสือหรือภาพยนต์ที่เกี่ยวข้องกับอาเบะ เซย์เมย์ศาลเจ้าแห่งนี้จะคราคร่ำไปด้วยผู้คนจนแทบไม่มีที่เดินเลยทีเดียว
เครดิต : bbs.playpark.co.th
ตำนานเทพเจ้าแห่งชินโต
[IMG]
Guilty Crown
ความรักมันไม่ใช่ความสุข แต่มันเป็นความทุกข์ที่เรารับได้
ถ้าเราไม่รักเราก็ไม่ทุกข์ แล้วความสุขมันคืออะไร ?