ช่วงแนะนำ
ฉัน “ยูมิ” มาสเตอร์ของคาลเดียแห่งนี้ อันเป็นสถานที่ที่รวมเหล่าจอมเวทย์หรือบุคคลที่มีคุณสมบัติเหมาะสมในการเป็นมาสเตอร์ เป็นสถานสังเกตการณ์ที่รวมเหล่านักวิจัยเพื่อวิจัยเวทมนต์ เพื่ออนาคตที่ยืนยาวของเหล่ามนุษยชาติ ซึ่งก็คือ เป็นการช่วยให้อารยธรรมของเหล่ามนุษยชาติได้อยู่ยืนยาวไปอีกร้อยปี
ฉันเป็นมาสเตอร์มาแล้วเกือบ 2 ปี คอยช่วยเหลือให้อารยธรรมของเหล่ามวลมนุษย์เป็นไปอย่างราบรื่น แก้ไขจุดพลิกผันที่อาจทำให้อนาคตเปลี่ยนไปอีกทางให้กลับเป็นเช่นเดิม ยอมรับได้เลยว่า เหนื่อยอยู่เหมือนกัน แต่ก็ได้เหล่ามาสเตอร์คนอื่นๆ นักวิจัย หรือแม้แต่ ‘เซอแวนท์’ คอยช่วยเหลือมาโดยตลอด
เซอแวนท์เป็นเหล่าวีรชนทั้งหลายที่ถูกอัญเชิญมาเพื่อสนับสนุนเหล่ามาสเตอร์หรือจอมเวทย์ในการแก้ไขจุดพลิกผันของอารยธรรมในแต่ละจุด อาจเป็นแค่คนในตำนาน หรือคนที่มีประวัติศาสตร์อยู่จริง พวกเขาเหล่านั้นจะอยู่ยืนยาวเพื่อมาสเตอร์ต่อได้ หากยังมีพลังเวทย์คอยเสริมและลำเลียงตามร่างกาย นั่นหมายความว่า มาสเตอร์ทั้งหลายต้องคอยสนับสนุนเรื่องพลังเวทย์ให้เหล่าเซอแวนท์ด้วย
ทว่า...ครั้งนี้ฉันเผลอทำบางอย่างพลาดไป พลาดจนให้อภัยตัวเองไม่ได้ มันเหมือนกับว่าทุกอย่างนั้น...มันเป็นความผิดของฉันทั้งหมด
ตัวฉันในตอนนี้...ควรได้รับการให้อภัยจาก 'เขาคนนั้น' รึเปล่านะ...
ณ คาลเดีย
ช่วงนี้เป็นช่วงที่มีอีเว้นท์เข้ามา นั่นคือ คริสต์มาส ซึ่งในปีก่อนๆ เคยมีเข้ามาแล้ว และทุกคนก็ผ่านไปได้ด้วยดี แต่ในครั้งนี้ มาสเตอร์หน้าใหม่จะไม่สามารถเข้าร่วมได้ เพราะมีการเพิ่มความยากและศัตรูให้โหดขึ้นกว่าเดิม ทางนักวิจัยบอกว่ามันเสี่ยงเกินไปที่จะให้มาสเตอร์มือใหม่ไปร่วมด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงการสูญเสียพร้อมให้ฝึกฝนหรือพัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้นพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่เลวร้ายเสียก่อน
ตัวฉันในตอนนี้ก็ผ่านอีเว้นท์ไปบางส่วนอย่างเหน็ดเหนื่อยสุดๆ แต่ด้วยการที่เคยผ่านมาหลายๆ อย่างมาแล้ว จึงรู้สึกว่ายังพอรับไหวอยู่ ตอนนี้ก็เลยตั้งใจจะเรย์ชิพต่อเพื่อไปเก็บไอเทมเพิ่มเติม
โดยฉันจะพาไปเก็บร่วมกับ คูฮูลินน์ อัลเตอร์ (เบอเซิกเกอร์) เซอแวนท์ที่ฉันทุ่มเททุกอย่างเพื่อให้เขาเก่งขึ้น ทั้งจอกศักดิ์สิทธิ์ที่ได้จากการแก้ไขจุดพลิกผันในแต่ละจุดหรืออีเว้นท์ครั้งก่อนๆ ซึ่งในแวบแรกฉันเห็นว่าเขาคงไปลุยไม่ไหวแน่ ถ้าปล่อยปละละเลยไป จนในตอนนี้ก็ถึงจุดสูงสุดเรียบร้อยแล้ว ทำให้พวกเราผ่านจุดพลิกผันหรืออีเว้นท์ด้วยกันมาโดยตลอด แต่ก็เกือบไม่รอดเหมือนกัน หากว่าไม่มีการใช้เรย์จู (ตราสั่งการบนมือขวา) คอยช่วยเติมพลังเวทให้เขา
ฉันก้าวขาเดินตามทางเรื่อยๆ จนถึงหน้ามายรูม (ห้องที่มาสเตอร์กับเซอแวนท์หนึ่งคนนอนพักผ่อน) มือขวาค่อยๆ เปิดประตูออก ก่อนที่จะพบคูฮูลินน์ อัลเตอร์ หรือที่เรียกว่า คูจัง กำลังนั่งพิงกำแพงอยู่มุมห้อง ต่อจากนั้นฉันก็ไม่รีรอที่จะชวนเขาไปเก็บไอเทมด้วยกัน
“นี่คูจัง ครั้งนี้ก็เรย์ชิพด้วยกันต่อนะ ฉันรู้สึกว่ามันยังขาดเหลือไอเทมอยู่เยอะเลย”
“…” คูจังมีปฏิกิริยาที่นิ่งไป ไม่มีการตอบรับหรือพูดคำใดๆ ออกมาทั้งสิ้น
นี่เขาเป็นอะไรไปรึเปล่า...หรือว่าฉันจะพูดเบาเกินไป?
“เอ่อ...คูจัง พวกเรา...”
“มีอะไร มาสเตอร์ ตอนนี้ข้าต้องการความเงียบสงบน่ะ...”
เซอแวนท์ตรงหน้าพูดขัดมาก่อนที่จะหันหน้ามองทางอื่น ฉันพยายามชวนเขาเต็มที่ เพราะรู้ดีว่าเขาต้องมาด้วยแน่ๆ ดังนั้นจึงยังไม่ย่อท้อหรือยอมถอยออกไป
“แต่ว่า...พวกเรายังเหลือไอเทมอีกเยอะเลยจริงๆ นะ ไว้เก็บหมดหนึ่งตู้ก่อนแล้วค่อยพักด้วยกันก็ได้นี่ เรื่องพลังเวทย์เดี๋ยวฉันจะคอยช่วยซัพพอร์ตให้เอง...”
“เหอะ...ช่วย งั้นเหรอ”
“เอ๊ะ...?”
“ตั้งแต่จุดพลิกผันล่าสุดจนถึงอีเว้นท์ล่าสุด เจ้าพูดกับข้าแบบนี้มาหลายรอบแล้วไม่ใช่รึไงกัน...”
คูจังหันมามองฉันด้วยสายตาที่เย็นชามากกว่าเดิม ปกติเขาก็เป็นคนนิ่งๆ ดูค่อนข้างไร้อารมณ์เพราะความเป็นอัลเตอร์อยู่แล้ว แต่ครั้งนี้กลับดูเหมือนไร้อารมณ์จริงๆ
“กะ...ก็จริงอยู่ที่เคยพูดแบบนั้น ฉันพยายามจะช่วยแล้ว แต่บางอย่างมันก็ต้องมีผิดพลาดบ้างนี่นา...ใช่มั้ยล่ะ...” ฉันก้มหน้าเล็กน้อยด้วยความรู้สึกผิดใจเล็กน้อย
“สรุปคือพยายามช่วยให้ข้าได้ตายแล้วกลับมาที่นี่เร็วๆ น่ะสิ...เพราะตอนสู้กับบอสในแต่ละครั้งความตายและเลือดเนื้อต้องเยือนมาหาข้าทุกครั้ง”
“...”
“ในฐานะมาสเตอร์แล้วก็น่าจะรู้ดีไม่ใช่รึไง...คลาสเบอเซิกเกอร์เป็นคลาสที่เปราะบาง ตายง่าย และถึงแม้ตัวข้าจะมีสกิลที่สามารถเอาตัวรอดได้ แต่เจ้ากลับคำนวณพลาดตลอดเลย”
ปากของฉันไม่อาจปริออกพูดประโยคใดๆ ออกมาได้ เพราะทำพลาดเองจริงๆ ตอนสู้กับบอสครั้งล่าสุด ฉันเผลอลืมตรวจสอบสเตตัสของฝ่ายตรงข้าม นั่นเป็นเพราะประมาทและมั่นใจในความสามารถของคูจัง 100% เลยคิดว่าน่าจะสู้จบอย่างง่ายดาย แต่มันกลับตาลปัตรทำให้เขาต้องตายกลับมาที่นี่อีก
“เจ้าเนี่ย...เป็นมาสเตอร์ที่ประมาทมากเกินไป ช่างแย่เสียจริงเลย...ข้าอุตส่าห์ไว้เนื้อเชื่อใจมาตลอดแท้ๆ...ไม่คิดเลยว่าจะต้องมาลงเอยแบบนี้”
เขาพูดตัดพ้อเชิงต่อว่าแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องอย่างช้าๆ ใจของฉันเริ่มรู้สึกเจ็บ มันทรมานมากที่ต้องมาเป็นมาสเตอร์ผู้เต็มไปด้วยย่ำแย่ในสายตาเขาตอนนี้ สิ่งที่ทุ่มเทให้ทั้งหมดเหมือนกับว่ามันไม่มีความหมายสำหรับเขาเลย
“อะ...เอ่อ...คูจัง เดี๋ยวก่อน...ฉันน่ะ...”
“…”
ก่อนที่จะได้เอื้อมมือไปรั้งแขนของอีกฝ่าย ก็ถูกขัดจังหวะด้วยหอกหนามขนาดยาวจ่อมาที่กลางอก ตัวฉันชะงักแล้วถอยหลังออกห่างเล็กน้อยก่อนที่จะเงยขึ้นมองหน้าเขาที่ยังคงมีสายตาเย็นชาอยู่
“ถ้ายังกล้าเข้ามาใกล้ข้าอีกล่ะก็...หอกนี้ได้ทิ่มแทงอย่างไม่ลังเลแน่นอน เพราะถึงยังไงทุกอย่างบนโลกนี้ หรือแม้แต่ตัวเจ้าเองก็ไร้ความหมายสำหรับข้าอยู่แล้ว”
“แต่คูจังสัญญาไว้ว่าจะคอยเป็นหอกปกป้องฉันนี่นา...!”
“เหอะ...ในเมื่อทรยศทางอ้อมแบบนี้ คงให้อภัยไม่ได้ง่ายๆ หรอก”
เซอแวนท์ตรงหน้าพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงความเย็นชาก่อนที่จะเดินจากไปอย่างช้าๆ ตัวฉันในตอนนี้รู้สึกอ่อนแรงอย่างบอกไม่ถูก เริ่มทำอะไรต่อไปไม่ได้ ความเจ็บปวดตรงกลางอกยังคงเพิ่มพูนเรื่อยๆ ให้ทรมานกันไปข้าง ฉันทรุดลงกับพื้นก่อนที่จะมีเซอแวนท์อีกคนหนึ่งเดินเข้ามาหา พอเงยขึ้นไปมองก็พบกับ กิลกาเมช (แคสเตอร์) ราชาแห่งเมืองอุรุคกำลังยืนมองด้วยสายตานิ่งๆ แปลกๆ
“อะไรกัน ท่าทางอ่อนแอแบบนั้นน่ะ...เป็นอะไรไปงั้นรึ เจ้าพันทาง”
“ทะ...ท่านราชา...? เอ่อคือ...หม่อมฉันเริ่มรู้สึกว่าโชคชะตามันไม่เป็นใจให้ ศึกครั้งก่อนทุกคนล้มตายเพราะประมาทมากเกินไปจนไม่กล้ารับใช้หรือพูดคุยด้วยกันต่อเลย”
“โห...เป็นเช่นนี้นี่เอง แต่ก็นะ...ข้าได้แอบฟังสิ่งที่พวกเจ้าสองคนคุยกันหมดแล้วล่ะ”
“ตะ...แต่หม่อมฉันพยายามที่จะช่วยคูจัง...เอ่อ...มะ...หมายถึง คูฮูลินน์อัลเตอร์ในครั้งก่อนนั้นแล้ว ขอยอมรับว่าคำนวณพลาดและรู้สึกผิดอย่างมากจริงๆ” ฉันพูดด้วยความสมเพชในตัวเองแล้วก้มหน้าลงเล็กน้อย
“ช่างน่าสมเพชเหลือเกิน เพราะจิตใจมุ่งมั่นแต่ช่วยเหลือเจ้าหมาคลั่งนั่นตลอดไงถึงได้ผลลัพธ์เช่นนี้ อีกอย่างตอนนั้นที่อัญเชิญข้ามา เจ้าแสดงสีหน้าดีใจเหมือนปลากระดี่ได้น้ำเลยไม่ใช่รึไงกัน หรือว่าแท้จริงแล้ว...ต้องการแค่ครอบครองเฉยๆ ไม่ได้ช่วยนำพาไปถึงจุดสูงสุดสินะ...”
“...! ทะ...ท่านราชา...ไม่ใช่นะเพคะ...”
ฉันรู้สึกผิดซ้ำซ้อนเข้าไปอีกเมื่อกิลกาเมชได้พูดสิ่งนั้นออกมา ในตอนนั้นฉันยอมรับว่าอยากได้เขามาอยู่ที่คาลเดียด้วย เผื่อระเบียบงานของนักวิจัยจะได้ดีขึ้นบ้าง ซึ่งก็ดีขึ้นอย่างที่คาดหวัง เขาคอยให้คำแนะนำเกี่ยวกับหลายๆ อย่างเพื่อให้งานดำเนินไปได้ด้วยดีมาตลอด ส่วนตัวฉันก็คอยดูแลและช่วยทำให้เก่งขึ้นพอที่จะสามารถซัพพอร์ตคนอื่นได้
แต่พอถึงช่วงนี้...ฉันเริ่มประมาทจนทำให้เซอแวนท์หลายคนต้องตายหรือรู้สึกแย่ไปแล้วจริงๆ
“เหอะ...ว่าแล้วพันทางก็ยังเป็นพันทางวันยันค่ำ อยู่ชั้นต่ำเตี้ยเรี่ยดินคอยรับใช้ราชาอย่างข้า และแน่นอน...เจ้ายังไม่มีทางได้รับใช้ข้าต่อในช่วงนี้ จงทรมานกับความผิดที่ได้ก่อไว้แล้วรอเวลาอันสมควรต่อไปเสียเถิด”
ราชาแห่งอุรุคเดินจากไปอย่างช้าๆ แล้วสลายหายกับออร่าสีทองโดยไม่มีการเหลียวมองมาอีกแม้แต่นิดเดียว ฉันหมดหนทางจะทำอย่างอื่นใดต่ออีก ทุกสิ่งทุกอย่างเริ่มพังทลายไปหมด ทั้งคูจังที่คอยช่วยฝ่าฟันอุปสรรค และกิลกาเมชที่คอยแนะนำสิ่งต่างๆ ให้ น้ำตาที่เคยอัดอั้นเอาไว้เริ่มเอ่อไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
ช่างรู้สึกแย่เหลือเกิน...เจ็บปวดและทรมานราวกับว่าพันธสัญญากำลังจะตัดขาด...แล้วแบบนี้ยังพอมีใครที่จะเห็นใจฉันในตอนนี้อีกล่ะ...
“มาสเตอร์! ข้าทำอาหารเย็นเสร็จเรียบร้อยแล้วนะ ได้เวลา...หือ? มาสเตอร์?”
เสียงของ เอมิยะ (อาเชอร์) พ่อบ้านประจำคาลเดียที่ดูเหมือนว่าจะเรียกกินอาหารเย็นในห้องครัวได้ดังลอดเข้ามาในหูของฉันอันอื้ออึง
เฮ้อ...แย่ซ้ำแล้วซ้ำอีกสินะ...เดินมาเห็นสภาพแย่ๆ ในตอนนี้เนี่ย...
“เอมิ...ยะ?” ฉันเรียกชื่อเขาทั้งน้ำตาด้วยน้ำเสียงที่สั่นคลอน ซึ่งมันเริ่มอัดอั้นความรู้สึกนี้ไว้ไม่ไหวแล้วจริงๆ
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ...มาสเตอร์” เอมิยะเข้ามาหาคุกเข่าตรงหน้าก่อนที่จะเอื้อมมือทั้งสองมาแตะบ่าเบาๆ “หรือว่ามีใครทำอะไรไม่ดีให้รึเปล่า”
ในวินาทีนั้นเอง น้ำตาของฉันไหลลงมาเป็นสายไม่หยุดหย่อน ตัวสั่นระริกไปทั่วทั้งหมด ความอ่อนแอที่อุตส่าห์ปกปิดเอาไว้เริ่มถูกเผยให้เห็นออกมาอย่างชัดเจนยิ่งกว่าเดิม
“เอมิยะ...ช่วยด้วย ฉัน...ไม่รู้จะทำยังไงต่อแล้ว มันทรมาน...เหลือเกิน ไม่มีใครเหลียวแล...ในตอนนี้เลย ฉันมันแย่เกินไป...ที่จะเป็นมาสเตอร์แห่งคาลเดีย ฉัน...ฉันน่ะ...”
“ใจเย็นก่อน...ข้าอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว เพราะงั้นไม่เป็นไรนะ...ยูมิ”
เขาพูดปลอบพร้อมโอบกอดฉันแล้วลูบหัวเบาๆ ฉันทำได้แต่ร้องไห้ระบายออกมาแล้วกำเสื้อคนตรงหน้าไว้แน่น ความอ่อนโยนในจิตใจของเขาทำให้รู้สึกดีใจแปลกๆ ที่อย่างน้อยก็ยังมีคนเข้าใจ
“ฉันน่ะ...ฮึก...ดูแย่ขนาดนั้น...เลยเหรอ...ทำไมกัน...”
“ชู่ว...อย่าเพิ่งพูดอะไรไปมากกว่านี้เลย มันจะทรมานตัวเองเปล่าๆ สิ่งที่ควรทำตอนนี้คือ ระบายความเจ็บปวดของตัวเองออกมาให้หมดซะก่อน เดี๋ยวข้าจะคอยเป็นคนแบกรับมันไว้เอง...เข้าใจนะ”
“อะ...เอมิยะ...”
ตั้งแต่ช่วงนั้นมา ฉันนั่งร้องไห้และกรีดร้องเพื่อระบายความเจ็บปวดออกมาจนเต็มเสียงลั่นทางเดินคาลเดีย เอมิยะคอยช่วยลูบหัวปลอบโยนตลอดทุกวินาที จนท้ายสุดสติของฉันค่อยๆ เลือนรางก่อนที่จะสลบลงไปอย่างแท้จริง...
เมื่อเวลาผ่านไป ฉันเริ่มรู้สึกตัวแล้วลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ หัวของฉันตอนนี้ยังรู้สึกปวดจี๊ดอยู่เลย พอลุกขึ้นนั่งบนเตียงพร้อมมองไปรอบๆ ก็พบกับห้องนอนโทนสีฟ้าที่มีแสงไฟส่องมาจากข้างบน บนเตียงสีขาวมีหมอนอยู่ 2 ใบ ด้านหน้ามีต้นไม้ขนาดกลางในกระถางสีน้ำตาลถูกวางประดับอยู่
สรุปคือ...ตอนนี้ตัวฉันกำลังอยู่ในมายรูมของตัวเอง
สิ่งต่อมาคือ เหล่าเซอแวนท์ที่กำลังยืนมองอย่างไม่ละสายตา ซึ่งมีเอมิยะ คูฮูลินน์ (แลนเซอร์) นักรบแห่งอัลสเตอร์ โอจิมังเดียส (ไรเดอร์) ฟาโรห์รามเสสที่ 2 แห่งอียิปต์ ฟูมะ โคทาโร่ (แอสซาซิน) ชิโนบิประจำตระกูลฟูมะ และมาชู (ชิลเดอร์) รุ่นน้องแห่งคาลเดีย
“เอ๊ะ...? ทำไมถึงได้อยู่รวมตัวที่นี่กันล่ะ...” ฉันขยี้ตาตัวเองแล้วเริ่มเปิดปากถามพวกเขาไป
“นะ...นายท่าน! นะ...ในที่สุดก็รู้สึกตัวแล้วสินะขอรับ” โคทาโร่พูดพร้อมจับผ้าพันคอสีแดงปิดปากไว้ตามประสาคนพูดไม่ค่อยเก่ง
“โย่ว! คุณหนู หมดสติไปนานเลยนี่นา” คูแลนเซอร์พูดพร้อมยิ้มออกมาอ่อนๆ
“ฟื้นตัวเสียทีสินะ ยูมิเอ๋ย สลบนานซะจนเกือบใจหายเลยเชียว” โอจิมังเดียสยืนกอดอกมองฉันก่อนที่จะยื่นมือขวามาลูบหัวอย่างเบามือ มันรู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก
“รุ่นพี่ยูมิ! ดีใจจังที่ฟื้นขึ้นมาแล้ว ฉันน่ะ...เป็นห่วงแทบแย่จริงๆ ค่ะ!” มาชูเข้ามาโผกอดแนบแน่นด้วยความดีใจยิ่งกว่าคนอื่น
“ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ อย่างน้อยเจ้าก็มีพวกเขาที่ยังเป็นห่วงอยู่ ข้าเองก็เริ่มรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้างแล้วล่ะ” เอมิยะที่นั่งบนขอบเตียงยิ้มให้แล้วตบไหล่ฉันเบาๆ
“เอ่อคือ...ต้องขอโทษด้วยนะ ที่ทำให้เป็นห่วงขนาดนี้” ฉันยิ้มเศร้าแล้วก้มหน้าเล็กน้อย ในใจแอบรู้สึกแย่นิดหน่อย เพราะเหมือนยังขาดอะไรบางอย่างมาเติมเต็ม
“ในนามของฟาโรห์รามเสสที่ 2 โอจิมังเดียสผู้นี้...ย่อมให้อภัยและนับถือเจ้า การที่ทุกคนผ่านจุดพลิกผันทุกจุดมาได้นั่นเป็นเพราะมีผู้นำที่ดีอย่างเจ้าคอยชี้แนะมาตลอดนี่นา”
“เอาล่ะ...ทีนี้น่าจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเจ้าได้แล้วสินะ ยูมิ พวกข้าเตรียมพร้อมรับฟังเสมอ”
เอมิยะยื่นมือมาแตะแก้มเบาๆ ในขณะที่พูดประโยคเมื่อครู่ก่อนที่จะถอยออกไปเล็กน้อย คนที่เหลือก็นั่งบนเก้าอี้เตรียมรับฟังสิ่งที่ฉันกำลังจะเล่าต่อจากนี้
“อะ...อื้ม...คืองี้นะ...”
.
.
.
.
.
ฉันได้เล่าทุกอย่างให้เหล่าเซอแวนท์ในห้องฟังหมดแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างฉัน คูจัง รวมทั้งกิลกาเมชด้วย ซึ่งความรู้สึกเจ็บปวดในใจได้ถูกระบายออกและพวกเขาก็ช่วยรับมันเอาไว้จนทำให้ฉันสัมผัสได้ถึงความโล่งใจแปลกๆ หลังจากเล่าให้ฟังไป
“อย่างนี้นี่เอง คูฮูลินน์อัลเตอร์กับกิลกาเมช...ดูท่าทางว่าพวกนั้นจะเริ่มมองเจ้าผิดไปสินะ...” เอมิยะจับคางตัวเองทำท่าทางครุ่นคิดเรื่องเมื่อครู่
“ให้ตายเหอะ...ตัวข้าร่างอัลเตอร์ลืมไปแล้วเหรอว่าเจ้ามีบุญคุณมากแค่ไหน อยู่รับฟังและให้อภัยแค่นี้ทำเป็นเรื่องยุ่งยากไปได้”
“นะ...นายท่านเป็นมาสเตอร์ที่ดีนะขอรับ กระผมเข้าใจดี ถ้าเป็นกระผมล่ะก็...จะรับฟังก่อนเสมอขอรับ...” โคทาโร่ก้มหน้าเล็กน้อยแล้วแอบยิ้มเล็กๆ
“ข้าเองก็ไม่ให้อภัยเจ้าราชาแห่งอุรุคนั่นเหมือนกัน คงถึงเวลาที่จะต้องทำการสั่งสอนบ้างแล้วสินะ”
“โหดร้าย...ทำไมสองคนนั้นถึงพูดจาแบบนั้นกับรุ่นพี่ยูมิได้อย่างลงคอกัน...”
“อืมม...ส่วนหนึ่งมันก็เป็นความผิดฉันด้วยนี่แหละ ที่เผลอประมาทและคำนวณพลาดไป...เพราะงั้นอย่าเพิ่งโทษแต่สองคนนั้นเลยนะ” ฉันรีบพูดแย้งเล็กน้อยด้วยความเป็นจริงจากใจ
เมื่อลองย้อนคิดดูใหม่แล้ว ทุกอย่างก็มักจะเกิดขึ้นไม่แน่นอน ถึงแม้ฉันจะมั่นใจในพลังของคูจังมากแค่ไหน แต่ถ้ามีช่วงเหตุการณ์ที่เลวร้ายจริงๆ มันก็ทำให้เขาต้องเจ็บตัวได้ แถมบางครั้งยังไม่ทันเติมพลังเวทย์ด้วยเรย์จูให้อีก จึงทำให้ไม่อาจช่วยร่วมสู้และกลับมายังคาลเดียเหมือนเดิม
ส่วนเรื่องกิลกาเมช ตอนเจอกันครั้งแรกในอุรุคที่เรย์ชิพเพื่อแก้ไขจุดพลิกผัน ฉันรู้สึกหวั่นๆ ในใจว่าคงจะทำอะไรไม่ได้แน่ๆ จนเขาได้ขอให้ฉันช่วยแก้ไขมันพร้อมรับใช้ ซึ่งเขาเป็นราชาที่ดีมาก ดูแลบ้านเมืองได้อย่างสงบ คอยกำกับทหารได้เป็นอย่างดี แต่พอแก้ไขจุดพลิกผันให้กลับมาเป็นดั่งเดิมเรียบร้อย ก็ย่อมมีการเปลี่ยนแปลง เซอแวนท์ที่ร่วมเดินทางในครั้งนั้นต้องสลายหายไป รวมไปถึงกิลกาเมชด้วย
“ข้าจะไม่โทษคุณหนูในส่วนเรื่องนี้หรอก ในเมื่อเรื่องมันผ่านไปแล้วนี่นา ฉะนั้นไม่ต้องกังวลและไว้วางใจได้เลย พวกข้าจะคอยสนับสนุนต่อไปจนกว่าเรื่องมันจะจบ อีกอย่าง...ข้าได้ให้คำสัตย์ในฐานะนักรบแห่งอัลสเตอร์แล้วด้วยว่าจะรับใช้เจ้าตลอดไป”
“เอ่อ...กระ...กระผมเองก็เช่นกัน ถ้าเพื่อนายท่านแล้วล่ะก็...จะทำทุกอย่างที่พอจะสนับสนุนให้อย่างแน่นอนขอรับ”
“ถึงเจ้าจะไม่ใช่หนึ่งในกลุ่มชนชั้นสูง แต่การที่มีมาสเตอร์ผู้มีหน้าที่เยี่ยมยอดอย่างเจ้า ข้าก็ขอชื่นชม ฉะนั้น...จงทำสิ่งที่ดีและควรทำต่อไปเสียเถิด”
“อืมม...เรื่องการต่อสู้ครั้งก่อนเนี่ย ข้าสู้คนเดียวในฐานะวิญญาณวีรชนมาโดยตลอด แต่พอถูกอัญเชิญเป็นส่วนหนึ่งในคาลเดีย การช่วยเหลือมนุษยชาติครั้งนี้ก็กลายเป็นเรื่องที่ดูใหญ่โตยิ่งกว่าเก่า แต่ว่า...หากเจ้ายังคงสู้ในฐานะมาสเตอร์เพื่อมนุษยชาติต่อไป ข้าเองก็คงยอมแพ้ให้กับศัตรูไม่ได้แน่ๆ”
“เอ่อก็...อย่างที่ทุกคนได้พูดไปแหละค่ะ ฉันเองก็จะคอยสนับสนุนด้วยเช่นกัน แม้ว่าต้องเสียสละเพื่อคนอื่นๆ แต่นั่นก็ทำให้รู้สึกดีใจที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคน เพราะงั้น...ไว้วางใจได้เลยนะคะ รุ่นพี่ยูมิ”
มาชูพูดตบท้ายแล้วส่งรอยยิ้มอ่อนโยนให้ฉัน ราวกับว่ารอยยิ้มนั่นเป็นตัวแทนความจริงใจของทุกคนในนี้ ฉันรู้สึกปลาบปลื้มใจจนน้ำตาแห่งความยินดีเอ่อไหลออกมาทันที
“อะ...เอ่อ...ฉันไม่รู้จะพูดยังไงดีอ่ะ ขะ...ขอบคุณมากนะ...ทุกคน ขอบคุณมากจริงๆ”
เหล่าเซอแวนท์ตรงหน้ายิ้มอ่อนๆ แล้วผลัดกันลูบหน้าลูบตาฉัน ปาดน้ำตาออกเบาๆ ก่อนที่เอมิยะจะบอกทิ้งท้ายเอาไว้ว่า จะเอาอาหารเย็นให้กิน ส่วนคนอื่นก็พากันไปพักผ่อนแล้วปล่อยให้ได้นั่งสงบจิตสงบใจในห้องนี้ต่อ
และเมื่อผ่านไปไม่กี่นาที ฉันหันมานึกย้อนความเรื่องของคูจังและกิลกาเมชต่อ ถ้าปล่อยพวกเขาไว้ก่อนตอนนี้ คงเป็นทางเลือกที่ดีอย่างหนึ่ง จะได้มีเวลาคิดทบทวนเรื่องต่างๆ ที่เกิดขึ้นด้วย ต่อจากนั้นฉันก็หยิบตัวบันทึกเสียงเครื่องเล็กๆ ในกระเป๋า แล้วกดอัดเสียงพูดประโยคบางอย่างไว้...
ซึ่งสิ่งนี้แหละที่กำลังจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของการพิสูจน์ในเรื่องความเป็นมาสเตอร์ต่อจากนี้
.
.
.
.
.
พอฉันอัดเสียงตัวเองเข้าเครื่องบันทึกเสียงเรียบร้อยแล้ว เอมิยะก็ได้นำถาดอาหารเย็นมาให้พอดี เขาลูบหัวพร้อมส่งยิ้มให้เล็กน้อยแล้วเดินออกจากห้อง ฉันรีบหยิบขึ้นมากินเพื่อเติมพลังเวทย์ให้กับตัวเอง ทำให้เริ่มรู้สึกได้ถึงความเติมเต็มและมีกำลังใจมากกว่าเดิม
“ว่าแล้วอาหารของเอมิยะอร่อยที่สุดในคาลเดียเลย...”
ฉันพึมพำกับตัวเองเบาๆ ก่อนที่จะนำถาดจานวางไว้บนโต๊ะเมื่อกินหมดแล้ว เพราะเอมิยะบอกทิ้งท้ายว่า จะตามมาเก็บทีหลัง ต่อจากนั้นก็รีบวิ่งไปยังห้องทำงานของเหล่านักวิจัยเพื่อตามหา ดา วินชี่ ผู้ช่วยแห่งคาลเดียที่มีรูปร่างเป็นสาวสวย แต่แก่นแท้ข้างในแล้วเป็นผู้ชาย นั่นเพราะเป็นการยืมร่างมาใช้
“โอ๊ะโอ...วิ่งหอบมาเลยเชียว มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเหรอจ๊ะ ยูมิจัง”
ดา วินชี่ที่กำลังพูดคุยกับเหล่านักวิจัยได้หันมาทางฉันด้วยความประหลาดใจ ฉันยืนหอบไปสักพักแล้วหยิบเครื่องบันทึกเสียงออกมาให้
“เอ่อ...ดา วินชี่จัง ช่วยรับนี่ไว้หน่อย และก็เปิดให้ทุกคนในคาลเดียได้ฟังด้วย”
“เครื่องบันทึกเสียง? แสดงว่าในนี้มีข้อมูลสำคัญอยู่สินะ ถึงรีบแจ้นเอามาให้ฉันกับตัวแบบนี้ ยังเป็นคนขยันขันแข็งเหมือนเดิมเลยแฮะ”
ดา วินชี่กล่าวชมด้วยรอยยิ้มที่สดใส หากแต่เธอยังไม่รู้ว่าสิ่งที่ฉันต้องการจะสื่อให้ทุกคนได้รับรู้จริงๆ คืออะไร ฉันตัดสินใจเงียบปากไว้ไม่พูดความจริงแล้วพูดคุยกับเธอเหมือนเคย
“ก็นะ...ในฐานะมาสเตอร์แล้ว ฉันก็ต้องทำตัวให้สมกับหน้าที่สักหน่อย อย่างน้อยก็พอมีประโยชน์บ้าง” ตั้งแต่วินาทีนั้นเป็นต้นมา ฉันพยายามฝืนยิ้มกลบเกลื่อนอารมณ์ในใจเกือบตลอดบทสนทนา อีกอย่างเธอไม่ได้สังเกตท่าทีแปลกๆ อีกด้วย
“อื้มๆ คงจะเหนื่อยน่าดูเลย ตอนนี้เข้านอนพักผ่อนที่มายรูมสักหน่อยก็ดีนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้ตื่นมาจะไม่มีแรงทำงานเอา ทุกคนในคาลเดียรวมทั้งตัวฉันต่างเป็นห่วงเธอกันทั้งนั้น”
ทุกคน...? ทุกคนงั้นเหรอ...นี่มันไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ทุกคนหรอกที่เป็นห่วงฉัน...
“อะ...อื้ม เข้าใจแล้วล่ะ งั้นฉันต้องขอตัวไปก่อน ขอบคุณสำหรับการรับฝากนะ...ดา วินชี่จัง”
ว่าจบฉันก็เดินออกจากห้องวิจัยไปอย่างช้าๆ เพื่อกลับมายรูมของตัวเอง ในหัวตอนนี้มัวแต่คิดเรื่องคูจังกับกิลกาเมชตลอดเลย ถึงมีพวกเอมิยะคอยเป็นห่วงเป็นใยก็ตาม แต่สองคนนั้นกลับไม่เคยแสดงท่าทีให้เห็นชัดเจนแม้แต่นิด ทำให้ไม่รู้ใจเลยว่าตอนนี้กำลังคิดอะไรอยู่
เมื่อไปถึงมายรูมปุ๊บก็พบว่าถาดจานอาหารเย็นได้หายไป นั่นแปลว่าเอมิยะได้เก็บให้เรียบร้อยแล้ว ต่อมาฉันเตรียมของสัมภาระต่างๆ ใส่ในกระเป๋าเป้ ตรวจสอบให้แน่ใจว่าลืมของอะไรรึเปล่า จากนั้นก็ทำการล็อกห้องไว้แล้วมุ่งหน้าไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง
ซึ่งจะเป็นสถานที่ของการเริ่มต้นพิสูจน์ตัวเองเรื่องความเป็นมาสเตอร์ ณ ตอนนี้...
ระหว่างการเดินทาง เครื่องบันทึกเสียงได้ถูกนำไปเปิดออกลำโพงจนดังตามสายทั่วคาลเดีย มือข้างขวาจับฮู้ดเสื้อแขนยาวสีดำมาคลุมหัวตัวเองไว้พร้อมเดินโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างอีก
“เอ่อ...ถึงเหล่าเซอแวนท์ของฉันทุกคน คือในช่วงนี้...ฉันรู้สึกว่าจะทำบางอย่างพลาดไปหลายรอบเหลือเกิน ยอมรับว่าคำนวณพลาดและประมาทไปจริงๆ ตอนเริ่มแก้ไขจุดพลิกผันจุดแรกที่ฟูยูกิครั้งแรก ฉันเป็นมาสเตอร์มือใหม่ ยังไม่ค่อยรู้เรื่องอะไรมากมาย จนบางทีต้องทำให้บางคนต้องตายแล้วกลับมาที่นี่อีกรอบ แต่มันดันเป็นอยู่แบบนี้หลายครั้งด้วย เหมือนเดจาวูยังไงไม่รู้เนอะ ผิดพลาดแล้วผ่านพ้นไปได้ วนไปมาตลอด ล่าสุดฉันก็ทำพลาดติดต่อกันบ่อยมาก จนบางคนถึงกับถอยออกไปอยู่ที่อื่น...
ฉันคง...ยังเป็นมาสเตอร์ที่ไม่ดีพอสินะ
ฉะนั้น...ในครั้งนี้...ฉันอยากจะพิสูจน์ตัวเอง พิสูจน์ว่ายังมีความแข็งแกร่งในฐานะมาสเตอร์อยู่ ทั้งตอนที่มีเซอแวนท์คอยอยู่เคียงข้าง...และตอนที่ไม่มีใครร่วมสู้สักคน...
เอ่อ...ขอโทษด้วยนะ...ทุกคน ที่ต้องมาหยุดรับฟังคำงี่เง่าแบบนี้ งั้น...ขอแค่นี้ละกัน...ถ้าผ่านไปหลายชั่วโมงและไม่หวนกลับคาลเดียก็ไม่ต้องแปลกใจหรอก ขอให้ระลึกได้เลยว่าฉัน...นอนตายเป็นศพแล้ว
จากยูมิ มาสเตอร์นัมเบอร์ 021”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ผ่านไปหลายนาที ฉันได้เดินทางมาถึงพื้นที่งานอีเว้นท์คริสต์มาส มองไปรอบตัวพบแต่ตุ๊กตาหิมะ ต้นคริสต์มาสถูกล้อมรอบด้วยหลอดไฟเล็กๆ หลากสีและมีรูปดาวสีทองอยู่ข้างบน เก้าอี้ไม้ตั้งเรียงกันเป็นแถวเว้นช่วงเท่ากันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย รวมไปถึงเหล่าอาคารบ้านเรือนหลังเก่า สภาพดูเหมือนใหม่ แต่ถ้าดูภายในจริงๆ กลับรกร้างมาก
บรรยากาศในตอนนี้ไม่มีใครหลงเหลืออยู่เลยนอกจากตัวฉันที่กำลังยืนอยู่และมีเหล่าหิมะโปรยปรายลงมา ยิ่งเป็นช่วงตอนหัวค่ำแล้ว เหล่ามาสเตอร์ก็พาไปนอนพักผ่อนกันหมด ซึ่งฉันมาที่นี่เพื่อพิสูจน์ความเป็นมาสเตอร์ของตัวเอง และปลุกจิตวิญญาณจอมเวทย์ที่พร้อมต่อสู้กับศัตรูได้แม้ว่าจะไม่มีเซอแวนท์เป็นผู้สนับสนุนก็ตาม
ฉันอยากเก่งให้มากกว่านี้ เก่งพอที่จะสามารถร่วมต่อสู้กับเซอแวนท์มากกว่ายืนให้คำสั่งหรือเติมพลังเวทย์ให้อย่างเดียว
“เอ่อ...พี่สาวที่ใส่เสื้อแขนยาวสีดำคนนั้น มาทำอะไรตอนหัวค่ำเหรอคะ”
ในขณะที่ฉันกำลังยืนครุ่นคิดอยู่ ก็มีเสียงใครคนหนึ่งดังมาจากข้างหลัง พอหันกลับไปมองดูแล้วพบว่าเป็นเด็กผู้หญิงผมสั้นหน้าม้าและดวงตาสีม่วง มีการติดโบว์สีแดงไว้ตรงผมข้างซ้าย เธอมาในชุดเสื้อกันหนาวสีน้ำตาลอ่อนๆ พร้อมผ้าพันคอสีแดง
“แล้วหนูล่ะ...” ฉันเดินเข้าไปนั่งคุกเข่าโดยมีการชันเข่าขวาขึ้นก่อนที่จะพูดคุยกับเธอ “มาทำอะไรที่นี่เหรอ ตอนนี้เป็นเวลานอนของเด็กๆ แล้วนะ”
“หนูมารอซานตาคลอสค่ะ เพราะคิดว่าเขาน่าจะมามอบของขวัญล่วงหน้าก่อนหนึ่งวัน”
“แต่วันนี้ยังเป็นวันคริสต์มาสอีฟอยู่เลยไม่ใช่เหรอ...เอ่อ...ไม่สิ บางทีหนูอาจจะพูดถูกแล้วก็ได้” ฉันพยายามเปลี่ยนคำพูดให้คนตรงหน้าไม่เสียหน้า เพราะตอนแรกคิดได้แค่ว่า มันต้องเป็นพรุ่งนี้ที่ซานตาคลอสจะเริ่มแจกของขวัญ
“งั้นพี่สาวเองก็มาหาซานตาคลอสด้วยใช่มั้ยคะ” เด็กหญิงคนนั้นถามฉันด้วยรอยยิ้มที่สดใส แววตาของเธอดูเปล่งประกายเหมือนดวงดาวและไร้เดียงสาตามประสาเด็กน้อย
“เอ่อ...เปล่าจ้ะ พี่แค่มาที่นี่ด้วยเหตุผลบางอย่างน่ะ”
“เหตุผลบางอย่าง...? งั้น...ถ้าไม่ว่าอะไร ช่วยเล่าให้ฟังหน่อยได้มั้ยคะ”
“มะ...ไม่ดีหรอก เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนโต หนูยังเป็นเด็กอยู่อาจฟังได้ไม่รู้เรื่องเท่าไหร่นัก”
ฉันเอื้อมมือไปจับมือทั้งสองข้างของเด็กผู้หญิงแล้วมองอย่างจริงจัง เธอเอียงคอมองด้วยความสงสัยพร้อมทำท่าเหมือนครุ่นคิด
“คงเป็นเรื่องที่อันตรายน่าดูเลยสินะคะ หนูเข้าใจความรู้สึกนี้ดีค่ะ บางสิ่งบางอย่างที่ไม่ดีของแต่ละคนมันไม่อาจเปิดเผยให้รับรู้ได้เพราะกลัวว่าคนรอบข้างจะเป็นห่วงมากเกินไป หรืออาจดูไม่เป็นประโยชน์เลยก็มีเหมือนกัน”
“...”
สิ่งที่เด็กตรงหน้าพูดมาเมื่อครู่ถือเป็นความจริงสำหรับฉันเลยก็ว่าได้ บางทีการเล่าเรื่องบางอย่างไปแล้วไม่เกิดผลอะไรขึ้นมา ก็ไม่มีความหมายเลย เช่นเรื่องการพิสูจน์ตัวตนในตอนนี้ ฉันจึงไม่อยากเล่าความจริงและปล่อยให้เธอได้ใช้เวลาทั้งหมดรับประสบการณ์ดีๆ ไปก่อนดีกว่า
“งั้นไม่เป็นไรค่ะ ถือว่าพวกเราได้เริ่มเปิดอกเปิดใจพูดคุยกันแล้ว อืมม...แต่จะว่าไปยังไม่ได้แนะนำตัวเลยแฮะ...” เธอถอยหลังไปหนึ่งก้าวแล้วแนะนำตัวด้วยรอยยิ้มอันสดใส “หนูมีชื่อว่า ซากุระ ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ”
ฉันมองซากุระไปพักใหญ่ก่อนที่จะถอดฮู้ดคลุมหัวออกแล้วค่อยกล่าวแนะนำตัว และดูเหมือนว่าครั้งนี้ฉันคงฝืนยิ้มให้เธอไม่ได้แล้วล่ะ
“พี่ชื่อ ยูมิ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
พวกเราสองคนต่างจับมือทำความรู้จักซึ่งกันและกัน ซึ่งในช่วงเวลานี้ซากุระอาจจะเป็นแรงผลักดันให้พิสูจน์ความเป็นมาสเตอร์ในตัวเอง นอกจากจะสนับสนุนเซอแวนท์แล้ว ต้องปกป้องผู้คนได้ด้วย
นี่แหละคือสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉัน...
[ มุมมองของ มาชู ]
พอฉันได้ยินเสียงลำโพงตามสายที่เป็นเสียงพูดของรุ่นพี่ยูมิแล้ว ก็เริ่มรู้สึกกังวลใจแปลกๆ เหมือนจะยังคงโทษตัวเองเหมือนเดิม ตั้งแต่เจอกันครั้งแรก รุ่นพี่ไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย คอยยิ้มแย้มแจ่มใสให้พวกเราทั้งหมด แต่พอถึงช่วงแก้ไขจุดพลิกผันครั้งล่าสุดมาจนถึงอีเว้นท์คริสต์มาสปีนี้ เซอแวนท์บางส่วนเลือกที่จะถอยออกห่างเพียงแค่ทำพลาดนิดเดียว
ฉันรีบเดินมุ่งหน้าไปยังมายรูมของรุ่นพี่ยูมิเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจแล้วพบว่าห้องนี้ล็อกอยู่ หน้าประตูมีป้ายบอกข้อความประมาณว่า ‘ไม่อยู่ในห้องนี้’
แปลกจัง...รุ่นพี่ไปอยู่ที่ไหนกันนะ
“คือ...ในช่วงนี้ฉันทำให้ใครหลายคนต้องถอยห่างออกไปเพราะความประมาทของตัวเอง ล่าสุดก็เป็นคูจัง...เอ่อ...หมายถึง คูฮูลินน์อัลเตอร์ รวมถึงกิลกาเมชแคสเตอร์ด้วย พวกเขาไม่เคยที่จะแสดงความรู้สึกอะไรต่ออะไรชัดเจนให้รับรู้เลยสักครั้ง แล้วยิ่งวันนี้พวกเขาสองคนก็เดินจากไปแล้วทิ้งฉันไว้ข้างหลังอีก...
มันแย่มากจริงๆ คนอย่างฉันเนี่ย...คงจะเป็นมาสเตอร์ที่ไม่ดีพอสินะ...”
ขณะที่กำลังครุ่นคิด จู่ๆ คำพูดเหล่านั้นก็แล่นเข้ามาในหัว ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกฉันได้รับฟังในมายรูม แล้วถ้าการหายตัวไปของรุ่นพี่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องเล่าครั้งก่อนและเครื่องบันทึกเสียงล่ะก็...นั่นแปลว่ารุ่นพี่กำลังเดินทางไปที่ไหนสักแห่งที่เป็นการพิสูจน์ตัวเองโดยไม่มีเซอแวนท์ช่วยเลย...
รุ่นพี่ยูมิ...กำลังเผชิญหน้ากับเหตุอันตรายด้วยตัวคนเดียว!?
พอนึกได้เช่นนั้น ฉันรีบออกตัววิ่งไปหาเซอแวนท์กลุ่มหนึ่งที่คาดว่าจะต้องช่วยเหลือรุ่นพี่ได้ และต้องเป็นกลุ่มที่มีความผูกพันมากที่สุด เมื่อเจอพวกเขาแล้ว ฉันหยุดยืนหอบไปสักพักก่อนที่จะเปิดปากขอร้องด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจังกว่าเก่า
“ทุกคนคะ...ตอนนี้รุ่นพี่ยูมิกำลังตกอยู่ในอันตราย ถ้าไม่ว่าอะไร...ได้โปรดรีบมุ่งหน้าไปช่วยด้วยกันเถอะค่ะ”
[ To be continued in next part ]
อันนี้จะเป็นฟิคที่เราเอามาจากเว็บ Dek-D ซึ่งคนแต่งคนเดียวกัน ชื่อเดียวกัน เนื้อหาเหมือนกัน สรุปง่ายๆ อีกแบบคือ ฝากให้อ่านเล่นๆ ดู นอกจากนี้ยังมีประเภทเรื่องยาวอีกด้วย โดยจะทิ้งลิ้งค์ให้ในช่วงจบเรื่องนี้ค่ะ
[IMG]
Fate/GO Friend ID and Support Servants
[ อาจเปลี่ยนตามอีเว้นท์ต่างๆ ]