[ มุมมองของ ยูมิ ]
ในขณะที่ฉันกับซากุระจังเดินหาเก้าอี้เตรียมนั่งคุยกัน จู่ๆ สัญชาตญาณภายในจิตใจก็ได้บอกว่า มีใครบางคนจ้องมองจากข้างหลัง พอหันกลับไปมองแล้ว พบว่ามีร่างเงาสีดำสองร่างกำลังยืนมองด้วยท่าทีแปลกประหลาด พวกมันถูกปกคลุมด้วยกลุ่มหมอกสีม่วง ซึ่งยังไม่มั่นใจว่าเป็นศัตรูธรรมดาหรือเซอแวนท์กันแน่
“ซากุระจัง...ยืนหลบหลังพี่ก่อน และอย่าส่งเสียงอะไรทั้งสิ้นนะ”
“ดะ...ได้ค่ะ”
ซากุระรีบเข้ามาหลบด้านหลังพร้อมเกาะหลังเสื้อไว้ ต่อจากนั้นฉันหันไปทางร่างเงาคู่นั้นต่อ ในตอนนี้พวกมันค่อยๆ เดินมาอย่างใจเย็น ฉันเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจ จึงรีบเตรียมกลัดมณีเวทย์เอาไว้เตรียมป้องกันตัว
“หืม...? ดูนั่นสิ...เจ้าหมาคลั่ง นั่นมันยัยพันทางที่เจ้าเดินจากไปเมื่อตอนนั้นไม่ใช่รึ ดูท่าทางกล้าหาญดีไม่เบาเลยนี่นา”
“ก็เป็นแค่มาสเตอร์ธรรมดานี่แหละ ไม่มีอะไรพิเศษมากมายหรอก”
เอ๊ะ...? เสียงพูดของร่างเงานี้มัน...
กิลกาเมชแคสเตอร์ กับคูฮูลินน์อัลเตอร์!?
แต่ขอยืนยันอย่างมั่นอกมั่นใจ...นั่นไม่ใช่ตัวจริงหรอก เห็นได้ชัดเลยว่าเป็นศัตรูแน่นอน ดังนั้นฉันจึงไม่ยอมปล่อยมือออกจากกลัดมณีเวทย์และเตรียมพร้อมสู้กับพวกเขา
“พวกแก...มาทำอะไรที่นี่กัน” ฉันเริ่มเปิดปากถามฝั่งศัตรูก่อนคนแรกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เป็นแค่กลุ่มชนชั้นต่ำแท้ๆ กล้าพูดจาเช่นนั้นกับราชาอย่างข้าเนี่ยนะ ช่างไร้มารยาทเสียจริง” กิลกาเมชแคสเตอร์แสดงท่าทีไม่พอใจต่อหน้าฉันอย่างชัดเจน แทบไม่ต่างอะไรจากกิลกาเมชอาเชอร์เลย
“พอเป็นศัตรูกับฉันแล้ว ดูท่าทางนิสัยจะเสียกว่าเดิมเลยนะ...แบบนี้คงจะรอรับใช้ไม่ได้แล้วล่ะมั้ง ถึงจะเป็นหนึ่งในกลุ่มชนชั้นต่ำ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะอยู่ต่ำเตี้ยเรี่ยดินแล้วคอยปรนนิบัติรับใช้ราชาผู้ย่ำแย่ได้ตลอดหรอก เสียเวลาทำงานหมด”
“เฮอะ! อย่ามัวเก่งแต่ปากนักเลย! เริ่มสู้กันให้รู้ผลชัดๆ จะดีกว่ามั้ย! กล้าทำตัวสามหาวต่อหน้าราชาเช่นนี้ ดูท่าทางอยากจะตายจากโลกนี้ไวๆ เหลือเกิน”
“...”
“ไม่โต้ตอบอะไรต่อสินะ งั้นตอนนี้...ข้าจะรีบปลิดชีพเจ้าทิ้งเพื่อสนองความต้องการนั้นซะ!!”
มือทั้งสองเริ่มสั่นระริกเล็กน้อยเพราะเกิดความหวาดระแวงในใจ ฉันรู้ดีว่ากำลังทำตัวแย่ๆ ใส่ราชา(ตัวปลอม)จนต้องเกิดอารมณ์โทสะ ยิ่งพวกเขาเป็นกลุ่มหมอกเซอแวนท์ด้วย ทำให้ไม่มั่นใจว่าจะมีความแข็งแกร่งมากน้อยแค่ไหน
แบบนี้ฉันจะมีโอกาสชนะรึเปล่านะ...
แต่ว่า! ฉันจะต้องปกป้องซากุระให้ได้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม...!!
“ควันสีชาด!!”
ฉันหยิบกลัดมณีเวทย์เม็ดสีแดงปาลงพื้น หมอกควันสีแดงเริ่มลอยฟุ้งออกมาทั่วทั้งบริเวณ ในจังหวะเดียวกัน ฉันส่งสัญญาณให้ซากุระหนีไปซ่อนที่อื่นให้เร็วที่สุด เธอพยักหน้าตอบรับแล้วรีบวิ่งออกไปซ่อนภายในทันที ไม่นานควันสีชาดก็ค่อยๆ จางหาย ร่างเงาทั้งคู่ต่างมองมาอย่างนิ่งๆ สักพักฉันเริ่มสัมผัสได้ถึงรอยยิ้มกว้างของกิลกาเมช
“หึฮ่าๆๆๆๆๆ นี่มามุขไหนกันเนี่ย! ลูกเล่นเด็กน้อยรึไงกัน ฮ่าๆๆๆๆ” เสียงหัวเราะเยาะเย้ยจากราชาแห่งอุรุคดังลั่นออกจากปากภายในทันที สิ่งนั้นทำให้รู้สึกหงุดหงิดใจมาก เพราะเขากำลังดูถูกฉันเต็มๆ เลย
“โธ่เอ๊ย...เป็นเสียงหัวเราะที่น่ารำคาญจริงเลย...”
“งั้นต่อไปข้าขอบุกก่อนละกัน รีบๆ ฆ่าทิ้งซะน่าจะดีกว่า”
พอคูฮูลินน์อัลเตอร์พูดจบก็พุ่งตรงเข้ามาพร้อมหอกหนามสีแดงคู่ใจ ฉันไม่รอช้ารีบหยิบกลัดมณีเวทย์เม็ดต่อมาแล้วบีบมันให้แตก เศษกลัดมณีเวทย์ได้หลอมรวมเป็นดาบคาตานะเล่มหนึ่ง จากนั้นฉันจับด้ามดาบด้วยมือสองข้างแล้วเหวี่ยงกลับเพื่อป้องกันการโจมตีเอาไว้
“อึ่ก...”
“โห...มีฝีมือไม่เบาเลยนี่นา”
เรี่ยวแรงของเขาดูเยอะเกินกว่าที่จะต้านทานได้ไหว แต่ฉันก็พยายามฮึดสู้ ออกแรงต้านพร้อมสะบัดหอกออกไปข้างๆ จากนั้นจึงรีบกระโดดถอยหลังตั้งหลักและจับด้ามดาบคาตานะไว้แน่น
“คูฮูลินน์อัลเตอร์...ฉันจะต้องจัดการแกให้ได้ เพราะแกตอนนี้ไม่ใช่คูจังที่เคยรู้จักอีกต่อไปแล้ว!!”
ฉันถ่ายโอนพลังเวทย์ลงมายังขาทั้งสองเพื่อออกตัวบุกโจมตีอย่างรวดเร็ว อีกฝ่ายแอบยิ้มแสยะพร้อมปัดป้องการโจมตีแล้วยกเท้าขึ้นถีบจนปลิวไปไกลหลายเมตร เขาเตรียมขว้างหอกใส่โดยจงใจเล็งกลางอก ฉันลุกขึ้นยืนด้วยความรู้สึกจุกท้องเล็กน้อย มือที่จับด้ามดาบเกือบได้คลายออกแต่ก็ต้องพยายามตั้งสติแล้วรีบกลิ้งหลบการโจมตีตรงหน้า
ต่อมาเขาเรียกอาวุธของตนกลับมาโจมตีระยะใกล้อย่างต่อเนื่อง ฉันทำได้เพียงใช้พลังเวทย์สวนกลับพร้อมฟาดดาบป้องกันการโจมตีจากศัตรู โดยตอนนี้อาวุธของพวกเราก็ต่างเสียดสีจนเกิดประกายไฟเล็กน้อย แถมยังมีการออกแรงต้านซึ่งกันและกัน
“ข้านึกมาตลอดเลยว่าเจ้าจะเป็นแค่มาสเตอร์หญิงธรรมดาคนหนึ่ง ที่แท้ก็มีทักษะการต่อสู้ซ่อนอยู่ แบบนี้ค่อยรู้สึกมีใจอยากกลับไปร่วมสู้เคียงข้างด้วยหน่อยละ”
“ไม่ใช่! แกไม่ใช่คูจัง! แกไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดจาแบบนี้!!”
ฉันกระโดดถอยหลังตั้งหลักเพื่อเตรียมใช้กลัดมณีเวทย์เรียกอาวุธต่อ แต่ก่อนที่จะได้ใช้ แสงสีทองจากข้างหลังของคูฮูลินน์อัลเตอร์ก็ปรากฏขึ้น ซึ่งนั่นจะเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากพลังของกิลกาเมช
“เป็นอะไรไปล่ะ ทำอะไรสักอย่างเพื่อเตรียมสู้กับพวกข้าซะสิ!”
เขาเปิดหนังสือดินเหนียวคู่ใจพร้อมยิงเวทย์ออกมาจากเกท ออฟ บาบิโลน เส้นพลังเวทย์หลายเส้นหมุนรอบเป็นเกลียวแล้วพุ่งเข้ามาหาฉัน แบบนี้คงเตรียมอาวุธไปสู้ไม่ทันแล้วสิ...
“โล่ป้องมนตรา!!”
ฉันหยิบกลัดมณีเวทย์เม็ดขนาดกลางแล้วบีบให้แตก เศษพวกนั้นหลอมเป็นโล่เวทย์ที่ไม่ได้ใหญ่โตมากมายแต่มีประโยชน์พอในเรื่องการป้องกัน มือขวาพยายามควบคุมมันเพื่อป้องกันพลังเหล่านั้นไว้พร้อมสะท้อนกลับไป เมื่อหน้าที่เสร็จสิ้น มันก็ค่อยๆ จางหายไปกับสายลมหิมะ
วินาทีนั้นเอง คูฮูลินน์อัลเตอร์ได้พุ่งมาสมทบอีกแรงด้วยการกระโดดขึ้นฟ้าเตรียมจับหอกทิ่มลงพื้น ฉันถ่ายโอนพลังเวทย์ลงมายังขาอีกครั้งพร้อมหลบหลีกการโจมตีออกทางด้านหลังแล้วหันไปเตะหัวตุ๊กตาหิมะที่ถูกตั้งไว้ข้างๆ หวังน็อกเอ้าท์
แน่นอน...อีกฝ่ายไม่ได้โง่อย่างที่คิดหรอก เขาจับควงหอกตรงหน้าตัดก้อนหิมะขาดครึ่งพร้อมปาอาวุธแหลมนั่นใส่อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มีพลังเวทย์จากเกท ออฟ บาบิโลนของกิลกาเมชพุ่งเป็นเกลียวตามมาติดๆ ด้วย จนเรียกได้ว่ากำลังตกอยู่ในสภาพจนมุมจริงๆ มือขวาของฉันกำด้ามดาบคาตานะไว้แน่น ส่วนมือซ้ายล้วงกระเป๋ากระโปรงหยิบกลัดมณีเวทย์ขึ้นบีบให้แตกเพื่อเรียกดาบอีกหนึ่งเล่ม
“ไม่คิดจะหลบงั้นรึ...น่าสนใจดีนี่นา!”
ราชาผมทองเปิดหนังสือดินเหนียวเรียกเกท ออฟ บาบิโลนเพิ่มเติมหวังปลิดชีพโดยเร็ว แต่อย่าคิดว่าจะยอมแพ้ตอนนี้ ฉันกลิ้งหลบหอกสีแดงแล้วกระโดดขึ้นวิ่งตามหลังคาบ้านเรือนต่างๆ ร่างกายทำได้แต่สั่งให้วิ่งหลบหลีกพลังเวทย์สีทองเรื่อยๆ เพราะมันไม่ได้เปิดมาเพื่อโจมตีรอบเดียวต่อหนึ่งเกท
ต่อมาก็มีอุปสรรคหนึ่งมาขวางกั้นการกระทำเมื่อครู่ คูฮูลินน์อัลเตอร์วิ่งตามจากด้านล่างแล้วกระโดดขึ้นดักหน้าเอาไว้ มือสองข้างจับหอกสีแดงเตรียมทิ่มแทงเข้ามาแนวตรง ฉันถือดาบสองเล่มอย่างแน่นพร้อมฟาดปัดมันออกข้างก่อนที่จะกระโดดหลบถอยหลังเพื่อใช้ทริคปาอาวุธของตัวเองล่อให้อีกฝ่ายจดจ่อกับการป้องกันตัวและรีบวางมือขวาบนหลังคา
“Gehen!! [จงทำลาย]”
เส้นพลังเวทย์สีฟ้าหลากเส้นปรากฏขึ้นทั่วหลังคาพร้อมพลังอำนาจในการทำลายให้แตกเป็นเสี่ยงๆ เบอเซิกเกอร์ภายใต้กลุ่มหมอกจึงได้ร่วงลงไปภายในบ้านทันที ฉันไม่รีรออย่างอื่นใดแล้วพุ่งทะยานลงตามจับร่างเหวี่ยงให้กระแทกกำแพง จากนั้นก็หมุนตัวเตะด้วยเท้าข้างขวา อันทำให้เขาต้องปลิวออกนอกตัวบ้านไกลหลายเมตร
“แฮ่ก...แฮ่ก...”
แย่ล่ะสิ ดูเหมือนว่าตอนนี้สภาพร่างกายจะเริ่มเข้าใกล้ขีดจำกัดเต็มทน กลัดมณีเวทย์เองก็ใกล้หมดแล้วด้วย ขืนหยิบมาบีบหลอมรวมอาวุธต่อไปเรื่อยๆ คงหมดเนื้อหมดตัวแน่นอน
แต่ว่า...จะไปยอมแพ้เพราะเรื่องแค่นี้ไม่ได้อย่างเด็ดขาด!
เมื่อสัญชาตญาณการเอาตัวรอดบ่งบอกเช่นนั้น ฉันจึงรูดซิปเสื้อแขนยาวลงพร้อมถอดทิ้งลงพื้น จากนั้นก็รีบควักเอากลัดมณีเวทย์ออกจากกระเป๋ากระโปรงทั้งหมดและร่ายบทมนตรา
“เหล่ากลัดมณีเวทย์ที่ตัวข้ามีอยู่ทั้งหมด จงฟังข้า! ต่อจากนี้ไป...ถึงโอกาสอันดีแล้วที่เจ้าจะได้แสดงถึงพลังอำนาจให้ประจักษ์และเป็นตัวนำพาซึ่งชัยชนะ! ไม่มีเหตุผลต้องปกปิดมันไว้อีกแล้ว! จงออกมาซะ!! ฟรอเซ่น คราฟ!! [Frozen Craft]”
ว่าจบฉันก็โยนพวกมันขึ้นไปบนฟ้า แสงสีขาวสาดส่องลงมายังทั่วบริเวณ มันเริ่มส่องลงมาจนเริ่มรู้สึกได้ถึงพลังเวทย์ที่กำลังหล่อเลี้ยงทั่วร่างกาย โดยแสงนี้จะคอยมอบพลังเวทย์เพิ่มเติมให้อย่างเต็มเปี่ยม จากนั้นมันก็ค่อยๆ เปลี่ยนพื้นที่อีเว้นท์คริสต์มาสนี้เป็นสนามรบหิมะอันมีเหล่าอาวุธน้ำแข็งปักอยู่
พื้นที่แห่งนี้ ณ ตอนนี้...ได้กลายเป็นสนามรบของฉันแล้ว!
“หืม...? ดูๆ แล้วก็ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลยแฮะ เป็นมุขของเล่นเด็กอันใหม่ที่น่าขันเหลือเกิน”
เอาอีกแล้ว...คำพูดคำจาเชิงดูถูกของกิลกาเมชนั่น แบบนี้คงยอมให้อภัยไม่ได้แน่ๆ
ฉันจ้องมองพวกเขาด้วยความโมโหพร้อมยกมือขึ้นเรียกเหล่าดาบน้ำแข็งจากพื้นหิมะเพื่อลอบโจมตีจากด้านหลัง แต่ดูเหมือนเขาจะตอบสนองได้ไวกว่าจนสามารถหลบหลีกพวกมันได้
“ชิ...ทำตัวน่าโมโหจริงๆ เลย...”
“เป็นลูกเล่นใหม่ที่ดีเลยนี่ งั้นข้าจะขอบุกต่อละกัน” คูฮูลินน์อัลเตอร์ค่อยๆ ลุกขึ้นยืนด้วยสภาพมอมแมมและตั้งท่าเตรียมเข้ามาสู้กับฉันอีก แต่ในจังหวะนั้นกลับถูกกิลกาเมชแตะไหล่ขัดจังหวะก่อน
“ช้าก่อน...ตั้งแต่เริ่มแรกมาก็ลุยเยอะแล้วไม่ใช่รึไง ปล่อยให้ข้าได้ต่อสู้กับยัยพันทางบ้างสิ ดูเหมือนจะสนุกไม่ใช่น้อยเลย ต่อจากนี้เจ้ารีบมุ่งหน้าทำหน้าที่ต่อไปเถอะ”
“หน้าที่อะไรกัน...ก็ไม่มีหน้าที่อันไหนนอกจากฆ่ายัยนั่นแล้วนะ”
“นี่เจ้ากำลังจะบอกว่าลืมเด็กน้อยคนนั้นที่อยู่กับยัยพันทางแล้วรึ นั่นแหละคือเป้าหมายใหม่ เพราะงั้นใช้จมูกของตัวเองให้เป็นประโยชน์และตามหาซะ”
“...!?”
อย่าบอกนะว่า...กิลกาเมชกำลังเล็งซากุระเอาไว้ด้วย!?
แย่แล้วสิ ฉันดันลืมไปได้ยังไงกัน เหล่าเซอแวนท์ทั้งฝั่งตัวเองและศัตรูจะมีความสามารถในการตามหาผู้คนด้วย ดังนั้นการอำพรางของควันสีชาดจึงไร้ผลโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงเรื่องนั้นล่วงหน้าเลย
“ยัยเด็กนั่นสินะ...ดีเลย งั้นข้าจะรีบตามหาแล้วก็ฆ่าทิ้งซะ”
ว่าจบร่างเงาของคูฮูลินน์อัลเตอร์ก็พุ่งออกไปตามหาซากุระที่ตอนนี้กำลังซ่อนที่ไหนสักแห่ง ฉันเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดี รีบเรียกดาบน้ำแข็งไปขัดขวาง แต่มันก็ดันถูกยิงทิ้งด้วยเวทย์ของกิลกาเมช
“ให้ตายเถอะ เลิกทำตัวขวางทางคนอื่นเขาเสียที...เจ้าหมาคลั่งนั่นกำลังจะเริ่มภารกิจใหม่ของมันอยู่ และต่อจากนี้คู่ต่อสู้ของเจ้าจะเป็นข้าเพียงผู้เดียว...” เขาเริ่มเปิดหนังสือของตัวเองที่อยู่ในมือพร้อมเตรียมเปิดเกท ออฟ บาบิโลนด้านหลัง “แบบนี้ต้องมีการลองหน่อยว่าเจ้ามีฝีมือมากพอที่จะปราบราชาแห่งอุรุคอย่างข้าได้หรือไม่ แค่คิดก็น่าสนุกแล้วใช่มั้ยล่ะ...เจ้าพันทาง”
.
.
.
.
.
ตลอดห้านาทีที่เพิ่งผ่านพ้นไป ทั้งฉันและกิลกาเมชแคสเตอร์ต่างต่อสู้กันด้วยระยะไกล เขายิงเวทย์จากเกท ออฟ บาบิโลน ส่วนฉันเรียกอาวุธน้ำแข็งจากพื้นหิมะเพื่อโจมตีสวนกลับ ผลแพ้ชนะยังไม่มีใครรู้ แต่ถ้าตามหลักแล้ว บางทีฉันอาจจะเป็นฝ่ายแพ้ก็ได้ เพราะการใช้พลังฟรอเซ่น คราฟ จะต่างจากการใช้กลัดมณีเวทย์ธรรมดา มันคอยดูดพลังเวทย์จากตัวฉันเรื่อยๆ ไม่มีหยุดจนกว่าจะสู้จบ
“แฮ่ก...แฮ่ก...”
“เป็นอะไรไปล่ะ หมดแรงที่จะสู้ซะแล้วงั้นรึ...ช่างน่าเสียดายซะจริง ข้ากำลังสนุกอยู่แท้ๆ เลยเชียว”
เขาแสยะยิ้มพร้อมบุกเข้าหาด้วยอาวุธอีกอย่างหนึ่งที่มีลักษณะคล้ายขวานทอง แต่ด้ามยาวกว่า ฉันค่อยๆ ฮึดขึ้นสู้ต่อ ถอยหลังไปตั้งหลักพร้อมเรียกหอกน้ำแข็งเข้ามาหาฉันแล้วจับด้ามหอกเตรียมเหวี่ยงปัดป้องการโจมตีของเขาไว้
“ฉันน่ะ...จะไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ตอนนี้หรอกน่า!!”
“เหอะ! เดี๋ยวเจ้าก็จะได้รู้ ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในศึกครั้งนี้!”
ราชาผมทองเริ่มพุ่งตรงมาหาแล้วง้างขวานโจมตี ฉันรีบฟาดปัดป้องออกไปพร้อมทิ่มสวนกลับ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะไวกว่ามาก เขาหลบหลีกออกไปได้พร้อมยิงเวทย์ออกจากเกท ออฟ บาบิโลนใส่ ฉันทำได้เพียงวิ่งหลบหลีกวิถีเวทย์ที่ยิงเข้ามา
ต่อจากนั้นก็ปาหอกให้พุ่งไปยังกิลกาเมช ฉันใช้ทริคหลอกลวงว่าโจมตีจากด้านหน้าด้วยการควบคุมให้มันเด้งขึ้นฟ้าพร้อมลอบโจมตีด้านหลังแทน แต่จู่ๆ อาวุธเล่มนั้นก็ถูกดูดกลืนด้วยเกทสีทองที่เขาเปิดรับมันเอาไว้
“ให้ตายเถอะ...แค่อาวุธจากฟรอเซ่น คราฟก็ยังจะดูดเก็บเข้าคลังตัวเองงั้นเหรอ...”
“อาวุธของเจ้าตอนนี้จะสลายหายไปในเขตแดนที่สร้างขึ้นหลังถูกใช้งาน แต่ถ้าหากมันเข้ามาเป็นหนึ่งในคลังอาวุธของข้าล่ะก็...จะไม่มีทางได้หายไปแน่นอน ซึ่งตอนนี้มันเป็นของข้าเรียบร้อย ไม่มีสิทธิ์เรียกมันออกจากเกท ออฟ บาบิโลนได้อีกต่อไปแล้ว”
“อย่างนี้นี่เอง...งั้นฉันก็จะขอเรียกจากตรงนี้เหมือนเดิมและสู้กับแกต่อละกัน!”
ฉันเรียกหอกน้ำแข็งขึ้นมาใหม่ โดยครั้งนี้จะใช้สองเล่มในการต่อสู้ ต่อจากนั้นก็ไม่รอช้าบุกโจมตีในระยะประชิดอย่างรวดเร็ว เขาพยายามหลบหลีกมันแล้วเหวี่ยงขวานทองสวนกลับ พวกเราต่างฟาดฟันปะทะกันไปมาจนเกิดลมพายุหมุนเวียนรอบตัว มีเว้นช่วงบ้างที่จะกระโดดถอยหลังเพื่อเรียกอาวุธหรือใช้พลังเวทย์เข้าต่อกรสลับกับการพุ่งโจมตีระยะใกล้อีกครั้ง
มันเหมือนตอนสู้กับคูฮูลินน์อัลเตอร์ในรอบที่ผ่านมาก็จริง แต่รอบนี้ฉันเสียเปรียบตรงที่พลังเริ่มหายเรื่อยๆ ดังนั้นจึงสู้ระยะประชิดได้ไม่ค่อยดีนัก
“โห...ดูท่าว่าเจ้าจะเริ่มไม่มีแรงสู้กับข้าต่อแล้วสินะ งั้นก็ขอปิดฉาก ณ บัดนี้แหละ!!”
ราชาแห่งอุรุคจับง้างขวานขึ้นเตรียมพุ่งมาโจมตีแนวขวาง แต่ในจังหวะที่กำลังจะได้กระโดดหลบถอยหลังภายในไม่กี่วินาที เงาร่างของเขากลับสลายหายไป ฉันยืนนิ่งสักพักหนึ่งแล้วพยายามหันมองหาอีกฝ่ายทั่วทั้งบริเวณ
ลางสังหรณ์เริ่มไม่ดีซะแล้วสิ...
“เตรียมยิงได้เลย ข้าอนุญาต!”
“...!?”
บทพูดนั่นมัน...
“จงแสดงให้มันได้เห็นถึงการปกป้องนครอุรุคอันยิ่งใหญ่นี่เสีย! จิตวิญญาณของข้าจักกระจายทั่วแดนดิน! เมลัมมุ ดินกิร์!!”
โฮกุของกิลกาเมชแคสเตอร์!!?
เมื่อลองหันตามเสียงเมื่อครู่ พบว่ากิลกาเมชกำลังยืนเปิดหนังสือดินเหนียวร่ายบทโฮกุบนกำแพงเมืองอุรุคอันยิ่งใหญ่ แสงสีทองค่อยๆ ปรากฏจากทางด้านหลัง ซึ่งมันคือเส้นพลังเวทย์หลากเส้นคล้ายกับการยิงกระสุนปืนกลนั่นเอง พวกมันเริ่มเล็งเป้าหมายพร้อมกระหน่ำยิงรัวลงมา
ยิ่งในช่วงเวลาคับขันแบบนี้ คงจะยืนคิดอะไรต่อไม่ได้อีกนอกจากปกป้องตัวเองไว้แล้วล่ะ
ฉันดีดนิ้วเรียกอาวุธน้ำแข็งทั้งหมดทั่วบริเวณเตรียมขยับมาใกล้ แขนขวายื่นตรงไปข้างหน้าโดยมือซ้ายจับท่อนแขนไว้ นิ้วมือขวาแบออกจากกันและเกร็งให้เหมือนกรงเล็บแมว ขาซ้ายก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว ถ่ายโอนพลังเวทย์ในร่างกายไปสู่อาวุธเหล่านั้นทั้งหมด
“ปกป้องข้าไว้ซะ! ฟรอเซ่น คราฟ!!” จากนั้นก็เบิกตากว้างพร้อมสั่งการพวกมันร่วมปักเรียงตัวกันตรงหน้าให้มีความหนาหลายๆ ชั้นเพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันพลังของอีกฝ่าย
สายลมหิมะเริ่มพัดมาอย่างรุนแรงอันเป็นตัวแสดงให้เห็นว่า มีพลังเวทย์พุุ่งกระหน่ำมาปะทะแล้ว โดยจังหวะนั้นฉันได้ยืนถ่ายโอนพลังเวทย์เสริมเกราะป้องกันมากขึ้นและมากขึ้นไปอีก แม้ร่างกายจะเริ่มสั่นระริกเพราะต้านไม่ไหวก็ตาม
ด้วยความไม่ยอมพ่ายแพ้ง่ายๆ จึงพยายามฝืนตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกโจมตีของอีกฝ่าย สีหน้าถูกแสดงออกในอารมณ์ตึงเครียดและจริงจัง ขาสองข้างลงแรงเหยียบพื้นไว้ให้มากที่สุดพร้อมกัดฟันตัวเองแน่น มือซ้ายบีบท่อนแขนขวาเพื่อซัพพอร์ตอาวุธในเขตแดนแห่งนี้ต่อไปจนไม่คำนึงถึงเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น
“จงยอมรับสภาพสังขารตัวเองเสียที!! เจ้าไม่มีทางรับมือข้าได้หรอกน่า!!”
“ฮ้าาาาาาาา!!!!!!”
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
เมื่อเวลาผ่านไปหลายวินาที พลังจากโฮกุของกิลกาเมชก็ได้หยุดการโจมตี รวมทั้งเหล่าอาวุธน้ำแข็งที่สลายร่วมกับสายลมหิมะ ตัวฉันเริ่มทรุดลงคุกเข่าบนพื้นด้วยความเหนื่อยล้าเนื่องจากพลังเวทย์ถูกใช้จำนวนมาก มือไม้อันสั่นระริกเล็กน้อยค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นยืนอย่างโซเซ
“ทีนี้ก็ถึงเวลาอันสมควรเต็มทนแล้ว...จงตายเสียเถิด เจ้าพันทาง!!”
กิลกาเมชหันมายิ้มมุมปากและเรียกขวานทองมาจับพร้อมฟาดแนวเฉียงหวังสร้างบาดแผลกลางอก สัญชาตญาณในจิตใจพยายามปลุกให้โยกตัวหลบ แต่เรี่ยวแรงตอนนี้มีไม่มากพอ ฉันจึงเผลอหันตัวออกข้างและใช้แขนซ้ายรับคมขวานไว้แทน
“...!! อ๊าาา!!”
เสียงกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดดังลั่นออกจากปาก ขาสองข้างเดินถอยหลังด้วยความโซเซ มือขวายกขึ้นจับแขนซ้ายที่เริ่มมีเลือดไหลลงมาจากแผล พื้นหิมะ ณ ตอนนี้ถูกอาบเลือดเป็นสีแดงสด เขตแดนของฟรอเซ่น คราฟเริ่มจางหาย พื้นที่ตรงนี้กลับมาเป็นพื้นที่อีเว้นท์คริสต์มาสเช่นเดิม
“โห...สละแรงให้แขนตัวเองรับขวานของข้าไว้งั้นรึ ใจกล้าไม่เบาเลยนี่นา!”
กิลกาเมชพูดพร้อมกับหัวเราะใส่แล้วเดินตามมาถีบกะบังลมจนปลิวไปประมาณ 2 เมตร ตัวฉันตอนนี้กำลังอยู่ในสภาพหมดเรี่ยวแรงพร้อมเลือดที่ไหลอาบแขนซ้ายและเปรอะเปื้อนแขนเสื้อยูนิฟอร์มคาลเดีย
เฮ้อ...ดูท่าทางฉันจะเริ่มสู้ต่อไม่ไหวแล้วสินะ...
“พี่ยูมิ!!”
“...!?”
เสียงเรียกอันคุ้นเคยนี่มัน...
ฉันรีบหันไปตามต้นเสียงเรียกของเมื่อครู่จนพบว่า คูฮูลินน์อัลเตอร์กำลังยืนแบกร่างของซากุระไว้บนไหล่ขวาตัวเอง เด็กสาวพยายามดิ้นแล้วเรียกขอความช่วยเหลือ แต่ยิ่งเธอดิ้นมากเท่าไหร่ อีกคนหนึ่งก็ยิ่งจับรั้งไว้แน่นกว่าเดิม
“ซากุระ...จัง...?”
“พี่ยูมิ!! ช่วยหนูด้วย!! พี่คนนี้กำลังจะทำร้ายหนู!!”
ซากุระยังคงเรียกร้องให้ช่วยต่อไป ฉันพยายามฝืนตะเกียกตะกายเข้าหา แต่ก็ถูกกิลกาเมชขัดขวางโดยการเหยียบหลังฉันลงกับพื้น ความเจ็บปวดทรมานที่แขนซ้ายเพิ่มพูนยิ่งขึ้น เลือดเริ่มไหลลงรวมกับหิมะจนเกือบเป็นเลือดข้นเหนียวแทน
“มองไปยังตรงนั้นสิ...เจ้าพันทาง เห็นเด็กที่อยากปกป้องนักหนานั่นหรือไม่ ตอนนี้มันได้อยู่กับเจ้าหมาคลั่งแล้วนะ แบบนี้หน้าที่ช่วยเหลือคนบริสุทธิ์ของเจ้าจะบรรลุได้อย่างไรกันล่ะ...หืมม?”
“...!”
ฉันพยายามดิ้นรนให้หลุดออกไปทั้งที่รู้ตัวดีว่ามันไร้ความหมาย เพราะยิ่งพยายามดิ้น เขาก็ยิ่งออกแรงเหยียบฉันหนักขึ้น
“หน้าที่ของข้าสำเร็จเรียบร้อย...เดิมทีก็อยากจะฆ่าทิ้งตั้งนานแล้วแหละ แต่มันน่าจะสร้างความบันเทิงให้กับราชาแห่งอุรุคมากกว่า ถ้าได้ลงมือซึ่งๆ หน้า”
คูฮูลินน์อัลเตอร์ยิ้มมุมปากด้วยความโหดเหี้ยมแล้วจับทุ่มร่างซากุระลงพื้นพร้อมรั้งเอาไว้ เสียงกรีดร้องขอความช่วยเหลือของเธอยังคงดังกึกก้องหู เรี่ยวแรงที่ค่อยๆ หายไปของฉันบวกกับการถูกพันธนาการจากกิลกาเมชในตอนนี้ ทำให้รู้สึกได้ว่าความเป็นมาสเตอร์ไม่ปรากฏขึ้นมาเลยแม้แต่นิด
ฉันสร้างความผิดพลาดให้ตัวเองอีกแล้ว...คำนวณผิดอีกแล้ว...ทำไมกัน...
ทำไมทุกอย่างต้องพังพินาศเพราะฉันคนเดียวด้วยล่ะ...
“อ่านใจข้าได้ด้วยงั้นรึ เจ้าหมาคลั่ง...ถือว่าดีไม่ใช่น้อย เอาให้ยัยพันทางนี่ได้ประจักษ์และรับรู้ไปเลยว่า ทุกอย่างบนโลกใบนี้...แม้แต่ผู้ผดุงความยุติธรรมก็ไม่มีทางปกป้องได้หรอก!”
ถึงสายตาจะไม่สามารถมองเห็น แต่รอยยิ้มของราชาแห่งอุรุคก็ตามมาหลอกหลอนวนเวียนในหัว ฉันทำอะไรไม่ได้แล้วจริงๆ นอกจากร้องขอความเมตตาจากอีกฝ่าย
“หยุดเถอะ...ซากุระจังยังมีอนาคตอีกยาวไกล...เพราะงั้นอย่าฆ่าเธอเลยได้มั้ย...” ฉันพูดกับคูฮูลินน์อัลเตอร์ด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงเล็กน้อย แต่มันไม่ได้ผลตามที่คาดหวังไว้เลย
“สำหรับข้าแล้ว...ทุกอย่างบนโลกใบนี้ไม่มีความหมายอะไรหรอก ข้ามีหน้าที่ทำตามคำสั่งของใครสักคนอย่างเดียว และแม้ว่านั่นจะเป็นการฆ่าคนบริสุทธิ์ก็ตาม...ข้าก็จะทำ” คูฮูลินน์อัลเตอร์เริ่มจับหอกหนามสีแดงจ่อกลางอกของซากุระด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง แต่แฝงความอำมหิตเอาไว้มหาศาล
“เห็นมั้ยล่ะ เจ้าพันทาง! เจ้าหมาคลั่งนั่นกำลังจะเตรียมจบหน้าที่ของตัวเองแล้ว”
กิลกาเมชเปลี่ยนจากเหยียบหลังเป็นการจับให้ยืนขึ้นมองซากุระแทน ซึ่งฉันก็ไม่ได้ยืนด้วยเรี่ยวแรงของตัวเองง่ายๆ หรอก เพราะด้านข้างมีขวานกำลังจ่อต้นคออยู่ ดังนั้นจึงทำได้แต่ยืนอยู่นิ่งๆ ด้วยความเจ็บปวดที่แขนซ้ายและความเหนื่อยล้าทั่วร่างกาย
“ทีนี้จงเลือกซะ จะให้พวกข้าไว้ชีวิตยัยเด็กนั่นคนเดียว หรือเจ้าจะเอาชีวิตตัวเองให้รอดเสียเอง...”
“แล้วถ้าเลือกไว้ชีวิตทั้งฉันและซากุระจังล่ะ...”
“หืม...? ทั้งเจ้าและยัยเด็กนั่นรึ นั่นสินะ งั้นก็...”
ในขณะที่กิลกาเมชกำลังจะพูดต่อ ฉันใช้โอกาสทีเผลอออกแรงผลักแล้วรีบวิ่งเข้าไปช่วยซากุระด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี
จิตใต้สำนึกในใจเชื่อมั่นอยู่เสมอว่าความเป็นความตายไม่ใช่เรื่องที่จะล้อเล่นกันได้ เพราะงั้นฉันถึงต้องมีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติทุกคน!
“อ๊ะ...!?”
แต่โอกาสนั้นก็ได้สูญเปล่าทันทีที่ขาของฉันเริ่มถูกพันธนาการเอาไว้ด้วยโซ่ตรวนแห่งสรวงสวรรค์จนทำให้ล้มนอนคว่ำกับพื้น โดยโซ่นี้จะเป็นของใครไปได้นอกจากราชาแห่งอุรุคข้างหลังผู้ซึ่งกำลังแสดงสีหน้าไม่พอใจอย่างมากในตอนนี้
“หนอยแน่ะ...บังอาจหยามตัวข้าได้ลงคอนัก เอาล่ะ! ทีนี้ไม่ต้องรีรออะไรอีกแล้ว! ปลิดชีวิตยัยเด็กนั่นทิ้งซะ! เจ้าหมาคลั่งเอ๋ย!!”
“รับทราบ...”
ว่าจบ คูฮูลินน์อัลเตอร์ก็ลุกขึ้นบีบคอซากุระไว้พร้อมยกเหนือพื้นดิน ฉันมองด้วยความเคียดแค้นแล้วพยายามดิ้นให้โซ่หลุดออกจากขา แต่ยิ่งดิ้นมากเท่าไหร่ โซ่ก็ยิ่งรัดแน่นหลายเท่าตัว เสียงเด็กสาวที่กำลังกรีดร้องและทรมานยังคงดังอย่างต่อเนื่อง
“หยุดเถอะ! คูฮูลินน์อัลเตอร์! ปล่อยซากุระจังเดี๋ยวนี้!”
“พี่...ยูมิ! หนูยังไม่อยากตาย...! ยัง...ไม่อยากตาย...! ช่วยหนู...ด้วย...!”
น้ำตาของฉันเริ่มเอ่อไหลออกมาเป็นสายและต้องทุกข์ทนกับการฟังเสียงความเจ็บปวดทรมานของเด็กคนหนึ่งที่เคยสัญญาไว้ว่าจะปกป้องให้ได้ บนใบหน้าเธอเริ่มถูกอาบไปด้วยหยาดน้ำตา ส่วนทางคูฮูลินน์อัลเตอร์ก็หันมามองฉันแล้วยิ้มมุมปากอย่างโหดร้าย
“จับตามองไว้แล้วเตรียมบอกลาเด็กคนนี้ซะ...มาสเตอร์แห่งคาลเดีย”
เขาจับร่างเหยื่อทุ่มให้นอนลงพื้น มืออีกข้างเริ่มมีหนามโผล่คล้ายกับโฮกุประจำตัวขึ้นมาเพื่อเตรียมฆ่าทิ้ง ฉันกรีดร้องขอชีวิตทั้งน้ำตาสุดใจอย่างไม่มีทางเลือก ร่างกายพยายามตะเกียกตะกายแต่ไม่ได้ผล มือข้างขวาเอื้อมไปยังตรงหน้าทั้งที่รู้แก่ใจว่าไม่มีทางเอื้อมถึงเลย
ถ้าครั้งนี้ปกป้องเธอไว้ไม่ได้...ความเป็นมาสเตอร์แห่งคาลเดียก็จะหายไปจริงๆ ซากุระเป็นหนึ่งในคนบริสุทธิ์ที่ต้องปกป้องด้วยเหมือนกันนะ แล้วแบบนี้ฉัน...จะทำอะไรไม่ได้อีกแล้วงั้นเหรอ...!
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!!!!!!!”
.
.
.
.
.
วิ้งง~
ในจังหวะนั้นเอง เสียงสัญญาณบางอย่างก็ดังกึกก้องในหู ฉันหันกลับมองไปยังมือขวา พบว่าเรย์จูสีแดงกำลังถูกใช้งานอยู่ ซึ่งตอนแรกยังรู้สึกงงใจไปสักพักจนกระทั่งพบเห็นสิ่งที่น่าประหลาดยิ่งกว่า...
เพราะคูฮูลินน์อัลเตอร์ที่เตรียมจะฆ่าซากุระในตอนนี้ขยับร่างกายไม่ได้เลย!!
แต่นั่น...ไม่ใช่เซอแวนท์จริงๆ ของฉันไม่ใช่เหรอ...ทำไมถึงออกคำสั่งไปได้ล่ะ...
“โห...ทำได้ดีนี่ มาสเตอร์แห่งคาลเดีย ใช้คำสั่งจากเรย์จูให้เซอแวนท์ของตัวเองชะงักการเคลื่อนไหว...แต่มันก็ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก!”
ว่าจบกลุ่มหมอกสีม่วงของเงาดำก็ถอนตัวเองออกจากร่างของคูฮูลินน์อัลเตอร์ก่อนที่จะก่อตัวเป็นร่างผีตัวหนึ่ง และมันไม่ได้มีแค่ตัวเดียวด้วย เพราะเมื่อหันไปมองด้านหลังปุ๊บ พบว่าโซ่ตรวนแห่งสรวงสวรรค์ค่อยๆ สลายหายไปกับออร่าสีทองเรียบร้อยแล้ว กิลกาเมชล้มลงกับพื้นพร้อมร่างผีที่ลอยเข้ามาอยู่ข้างกัน
“ให้ตายเถอะ อุตส่าห์จะเล่นบทบาทของเจ้าราชายาวๆ สักหน่อยเชียว...” ผีตนนั้นพูดขึ้นด้วยสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อย “พอลองใช้ร่างเซอแวนท์ของเจ้าแล้วรู้สึกควบคุมยากแปลกๆ เหมือนกันนะเนี่ย”
“เอ๊ะ...?”
งั้นแปลว่า...ทั้งคูฮูลินน์อัลเตอร์และกิลกาเมชตรงนี้เป็นเซอแวนท์ของฉันจริงๆ น่ะสิ! พวกผีสองตนนั้นคงแอบรู้เห็นสถานการณ์ครั้งก่อนที่ฉันถูกทิ้งไว้ข้างหลังแล้วใช้โอกาสนี้มาสิงร่างเพื่อแสดงตัวตนให้เห็นว่าเป็นศัตรูกัน
ช่างร้ายกาจ...
“ถือว่าครั้งนี้เป็นศึกที่ดีนะ เจ้านี่ช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก ฮึดสู้ได้ตลอด พยายามงัดทุกอย่างมาใช้เพื่อลุล่วงเป้าหมาย อย่างเช่นปกป้องเด็กคนนี้” ผีตนแรกที่สิงคูจังกล่าวชื่นชมอย่างหน้าตายมากๆ
แต่เดี๋ยวก่อนนะ...ไม่ใช่ว่าพวกนั้นจะเป็นศัตรูของฉันหรอกเหรอ...คำพูดคำจาเหมือนอยู่ในทางด้านบวกเลย...คงไม่ใช่การหลอกลวงกันใช่มั้ย
“ก็ขอขอบคุณสำหรับคำชม แต่แกเป็นศัตรูฉันนี่นา พูดแบบนั้นมันไม่แปลกหน่อยเหรอ”
“พูดจาอะไรเช่นนั้นเล่า พวกข้าก็แค่พวกผีที่วนเวียนในด่านฝึกซ้อมประจำคาลเดียเกทเองนะ เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา พวกข้าเห็นว่าพวกเจ้าสามคนทะเลาะกัน แล้วดูเหมือนเจ้าจะเสียความมั่นใจในตัวเองอีก ก็เลยอยากลองให้ได้พิสูจน์โดยการหนีออกมาเป็นคู่ซ้อมยังไงล่ะ”
ผีที่สิงกิลกาเมชกล่าวสาธยายให้ฉันได้รับรู้ความจริงอย่างกระจ่าง การพูดจาดูไม่เป็นศัตรูกันเลย แต่ก็อยากสารภาพอยู่เหมือนกันนะ ว่าพวกมันรับบทบาทของสองคนนั้นได้เหมาะสมมาก
ให้ตายเถอะ...นี่น่ะเหรอ สิ่งที่ฉันได้พิสูจน์ความเป็นมาสเตอร์ในคืนนี้...
“อ๊ะ...?”
ความรู้สึกเจ็บปวดตรงแขนข้างซ้ายยังคงหลงเหลืออยู่ หยาดเลือดสีแดงไหลลงเรื่อยๆ ซึ่งตอนนี้มันก็เริ่มไหลช้าบ้างแล้ว
“เจ็บแผลอยู่สินะ...ข้าต้องขออภัยด้วยที่ออกแรงเยอะไปหน่อย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะลงไม้ลงมือฆ่าเจ้าหรอก แต่คาดไม่ถึงเลยว่าจะรับการโจมตีด้วยแขนข้างนั้น นอกจากความแข็งแกร่ง อดทนสู้ และความมุ่งมั่นแล้ว การเสียสละก็เป็นหนึ่งในคุณสมบัติของความเป็นมาสเตอร์ที่สำคัญด้วยเช่นกัน”
นี่ฉันกำลังถูกสั่งสอนด้วยมอนสเตอร์ผีที่เป็นตัวฝึกซ้อมแห่งคาลเดียเกทเหรอเนี่ย...ดูแปลกดีแฮะ
แต่ถือว่าครั้งนี้...เริ่มมีการพัฒนาขึ้นบ้างแล้วล่ะ ฉันสามารถต่อสู้และปกป้องผู้คนด้วยตัวคนเดียวได้...ถึงแม้รอบนี้จะดูโหดร้ายไปหน่อยก็เถอะ
“ก็นะ...อย่างน้อยก็ได้พิสูจน์ความเป็นมาสเตอร์แบบจริงจังสักที ทั้งเรื่องการต่อสู้และการปกป้องคนบริสุทธิ์ คือจะว่ายังไงดีล่ะ อืมม...งั้นขอบใจมากนะ”
ฉันกล่าวขอบคุณพร้อมกับยิ้มให้ทั้งน้ำตา ผีที่สิงกิลกาเมชลอยเข้ามาหาแล้วค่อยๆ ปาดน้ำตาออกให้ก่อนที่จะพากันสลายหายไปทั้งสองตน
ดูท่าทางพวกนั้นจะกลับคาลเดียเกทแล้วล่ะนะ...
“ยูมิ!!”
ระหว่างนั้นเอง เสียงเรียกของใครบางคนก็ดังมาจากด้านหลัง พอฉันหันกลับไปปุ๊บ พบกับเอมิยะที่กำลังวิ่งมาพร้อมเซอแวนท์คนอื่นๆ อย่างคูฮูลินน์แลนเซอร์ ฟูมะ โคทาโร่ โอจิมังเดียส และ ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล (เบอเซิกเกอร์) พยาบาลชาวอังกฤษ
“นะ...นายท่านปลอดภัยใช่มั้ยขอรับ!”
“อะ...อื้ม ฉันไม่เป็นไรหรอก” ฉันยิ้มเล็กๆ ให้โคทาโร่ เพื่อให้รับรู้ว่าไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นอีก
“มาสเตอร์! แผลที่แขนซ้ายของท่านนั่นมัน...” ไนติงเกลผู้ตาไวสังเกตเห็นรอยแผลบนแขนซ้ายแล้วรู้สึกหน้าซีดเล็กน้อยพร้อมรีบวิ่งเข้ามาตรวจสอบดูให้แน่ชัด “รอยแผลดูไม่ค่อยลึกมากเท่าไหร่ งั้นข้าขอทำการรักษา ณ ตรงนี้เลยละกันนะคะ”
“เอ่อ...คะ...คงไม่รักษารุนแรงใช่มั้ย” ฉันถามด้วยความหวั่นระแวงใจเล็กน้อย เพราะมีข่าวลือว่าการรักษาของเธอในคาลเดียดูโหดร้ายมาก หลายคนพากันหวาดกลัว แต่ภายหลังกลับชื่นชมที่จู่ๆ อาการเจ็บป่วยก็หายดีอย่างคาดไม่ถึง
“ไม่รุนแรงแน่นอนค่ะ เพราะท่านเป็นมาสเตอร์ของข้า ฉะนั้นต้องรักษาอย่างอ่อนโยน ไม่ยอมปล่อยให้ท่านทรมานอยู่แล้ว”
ว่าจบไนติงเกลก็เริ่มหยิบกล่องปฐมพยาบาลจากกระเป๋าสะพายของเธอ จากนั้นเธอจับแขนเสื้อข้างซ้ายตัดออกแล้วทำการรักษาบาดแผลอย่างเบามือ
“เด็กหัวม่วงที่นอนกับพื้นคนนั้นเป็นใครเหรอ คุณหนู” คูแลนเซอร์ยืนมองไปยังจุดหนึ่งที่มีซากุระนอนหงายอยู่
จะว่าไปตอนนี้...เธอตายรึยังนะ
“เด็กคนนั้นคือ ซากุระจัง เพิ่งรู้จักมาเมื่อไม่นานนี่เอง ฉันพยายามปกป้องเธอเต็มที่แล้ว แต่ก็นะ...ได้ผลรึเปล่ายังไม่รู้เลย”
“อย่าได้กังวลไป...เด็กคนนี้แค่นอนสลบเท่านั้น ยังไม่ถึงกับสิ้นชีพหรอก” โอจิมังเดียสยื่นมือแตะต้นคอซากุระแล้วก็ยิ้มกว้างจนทำให้รู้สึกเบาใจลง
ดีจังที่ซากุระยังมีชีวิตอยู่ เพียงแค่นี้ก็แสดงให้เห็นว่าฉันทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีที่สุดแล้ว
“แล้ว...จะเอายังไงกับสองคนนี้เหลือดีล่ะ” เอมิยะยืนมองคูจังและกิลกาเมชซึ่งกำลังนอนหมดสติอยู่ ทั้งคู่ต่างมีสภาพร่างกายที่เปรอะเปื้อนของหิมะและเศษฝุ่นเต็มตัว
“ช่วยพาพวกเขาไปนอนพักผ่อนในคาลเดียก่อนละกัน ขืนปล่อยทิ้งไว้ให้อยู่ที่นี่ต่อคงจะไม่ดีสักเท่าไหร่...” ฉันมองร่างเซอแวนท์หนุ่มบนพื้นแล้วหันไปกล่าวคำแนะนำให้กับเหล่าเซอแวนท์ที่ยืนอยู่ ณ จุดนี้
“งั้นโอจิมังเดียสผู้นี้ขอแบกเจ้าราชาแห่งอุรุคนี่ไปเอง อีกอย่างข้ามีเรื่องต้องสั่งสอนด้วย หากฟื้นเมื่อใดล่ะก็...ต้องไม่รอดจากเอื้อมมือข้าได้แน่ๆ”
“ส่วนข้าจะขอแบกอัลเตอร์ไปพักละกัน มีตัวข้าอีกสองร่างกำลังรอต้อนรับอยู่ด้วยเหมือนกัน เผื่อจะช่วยปรับความเข้าใจและเปลี่ยนทัศนคติของเจ้านี่ได้”
“เอ่อ...งั้นกระผมขอพาท่านซากุระเข้านอนในห้องพยาบาลเองนะขอรับ...ส่วนนายท่านก็ไม่ต้องกังวลใจไป เมื่อทุกอย่างดีขึ้นแล้ว เหตุการณ์ของวันต่อๆ ไปจะกลับมาเป็นปกติเหมือนเดิม”
ทุกคนในนี้ต่างให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี รอยยิ้มของพวกเขาคอยเติมเต็มความรู้สึกดีๆ จนทำให้อบอุ่นใจเป็นอย่างมาก
ตั้งแต่ตอนเป็นมาสเตอร์แห่งคาลเดียครั้งแรกนั้น ทำให้มีประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่มพูนขึ้นมามากเลย แถมมีหลายอย่างที่ยังไม่เคยพบเจอมาก่อน ความเป็นตัวของตัวเองเริ่มเกิดขึ้นในจิตใจฉันเรื่อยๆ และร่วมสร้างมิตรภาพต่อเหล่านักวิจัยเวทย์ ดา วินชี่ รุ่นน้องที่น่ารักและมุ่งมั่นในเป้าหมายอย่างมาชู รวมถึงเหล่าเซอแวนท์ที่ฉันอัญเชิญมาเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติไปด้วยกัน
“เอาล่ะ ทุกคน...เตรียมตัวกลับคาลเดียกันเถอะ พอดีฉันยังมีอีกหลายเรื่องเลยที่อยากคุยด้วย และก็เอ่อ...ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงอีกรอบนะ” ฉันกล่าวคำขอโทษพร้อมก้มหน้าเล็กน้อยอย่างเศร้าสร้อย
“ในนามของฟาโรห์รามเสสที่ 2 โอจิมังเดียสผู้นี้ย่อมให้อภัยเจ้า สิ่งใดที่ดีแล้วสามารถทำได้ก็ขอให้ทำต่อไปเถิด ข้าพร้อมที่จะช่วยหนุนหลังอยู่เสมอ”
“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คุณหนูทำดีที่สุดแล้ว เพราะงั้นไม่ต้องกังวลใจไปหรอก เดี๋ยวพวกข้าจะคอยอยู่เคียงข้างจนกว่าทุกอย่างจะจบได้ด้วยดีเอง”
“กระ...กระผมก็...เอ่อ...ให้อภัยนะขอรับ ถึงนายท่านจะเคยทำผิดพลาดบางอย่างไปก็ตาม แต่กระผมคิดอยู่เสมอว่าทุกอย่างจะต้องดีขึ้น ดังนั้นโปรดไว้วางใจได้เลย”
“ตัวข้าเอง...ก็จะอยู่เคียงข้างเสมอ เพื่อให้ได้รักษา ให้การสนับสนุนหลายๆ อย่าง เพราะความใฝ่ฝันของข้า...ก็เหมือนกับของท่านค่ะ มาสเตอร์”
“ประสบการณ์มีอยู่หลายแบบ แล้วแต่ว่าเจ้าจะรับส่วนไหนไป ทุกอย่างที่ได้ประสบมานั้น จะคอยเป็นตัวผลักดันให้แข็งแกร่งขึ้น มีความเป็นผู้นำ และยังเป็นกุญแจสำคัญในการช่วยเหลือมนุษยชาติ...ถ้าหากเจ้ายังคงสู้ต่อ พวกข้าเองก็จะคอยสนับสนุนไปจนจบเองนะ...ยูมิ”
เอมิยะพูดทิ้งท้ายและลูบหัวพร้อมแตะแก้มฉันเบาๆ ความอบอุ่นจากคนตรงหน้านี้ทำให้ฉันรู้สึกประหม่าแปลกๆ ยังไงไม่รู้ แต่นั่นถือเป็นความสุขที่เพิ่มพูนเข้ามาในจิตใจ อย่างน้อย...ตอนนี้ก็ยังมีพวกเขาที่คอยอยู่เคียงข้างฉันตลอดมา
เอาล่ะ...ยูมิ เป็นผู้นำที่ดีของทุกคนแล้วไปช่วยเหลือมนุษยชาติกันเถอะนะ...
[ The End ]
ตามสัญญาคือ จะทิ้งลิ้งค์ไว้ให้ตามอ่านฟิคฉบับยาวและผลงานอื่นๆ ที่บางอันดรอปไปจนนานมากกก ยังไงก็ฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะคะ
https://my.dek-d.com/noohging/writer/
[IMG]
Fate/GO Friend ID and Support Servants
[ อาจเปลี่ยนตามอีเว้นท์ต่างๆ ]