แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Lifejame เมื่อ 2012-3-13 17:32
เยอะมากแต่ลองดูก่อนนะครับ น่าสนใจมากเลยหละครับ
Angel Hair
“เส้นผมนางฟ้า” เป็นปรากฏการณ์ที่หายาก และไม่สามารถอธิบายได้ มันมีลักษณะเป็น
เส้นคล้ายเส้นไหมและตกลงมาจากท้องฟ้า แต่ถ้าเอื้อมมือไปสัมผัสละก็ มันจะอันตรธาน
หายไปต่อหน้าต่อตา เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทั่วโลกแต่จะพบบ่อยในแถบอเมริกาเหนือ,
นิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย, และยุโรปตะวันตก ไม่มีหลักฐานยืนยันแน่นอนว่าเกิดจากอะไร
หรือแม้กระทั่งมันทำมาจากอะไร เป็นที่คาดการณ์ว่ามันอาจจะมาจากแมงมุม หรือจากแมลง
ชักใยชนิดอื่นๆ หรือแม้กระทั่งยูเอฟโอ เนื่องจากมันมักจะเกี่ยวข้องกับการพบเห็นยูเอฟโอ
และเนื่องจากความบอบบางของมัน จึงเป็นเรื่องยากที่จะเก็บตัวอย่างและวิเคราะห์ เพราะ
ว่ามันมักจะได้รับการปนเปื้อนจากไอเสียรถยนต์และการสัมผัสของมนุษย์ ซึ่งสามารถ
เปลี่ยนแปลงผลทางเคมีได้
000---000---000---000---000
Bélmez Faces
http://en.wikipedia.org/wiki/B%C3%A9lmez_Faces
เป็นปรากฏการณ์ประหลาด โดยมีการปรากฏใบหน้าของคน ปรากฏอย่างชัดเจนในบ้าน
Bélmez de la Moraleda บ้านส่วนตัวแห่งหนึ่งที่ตั้งในถนนหมาย เลข 5 , เจยัน,
ในประเทศสเปน โดยเริ่มต้นใน 23 สิงหาคม ปี 1971 เมื่อ María Gómez Cámara
อ้างว่ามีการพบหน้ามนุษย์ประหลาดเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ในชั้นครัวของเธอที่ผนังซีเมนต์
สามีและลูกของเธอจึงทำลายใบหน้านั้นด้วยขวานและฉาบปูนซีเมนต์ใหม่ แต่ปรากฏว่า
ใบหน้าใหม่ก็เกิดขึ้นอีก โดยส่วนใหญ่มักปรากฏบนคอนกรีตของบ้านอย่างต่อเนื่องและ
บางครั้งก็หายไป เมื่อเวลาผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง อีกทั้งใบหน้าเหล่านี้จะปรากฏตัวเป็น
ระยะไม่สม่ำเสมอ หน้าแต่ละหน้าจะไม่เหมือนกัน รูปร่างแตกต่างกัน มีทั้งชายและหญิง
และการแสดงออกต่างกันออกไป
ปัจจุบันบ้านหลังนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว ที่ยอดนิยมในการถ่ายรูป ของหลายสื่อไม่ว่า
จะเป็นหนังสือพิมพ์ท้อง ถิ่น,ประชาชน, นักท่องเที่ยวที่ต่างเข้ามาแวะเวียนกันเพื่อดู
ปรากฏการณ์ที่ว่านี้ หลายคนเชื่อว่าใบหน้าเหล่านี้ไม่ใช้ฝีมือของมนุษย์ และเชื่อว่าเป็น
ปรากฏการณ์ Thoughtographic (ความสามารถในการใช้พลังจิตฉายภาพลงบน
กระดาษหรือรูปถ่าย) ที่เกิดจากพลังจิตของเจ้าของบ้านโดยไม่รู้ตัว
แต่นักวิทยาศาสตร์ยังกังขากับปรากฏการณ์นี้ อาจเป็นการปรากฏการณ์ลึกลับหลอกๆ ซึ่ง
พวกเขาสันนิษฐานว่าเกิดจากการล้างปูนซีเมนต์ และมีวิเคราะห์มวล,โมเลกุล ตัวอย่าง
ซีเมนต์ในบ้านหลังนั้น และพบว่ามันเป็นเรื่องหลอกลวง แต่กระนั้นในเวลาต่อมาหลายคน
ไม่เชื่อ และนักวิทยาศาสตร์บางคนโดนฟ้องอีกต่างหาก ทำให้การไขปริศนาปรากฏการณ์นี้
กลายเป็นเรื่องต้องห้าม เนื่องจากมันได้สร้างรายได้และกำไรเป็นกอบเป็นกำในเมืองแห่งนี้
000---000---000---000---000
Simulacrum in Eagle Nebula (Simulacrum)
http://www.cs.drexel.edu/~gcmastra/truth01.html
ปรากฏการณ์ดังกล่าวถูกเรียกว่า “เทวทูตแห่งอากาศ” คือปรากฏการณ์ที่มนุษย์มองเห็น
ภาพบุคคล สัญลักษณ์ทางศาสนาจากเมฆ หรือ แล้วแต่จะจินตนาการตีความ ส่วนภาพ
ด้านบนเป็นภาพที่ถูกถ่ายเมื่อปี 1995 โดยกล้องของ ฮับเบิล ได้จับภาพ Eagle Nebula
(Nebula คือกลุ่มเมฆ หมอกของฝุ่น แก๊ส และพลาสมาในอวกาศที่เป็นต้นกำเนิด
ของดวงดาว) และแพร่ภาพออกอากาศทางสถานี CNN ประชาชนจำนวนมากที่ เห็นภาพ
ดังกล่าว ต่างโทรศัพท์มาบอกทางสถานีว่า พวกเขาเห็นภาพของมนุษย์ เทพเจ้า
พระเยซูฯลฯ และนักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถอธิบายปรากฏการณ์นี้ได้
000---000---000---000---000
The taos hum
http://en.wikipedia.org/wiki/Taos_Hum
“เสียงฮัมลึกลับ” เป็นเสียงต่ำแปลกๆ ที่เกิดขึ้นเฉพาะในสหรัฐอเมริกา (ในปี ค.ศ.1977),
อังกฤษ และยุโรปเหนือ ที่มักได้ยินเสียงฮัมต่ำๆ คล้ายๆ เครื่องยนต์ดีเซลแปลกๆ (เช่นเครื่องใช้ในครัวเรือน, เสียงจราจรเป็นต้น) โดยเจ้าเสียงที่ว่านี้ ดังติดต่อกันตลอดเวลา แต่
บางทีก็เว้นจังหวะเป็นระยะแบบสม่ำเสมอกัน และเสียงนี้จะเข้มข้นตอนกลางคืนทำให้ผู้
ได้ยินเป็นประสาทตามๆกัน โดยเสียงที่ว่านี้จะต้องตั้งใจฟังในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ
เท่านั้น เช่น ทะเลทรายในนิวเม็กซิโก, เกาะฮาวาย โดยไม่มีใครรู้ว่าต้นเสียงมาจากไหน
ใน ปี 1977 มีการตรวจสอบโดยตรงจากวิทยาศาสตร์จากสถาบันที่มีชื่อเสียงในประเทศ
อเมริกา โดยทำการสำรวจและวัดคลื่นความถี่ของเสียงปริศนาในท้องที่และรอบๆ เมือง
Taos นิวเม็กซิโก (โดยปกติเสียงนี้พบยากต้องใช้ไมโครเฟนพิเศษช่วย) พบว่าเสียงฮัมเบาๆ
นี้มีความถี่ของเสียงประมาณ 30-80 Hz แต่เหลือเชื่อ ตรงที่ใช่ทุกคนจะได้ยิน มีบางคน
ที่ได้ยินเสียงนี่เท่านั้น โดยจากสถิตพบคนในเมือง Taos ได้ยินเสียงนี้เพียง 2 เปอร์เซ็นต์
เท่านั้น ส่วนสาเหตุไม่พบว่าเสียง ปริศนานี้เกิดจากอะไร บ้างก็สันนิษฐานว่า เป็นหูอื้อ,
เสียงลม, คลื่นมหาสมุทร ไม่ก็ยูเอฟโอ ฯลฯ
000---000---000---000---000
Disappearing Lake
http://www.dmr.go.th/ewt_news.php?nid=3219&filename=news_dmr
ในเดือนพฤษภาคม 2007 ทะเลสาบภูเขาน้ำแข็ง เขต “มากายาเนส” ในปาตาโกเนีย
ทางตอนใต้ของเทือกเขาแอนดีส ประเทศชิลี เกิดอันตรธานหายไปอย่างลึกลับ อย่าง
น่าพิศวง ทั้งๆที่ขนาดทะเลสาบมีถึง 5 เอเคอร์ หรือในราวๆ สนามฟุตบอล 10 สนาม
โดยเจ้าหน้าที่อุทยานอธิบายว่าพวกเขาเห็นทะเลสาบยังเป็นปกติอยู่ในช่วงสองเดือน
ที่ผ่านมา และจู่ๆ มันก็หายไปพริบตา กลายเป็นแอ่งขรุขระขนาดใหญ่ น้ำเหือดแห้งไปหมด
มีเพียงก้อนน้ำแข็งจำนวนมากนอนก้นอยู่ จากเดิมที่ลอยอยู่บนผิวน้ำ ปริศนานี้ทำให้นัก
ธรณีวิทยางงงวย และอยากทราบคำตอบมาก ว่าเกิดอะไรขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญหลายคน
ตั้งทฤษฎีหลายทฤษฏีว่าแผ่น ดินแยกตัว และกลืนน้ำในทะเลสาบลงไป แต่กระนั้นจาก
การตรวจสอบไม่มีรายงานว่ามีเหตุการณ์แผ่นดินไหวเกิดขึ้นในพื้นที่นี้แต่อย่างใด
000---000---000---000---000
Dancing mania
http://en.wikipedia.org/wiki/Dancing_mania
“โรคชอบเต้น” เป็นปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในแผ่นดินยุโรประหว่างศตวรรษ
ที่ 14 และ 18 โดยจะเกิดขึ้นกับกลุ่มคนชายและหญิง ที่จู่ๆ เต้นท่าพิลึกโดยไม่ทราบ
สาเหตุ และจะเต้นรำผ่านถนนหรือในเมืองใหญ่ๆ นอกจากนี้ยังมีฟองที่ปาก และจะหยุด
ไปเองหากร่างกายอ่อนล้าเพลียและรับไม่ไหว
การระบาดของโรคชอบเต้นนี้เกิดครั้งแรกในอาเค่น (เป็นเมืองที่อยู่ด้านตะวันตกสุด
ของประเทศเยอรมนี ติดกับพรมแดนประเทศเนเธอร์แลนด์และเบลเยียม), เยอรมัน เมื่อ
24 มิถุนายน 1374 ประชาชนที่เดินถนน จู่ๆ ก็แผดร้อง, จิตหลอน และเต้นรำ ทั้งยังดิ้นและ
บิดตัว จนกระทั้งหมดแรงแม้กระทั้งจะยืน และแล้วโรคชอบเต้นก็กระจายไปอย่างรวดเร็วไป
ทั่วยุโรป ทั้งเนเธอร์แลนด์, โคโลญ, เมต้า และตามเส้นทางแสวงบุญ ทำให้มีข้อสันนิษฐาน
ว่าโรคนี้เป็นโรคประสาทประเภทโรคอุปทานหมู่มากกว่า และมีการเชื่อมโยงไปความบ้าคลั่ง
ศาสนาของคนยุโรป
นอกจากนี้ยังสันนิษฐานว่าอาจจะเกิดจากการกินข้าวไร่ที่มีเชื้อคลาวิเซพส์ เพอร์พูเรีย
(Claviceps purpurea) ซึ่งเป็นเชื้อราขนาดเล็กที่มีพิษ ซึ่งเป็นยาหลอนประสาทชนิดรุนแรง
แต่จนบัดนี้ก็ยังไม่สามารถหาคำตอบที่แท้จริงได้??
000---000---000---000---000
Raining Blobs
http://berthabutton.tumblr.com/post/344857614
ชาวเมือง Oakville กรุงวอชิงตัน ต้องประหลาดใจ เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 1994 เกิดฝนตก
ห่าใหญ่ แต่แทนที่จะเป็นฝนธรรมดา ชาวเมืองกลับเห็นลักษณะหยดน้ำฝนแตกต่างกันออก
ไปจากทุกครั้ง มันมีลักษณะเหมือนวุ้นเหมือนกาวนับไม่ถ้วนกำลังตกลงมาจากฟากฟ้า
หลังจากนั้นเกือบทุกคนในเมืองมีอาการป่วยเหมือนไข้หวัดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุและ
เป็นนานถึง 7 วัน ถึง 3 เดือน หลังจากสัมผัสและกินฝนวุ้นกาวนี้เข้าไป จึงมีการเอาตัวอย่าง
หยดน้ำฝนเพื่อตรวจสอบ ก็พบเรื่องตะลึงเพราะในหยดน้ำฝนมีเซลล์เม็ดเลือดขาวของมนุษย์
กรมอนามัยของวอชิงตันวิเคราะห์เพิ่มเติมว่าสาเหตุที่ฝนตกมาเป็นกาววุ้นนั้น มีแบคทีเรีย
อย่างหนึ่งที่พบในระบบย่อยอาหารของมนุษย์ด้วย แต่จนบัดนี้ยังไม่มีผู้ใดสามารถอธิบาย
การเกิดฝนลักษณะนี้ได้เลยว่ามันเกิด จากอะไรกันแน่??
000---000---000---000---000
The Monkey Man of Delhi
http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=376491&chapter=38
ในเดือนพฤษภาคม ปี 2001 มีรายงานประหลาดที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงอินเดียที่เมืองเดลี
จู่ๆ ก็มีลิงที่รูปร่างประหลาดจู่โจมคนในกลางดึก ลิงรูปร่างประหลาดนี้มีลักษณะที่แตกต่าง
กันออกไป แทบไม่เหมือนกันเลยสักคน บ้างมาเป็นฝูง มีทั้งของแท้ของเทียม บางคนเห็น
มันแต่งชุดขาวๆ พันผ้าพันแผลเหมือนมัมมี่ อีกคนบอกว่ามันแต่งชุดดำ คนโน้นบอกว่ามัน
ทาลำตัวด้วยสีน้ำเงิน คนโน้นก็บอกว่ามีขนรุงรังสีน้ำตาล ส่วนศีรษะนั้น บางคนบอกว่า
เหมือนลิง บางก็ว่าสวมเกราะอีกที่หนึ่ง คนหนึ่งบอกว่ามันมีดวงไฟสีฟ้ากับสีแดงวูบๆ วาบๆ
และดวงตามีสีแดงบ้าง สีเขียวบ้าง แต่ที่ตรงกันทุกรายคือมันมีกรงเล็บเป็นโลหะสีแวววาว
บางรายสรุปว่า น่าจะเป็นมนุษย์ต่างดาวหรือหุ่นยนต์บังคับ ส่วนความสูงมันก็ก็มีหลายแบบ
มีตั้งแต่ 137 ซ.ม. ไปจนถึง 183 ซ.ม. (สงสัยจะเป็นพ่อลูกมั้ง) ทั้งยังกระโดดสูงได้ เหาะได้
หายตัวได้ด้วย
และพวกมันหยุดอาละวาดลงเมื่อมีเหตุการณ์ฆ่ากันตาย และมันก็ไม่กลับมาอีกเลย มีผู้รู้
หลายคนออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับลิงดาลีนี้ว่าน่าจะเป็นปรากฏการณ์ ภาพลวงตาหมู่
(MASS DELUSION) บ้างก็ว่าเป็นคนบ้าที่ หาทางออกจากความเก็บกดด้วยการแสดงอำนาจ
เหนือผู้อื่น
ส่วนนายแพทย์คนหนึ่งก็พยายามอธิบายว่า อาจเกิดขึ้นเพราะความตื่นตระหนก ตื่นตูม
โดยไม่พิจารณาให้ถ่องแท้ก่อน และอาจเป็นต้นเหตุข่าวลือผิดๆ ถูกๆ นี้ได้ เช่น ถ้าเรา
โยนถุงมือลงหน้าต่างแล้วร้องออกมาว่ามือลิงๆ ผลคือชาวบ้านตกใจกันโดยทั่ว นอกจากนี้
ยังมีอีกกระแสว่ามนุษย์ลิงเป็นเรื่องกุขึ้น โดยฝีมือสปายฝ่ายปากีสถานที่ต้องการทำลาย
ความมั่งคงและความน่าเชื่อถือของรัฐบาลอินเดีย หรือบางข่าวบอกว่าเป็นฝีมือของแก๊ง
กวนเมืองที่ลองฝีมือของตำรวจเดลี หรือไม่ก็เป็นสายลับปากีสถานที่พยายามก่อกวน
อินเดีย ฯลฯ แต่จนบัดนี้ก็ไม่ได้คำตอบแต่อย่างใดเลย??
000---000---000---000---000
Globster
http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=376491&chapter=49
กล็อบ สเตอร์ (Globster) เป็นมวลอินทรีย์ลึกลับที่ไม่สามารถอธิบายได้ว่ามันคืออะไร
กันแน่ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญมักจะตั้งมันว่า “กล็อบสเตอร์” (Globster) เอาไว้ก่อน มันมัก
ปรากฏตัวออกมาโดยการเกยตื้นตามชายทะเลหรือมหาสมุทร
โดยลักษณะของมันจะเป็นก้อนๆ ไม่มีตา, ไม่มีหัว และโครงสร้างของกระดูกไม่ชัดเจน
(แต่บางคนบอกว่ามีตา,มีหัวและโครงหมด) จุดเด่นมี “ขน” และ “มีเส้นใย” หนังเหนียว
มากจนเฉือนแทบไม่เข้า และเมื่อนำเนื้อเยื่อไปตรวจสอบพบว่ามันประกอบด้วยคอลาเจน
เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งแต่ละชิ้นมีขนาดใหญ่โตมากๆ น้ำหนักเป็นตัน และส่งกลิ่นเหม็นเน่า
บางชิ้นพบว่ามีรอยการกัดกินของปลาฉลามขนาดใหญ่ หรือรอยฉีดขาดจากการต่อสู้กับ
ปลาหมึกยักษ์
จากการวิเคราะห์เนื้อเยื่อนักวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตอบได้ว่ามันเป็นสัตว์อะไร มีคน
สันนิษฐานว่ามันเป็นปลาหมึกยักษ์ หรือเป็นมันเปลวของปลาวาฬนั้น ปรากฏว่ามัน
ไม่ใช่ปลาหมึก และกระนั้นเคยมีคนทดลองมัน โดยเปรียบเทียบเนื้อเยื่อของปลาหมึก
และเนื้อเยื่อของเปลวปลาวาฬ พบว่าการเรียงตัวของคอลลาเจนนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง
สำหรับกรณีกล็อบสเตอร์ที่ดังๆ ก็เช่น
St. Augustine Monster (1896),
Dunk Island Carcass (1948),
Melbourne-Hobart Carcass (1958),
Tasmanian Globster (1960),
New Zealand Globster (1968),
Tasmanian Globster 2 (1970) เป็นต้น
000---000---000---000---000
Bridgewater Triangle
http://en.wikipedia.org/wiki/Bridgewater_Triangle
หากสามเหลี่ยมเบอร์บิวด้า เป็นพิศวงแห่งท้องทะเลละก็ สามเหลี่ยมบริดจ์วอเตอร์
ก็ถือว่าเป็นพิศวงทางพื้นดินเหมือนกัน สามเหลี่ยมบริดจ์วอเตอร์นั้นเป็นหนึ่งในสถานที่
ที่พิศวงแห่งหนึ่งของโลก มีพื้นที่ประมาณ 200 ตารางไมล์ (520 กิโลเมตร) อยู่ทาง
ทิศตะวันออกเฉียงใต้ของ รัฐแมสซาชูเซตส์ เป็นสามเหลี่ยมที่ลากเมือง Abington,
Rehoboth และ Freetown มาบรรจบกันจนเป็นรูปสามเหลี่ยม และภายในสามเหลี่ยมนี้
มีเหตุการณ์และปรากฏการณ์ลึกลับมากมายไม่ว่าจะเป็นการพบจานบิน, Black Helicopter
(เฮลิคอปเตอร์ สีดำลึกลับ), ลูกไฟ, บิ๊กฟุต, งูยักษ์, เงาประหลาด, การชำแหละวัวในท้อง
ทุ่ง(Cattle Mutilation Phenomena) ฯลฯ
สถานที่สำคัญที่มักเกิดเหตุการณ์ประหลาดในสามเหลี่ยมบริดจ์วอเตอร์ มีหลายจุดที่สำคัญ
ก็เช่น Hockomock Swamp เป็นบึงขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางสามเหลี่ยมบริดจ์วอเตอร์ถูก
เรียกว่า “บึงของปีศาจ” โดยสมัยก่อนนั้นเป็นที่ฝังศพของอินเดียแดง และอินเดียแดงได้
สาปแช่งเอาไว้หลังจากโดนคนขาวเข้ายึดครอง จนกลายสถานที่ที่คนไม่กล้าเข้ามา
เพราะมีเสียงเล่าลือว่าผีดุและมีบิ๊กฟุตปรากฏตัวอยู่
อีกสถานที่ที่สำคัญก็คือ Dighton Rock เป็นหินจารึกอักษรประหลาดที่พบในเขตรอบๆ
สามเหลี่ยม และสถานที่ที่พบเหตุการณ์แปลกประหลาดเยอะที่สุดคือ Freetown-Fall
River State Forest เป็นป่าที่หลายคนอ้างว่าพบเหตุการณ์ประหลาดมาก อันเนื่องสาเหตุ
มาจากคำสาปแช่งของเผ่าพื้นเมืองเมื่อ 350 ปีก่อน มีการพบสัตว์ร้ายประหลาด และ การ
ชำแหละวัวในท้องทุ่งในท้องที่นี้
และ นี้คือรายงานส่วนหนึ่งของการเกิดสิ่งเหนือธรรมชาติในพื้นที่แห่งนี้
– มีการพบยูเอฟโอครั้งแรกในพื้นที่แห่งนี้เมื่อปี 1760 ในลักษณะทรงกลมเหมือนลูกไฟ
หลังจากนั้นก็มีการพบยูเอฟโอต่อเนื่องแม้เวลาจะ ผ่านไปนานถึง 300 ปีแล้วก็ตาม
– มีการพบบิ๊กฟุตหรือครึ่งคนครึ่งลิงหลายครั้งตรงจุดบึงของปีศาจ หลายครั้ง
– มีรายงานการพบนกยักษ์หรือไดโนเสาร์บินได้อย่างเทโรแดกทิลที่มีความยาวประมาณ
8-12 ฟุตในจุดบึ่งปีศาจ
– มีการพบงูยักษ์ เต่ายักษ์ในหลายๆ จุด
- ในปี 1976 มีการพบสุนัขปีศาจขนาดใหญ่ ดวงตาสีแดงและมันฆ่าม้าเล็ก มีพยานบอก
ว่าพวกเขาพยายามยิงมันด้วยปืนแต่มันไม่เป็นผล
- มีปรากฏการณ์ประหลาดจำพวกไฟลึกลับบ่อยครั้งในพื้นที่ลุ่มหรือหนอง
- นักโบราณคดีขุดพบสุสานลึกลับใน Hockomock บูชายันต์สัตว์ และอาจรวมถึงมนุษย์ด้วย
ในปี 1980 มีรายงานว่าหลายพื้นที่มีสัตว์ถูกฆ่าด้วยฝีมือมนุษย์จำนวนมาก และไม่ทราบว่า
เป็นฝีมือของใคร
- มีรายงานการพบและได้ยินเสียง Black Helicopter ยานพาหนะ ลึกลับ อาวุธยุทโธปกรณ์
หรือเครื่องบินที่มีความลึกลับและไม่ปรากฏที่มา บริษัทผู้สร้างหรือแม้กระทั่งจุดมุ่งหมาย
และเป้าหมายในการสร้างขึ้นมาด้วย จุดประสงค์อะไร ครั้งแรก ใน Rehoboth เมื่อ 25
มิถุนายน 2002 จนถึงปัจจุบันยังพบเนื่องๆ
- และมีการพบผีที่เป็นดวงวิญญาณตามสุสาน และผีในรูปร่างคนที่โบกรถและหายไปเมื่อ
ได้ขึ้นรถที่จอดรับ
000---000---000---000---000
Lost Dutchman’s Gold Mine
ลายแทงเหมืองทองดัทช์แมน (Dutchman Goldmine : Apache Junction,
Arizona) ว่ากันว่านี้คือขุมทรัพย์ที่อันตรายที่สุดในโลก ซึ่งว่ากันมีทองจำนวนมหาศาล
ถูกซ่อนในเทือกเขาซูเปอร์สติชั่นอันร้อนระอุแห่งอริโซน่า ที่มีชื่อเสียงเรื่องแร่ทองอุดม
สมบูรณ์ที่แฝงไปด้วยความอันตราย
แต่ปัจจุบันกลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามไม่ให้บุคคลภายนอกเข้า ซึ่งการตั้งชื่อว่าดัทซ์แมนก็
เนื่องมากจากนักอพยพชาวเยอรมัน Jacob Waltz (ชาวดัทซ์เป็นคำสแลงของอเมริกัน
ที่กล่าวถึงผู้อพยพ) ในตำนานเล่าว่าเหมืองทองคำมูลค่าถึง 200 ล้านเหรียญ เชื้อเชิญ
นักขุดทองเข้าไปใกล้ๆ ตำนานรหัสลับของเหมืองทองที่ปัจจุบันยังไม่คลี่คลาย นักล่า
สมบัติ รอน เฟลด์แมน และเดวิด ฮินช์คลิฟ ทำการสำรวจเทือกเขาอันตราย ถึงแม้การ
ตามล่าลายแทงสมบัติของพวกเขาในครั้งนี้สูญเปล่า แต่ทฤษฎี และข้อสันนิษฐานที่ได้ของ
ทั้งคู่จะเป็นแนวทางที่ดีของ การเริ่มต้นค้นหาใหม่ในครั้งต่อไป
000---000---000---000---000
Chase Vault
ในศตวรรษที่ 18 ตระกูล Walronds พวกเขาเป็นตระกูลที่ร่ำรวย และได้สร้างสุสานของ
ตระกูลเอาไว้ เป็นสุสานขนาดใหญ่ที่แน่นหนา ปิดผลึกด้วยประตูหินอ่อนขนาดใหญ่ ซึ่ง
ที่นั้นได้บรรจุศพครอบครัวของตระกูลนี้ไว้ และมีการบรรจุศพสมาชิกครอบครัวหนึ่ง ชื่อ
นาง Thomasina Goddard ในปี 1807
และต่อจากนั้นตระกูลเชสก็ซื้อสุสานต่อและฝังศพ ลูกสาวสองคนในปี 1808 และ 1812
และปิดผนึกด้วยประตูหินอ่อนอีกครั้งนานหลายปี ซึ่งในเวลานั้นไม่มีใครเข้าสุสานสักคน
แต่แล้วเรื่องพิศวงก็เกิด ขึ้นหลังจากนั้นเมื่อ อัลเฟร็ด รัสเซล วอลเลซ (Alfred Russel
Wallace) บรรยายถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่บัลทิคในปี 1844 ว่าเกิดความไม่สงบและ
ประหลาดในสุสานอาเรนสบวร์กที่เกาะเบาร์บาดอส ฝั่งตะวันออกของทะเลแคริบเบียน
ของตระกูลเซล จู่ๆ โลงศพถูกย้ายล้มคว่ำในห้องใต้ดินที่ถูกล็อกปิดตายในโบสถ์คริสต์
เรื่องแปลกก็คือ ทุกครั้งที่เปิดห้องเก็บศพออกมา เพื่อนำศพของคนตระกูลเชสไปเก็บ
ต้องพบว่าศพถูกสลับที่สลับทาง และล้มพลิกคว่ำอย่างง่ายดายทั้งๆที่แต่ละศพนั้นหนักอึ้ง
ขนาดต้องใช้ผู้ชายแข็งแรงแปดคนจึงจะย้ายไปได้ นอกจากนี้ห้องยังล็อกแน่นหนา
บางครั้งมีคนได้ยินเสียงครางดังออกมาจากห้องตอนค่ำคืน และเหล่าม้าและ สัตว์เลี้ยง
ต่างหวาดกลัวที่จะเข้าไปใกล้สถานที่เก็บศพนั้น
หลุมศพถูกย้ายที่หมด ยกเว้นหลุมศพของนาง Goddard ที่ยังคงตั้งอยู่ อย่างสงบในมุมห้องเท่านั้น
มีหลายทฤษฎีเหมือนกันถูกนำมาอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นเช่น น้ำท่วม (โบสถ์แห่งนี้ตั้งอยู่ริม
ฝั่ง และเคยถูกพายุทำลายเสียหายหลายครั้ง) บ้างอธิบายว่าเป็นเพราะสนามแม่เหล็ก
โจรเข้ามาลักทรัพย์ ผีดิบ และแผ่นดินไหว แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไขไม่ออกในปัจจุบัน
000---000---000---000---000
Red Rain in Kerala
ในปี ค.ศ.1890 ที่เมืองแมสซิก นาดี แคว้นคาลาเบรีย อิตาลี เกิดฝนตกลงมีแดง เมื่อนำ
ไปพิสูจน์ดูพบว่ามันเป็นเลือดของนก ซึ่งตอนนั้นมีการสันนิษฐานว่านก ที่กำลังบินอพยพ
เกิดไปเจอลมแปรปรวน จนร่างนกเหล่านั้นฉีดขาดและเลือดปลิวกระจายเหมือนฝน
แต่ปัญหาที่ตามมาคือ หากเป็นเช่นนั้นจริง แต่ทำไมถึงไม่มีเนื้อหนังหรือกระดูกหล่นมาให้
เห็นด้วย ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวถึงบันทึกในวารสารวิทยาศาสตร์ Popular Science News
ฉบับ 35 (ไม่ทราบปีพิมพ์)
วันที่ 1 กันยายน 1969 ที่ฟาร์มของเจ.ฮันดันสัน ในเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่แคลิฟอร์เนีย
เกิดเหตุการณ์คล้ายกัน เพียงแต่คราวนี้มีเศษเนื้อปลิวลงมาด้วยนานถึงสามนาที ซึ่ง
สันนิษฐานว่าจะเป็นเนื้อของเหยื่อที่ล่ามาได้แล้วบินผ่านไป
17 สิงหาคม 1841 ที่ไร่ยาสูบในเมืองเลบานอน รัฐเทนเนสซี เวลาเที่ยงวัน จู่ๆ มีเมฆ
ประหลาดลอยผ่านบริเวณนั้น แล้วมีฝนตกลงมาพร้อมเศษเนื้อและไขมันยาวประมาณ
1.58 นิ้ว กลิ่นแรงมาก บทความถูกตีพิมพ์ในนิตยสาร Ameican Journal of Science
ฉบับ ที่ 44
แต่เหตุการณ์ที่น่าพิศวงที่สุดเกิดขึ้นในปี 2001 ที่อินเดีย เมืองเกราลา ในช่วงเดือน
กรกฎาคมถึงกันยายน ที่เดียวกับมหาลัยมหาตมะ คานธี โดยฝนมีลักษณะคล้ายกับเลือด,
สีเหลืองเขียว และสีดำ ซึ่งฝนเหล่านี้ตกเหมือนฝนทั่วๆไป และมีฟ้าผ่าตามมา จากการ
ตรวจสอบพบว่าฝนแดงเหล่านี้มีเซลล์บางอย่างที่เหมือนกับเป็นเซลล์สิ่งมีชีวิต หากเรื่อง
พิศวง คือเมื่อทำการตรวจสอบโดยกล้องจุลทรรศน์อิเล็คทรอนที่มีกำลังขยายหลายหมื่นเท่า
พบว่าโครงสร้างเซลล์นั้นประกอบด้วยคาร์บอนและออกซิเจน แต่ไม่ปรากฏ DNA แต่อย่างใด
จนทำให้หลายฝ่ายคิดว่าเซลล์เหล่านี้ไม่ใช้เซลล์ที่อยู่บนโลก หรือคือสิ่งมีชีวิตรูปแบบใหม่
จากนอกโลกที่มาพร้อมกับดาวหาง หรือเข้ามาบนโลกพร้อมเศษอุกาบาตก็เป็นไปได้…. ข้อมูลจาก : http://www.oknation.net/blog/bigeye2009/2010/12/22/entry-2
“ปรากฏการณ์ลึกลับ”ที่ยังเป็น “ปริศนา” ของโลก
[IMG]