แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย UNDERTAKER เมื่อ 2012-3-21 03:38
1. The Star of Africa (Cullinan 1) Diamond
เคยเป็นเพชรเจียระไนที่ใหญ่ที่สุดในโลก (ปัจจุบัน Golden Jubilee เป็นเพชรเจียระไนที่ใหญ่ที่สุดในโลก) มีน้ำหนัก 530.20 กะรัต
พบที่เหมืองพรีเมียร์ ในแอฟริกาใต้ เมื่อคริสต์ศักราช 1905 ก่อนเจียระไนมีน้ำหนักถึง 3,106 กะรัต พระเจ้าเอ็ดเวิร์ดที่ 7 แห่งอังกฤษ
ได้รับมอบเพชรนี้เมื่อคริสต์ศักราช 1907 จากนั้น Joseph Asscher & Company ที่อัมสเตอร์ดัม
ได้เจียระไนแบ่งออกเป็ฯเพชรเม็ดใหญ่ เพชรเม็ดเล็ก และเพชรขนาด 9.5 กะรัต อีกหลายเม็ด เพชรเม็ดใหญ่ที่สุดคือ Cullinan 1
ถูกเจียระไนเป็นรูปหยดน้ำ และนำไปประดับที่พระคทาของกษัตริย์อังกฤษ
ปัจจุบันตั้งแสดงอยู่ที่พระคลังเครื่องเพชรของพระราชวงศ์อังกฤษที่หอคอยแห่งกรุงลอนดอน
2. Koh-I-Noor Diamond
เพชรโก อิ นัวร์ ซึ่งหนัก 186 กะรัต เป็นเพชรที่เก่าแก่ที่สุดในบรรดาเพชรที่มีชื่อเสียงต่าง ๆ
เรื่องราวดั้งเดิมเกี่ยวกับเพชรนี้มาจากหลายแหล่ง ตามตำนานฮินดูโบราณกล่าวว่า พระกฤษณะ (Krishna) เป็นผู้สวมใส่เพชรเม็ดนี้
บ้างก็ว่าเพชรนี้ถูกพบในแม่น้ำโกทาวรี (Godavari) ในอินเดียตอนกลางเมื่อ 4,000 ปีมาแล้ว และราชากานาแห่งอังกา (Gana Rajah of Anga)
เป็นผู้สวมใส่ แต่ราชาผู้น่าสงสารผู้นี้ก็ตกเป็นเหยื่อรายแรกของเพชรเม็ดนี้ซึ่งมีคำสาปที่น่าสะพรึงกลัวอยู่
ในขณะที่กำลังขี่ม้าเข้าสู่สนามรบพร้อมกับเพชรเม็ดนี้ ราชาถูกฆ่าในสนามรบ เล่ากันในภายหลังว่า
"ผู้ใดครองเพชรเม็ดนี้จักได้ครองโลก หากแต่จักพบพานความโชคร้ายต่าง ๆ ของมันด้วย"
จะมีก็แต่พระเจ้าหรือผู้หญิงที่สามารถสวมใส่ได้โดยที่จะไม่ถูกลงโทษ
อย่างไรก็ตาม บันทึกอ้างอิงฉบับแรก ๆ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์เพชรเม็ดนี้เริ่มต้นเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 14 ว่า พบเพชรเม็ดนี้ทางตอนใต้ของประเทศอินเดีย บริเวณริมแม่น้ำโกทาวรี ราว ค.ศ. 1304 ชาวนาคนหนึ่งพบวัตถุเป็นมันวาวชิ้นหนึ่งในดินโคลนหลังจากคืนฝนตก
เพชรเม็ดนี้ซึ่งสวยงามมากเป็นพิเศษก็ได้กลายเป็นที่รู้จักในอินเดียและถูกนำไปประดับบนมงกุฎของมหาราชาแห่งกอลคอนดา
ภายหลังเพชรเม็ดนี้ตกเป็นสมบัติของตระกูลโมกุลผู้ยิ่งใหญ่ และมีค่าโดยประมาณเท่ากับรายได้ใน 1 วันของประชากรทั้งหมดบนโลก
เพชรโก อิ นัวร์ ตกทอดจากทรราชคนหนึ่งไปสู่อีกคนหนึ่ง ครั้งหนึ่งเคยเป็นของโมฮัมเหม็ด ชาร์ (Mohammed Shah)
และตกทอดสู่นาดีร์ ชาห์ (Nadir Shah) ซึ่งได้อุทานออกมาว่า "โก อิ นัวร์" ซึ่งหมายความว่า "ภูเขาแห่งแสงสว่าง"
ระหว่างที่เขาได้เห็นเพชรอันวิจิตรงดงามนี้ที่เขาได้แย่งชิงมาจากโมฮัมเหม็ด ชาห์ ใน ค.ศ. 1739 ท้ายสุดแล้วเพชรก็ไปตกอยู่ที่รานจีท สิงห์ (Ranjeet Singh) แห่งปัญจาบใน ค.ศ. 1833 ใน ค.ศ. 1850 บริษัทอินเดียตะวันออกได้ทูลเกล้าฯ ถวายเพชรโก อิ นัวร์ ที่ลือชื่อแด่สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย เพชรเม็ดนี้เป็นของขวัญวิเศษชิ้นหนึ่ง ขณะนี้เพชรสามารถประเมินค่าได้เป็นราคา 700,000 ดอลลาร์สหรัฐ สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียทรงตัดสินพระทัยที่จะให้นักเจียระไนเพชรชื่อวัวร์ซานเจอร์ (Voorzanger) เจียระไนเพชรนี้ใหม่
เขาใช้เวลา 8 วันในการเจียระไนให้เป็นรูปทรงรีหรือรูปไข่ หนัก 108.93 กะรัต และมีความแวววาวเป็นพิเศษ
สมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียได้ทรงประดับเพชรนี้ไว้บนเข็มกลัดและทรงระบุไว้ในพระพินัยกรรมให้เพชรโก อิ นัวร์ แก่ผู้ที่เป็นกษัตริย์และผู้หญิงเท่านั้น
ปัจจุบันเราสามารถชมเพชรชื่อดังเม็ดนี้ได้ที่ทาวเวอร์ออฟลอนดอน โดยเพชรเม็ดนี้ประดับอยู่บนมัลทีส ครอส (Maltese Cross) ด้านหน้าของมงกุฎซึ่งสร้างขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1937 สำหรับพระราชมารดาสมเด็จพระราชินีนาถอลิซาเบท
3. The Regent Diamond
จัดเป็นหนึ่งในบรรดาเพชรที่สวยที่สุดในโลก มีน้ำหนัก 140.50 กะรัต เพชรเม็ดนี้มีประวัติและตำนานพิสดารมากมายเช่นเดียวกับเพชรที่มีชื่อเสียงทั้งหลาย โดยถูกค้นพบที่อินเดีย และได้รับการเรียกขานว่า "The Pitt Diamond" ตามชื่อผู้ว่าราชการของเมืองมัทราสในยุคนั้น คือ Thomas Pitt เขาได้นำเพชรเม็ดนี้ไปเจียระไนใหม่ที่อังกฤษ ในคริสต์ศักราช 1717
ต่อมา Thomas Pitt ได้ขายเพชรเม็ดนี้ให้กับฟิลิปส์ ดยุค แห่งออร์ลีน และรีเจนท์แห่งฝรั่งเศส เพชรเม็ดนี้จึงได้ชื่อใหม่ว่า "The Regent" และก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในพระคลังสมบัติของฝรั่งเศสช่วงยุคแห่งการปฎิวัติ และยุคสมัยนโปเลียน "The Regent" ได้ถูกภัยคุกคามอีกหลายครั้ง
จนกระทั่งถึงคริสต์ศักราช 1887 จึงได้รับยกเว้นจากการขายทอดตลาดของพระคลังสมบัติ และได้ถูกนำออกแสดงแก่สาธารณชนที่พิพิธภัณฑ์ลูฟร์ จนกระทั่งทุกวันนี้
4. The Orloff Diamond
จัดเป็นเพชรที่มีขนาดใหญ่ และมีชื่อเสียงมากที่สุดเม็ดหนึ่งของโลก อีกทั้งยังเป็นเพชรที่มีความสำคัญมากในกองทุนเพชรของมอสโคว์
มีน้ำหนักรวม 189.62 กะรัต ปัจจุบันเพชรเม็ดนี้ประดับอยู่บนคธาของกษัตริย์รัสเซีย ซึ่งตั้งแสดงอยู่ ณ พิพิธภัณฑ์เครมลิน ในกรุงมอสโคว์
ลักษณะของเพชร Orloff ดูคล้ายคลึงกับคำบรรยายลักษณะของเพชร "เกรทโมกุล" จึงเป็นไปได้ว่า เพชรทั้งสองนี้อาจเป็นเพชรเม็ดเดียวกัน ซึ่งต่อมาถูกนำไปเจียระไนใหม่ ตามประวัติ เพชรเม็ดนี้เคยถูกนำไปประดับที่ตาข้างหนึ่งของเทวรูปฮินดู ก่อนที่จะถูกทหารฝรั่งเศสผู้หนึ่งขโมยออกมาจากโบสถ์กลางศตวรรษที่ 18 และได้ตกมาถึงมือของพ่อค้าชาวเปอร์เซีย ซึ่งได้นำไปขายต่อในราคาที่แพงมหาศาลให้กับ Gregory Orloff อดีตชู้รักของจักรพรรดินีแคทเธอรีนแห่งรัสเซีย Orloff ได้ถวายเพชรเม็ดนี้แด่จักรพรรดินีแคทเธอรีน ด้วยหวังว่าจะได้รับความรักความชอบกลับคืนมา แต่พระองค์ปฏิเสธที่จะคืนดีด้วย และไม่เคยสวมเพชรเม็ดนี้เลย อย่างไรก็ตาม พระองค์ได้นำเพชรเม็ดนี้ไปประดับที่คธา ซึ่งยังคงสภาพเดิมอยู่จนถึงทุกวันนี้
5. Golden Jubilee Diamond
เป็นเพชรเจียระไนเม็ดใหญ่ที่สุดในโลก เดิมเป็นที่รู้จักกันในนาม "Unnamed Brown" ต่อมาได้ชื่อใหม่ว่า
"Golden Jubilee (เพชรกาญจนาภิเษก)"
ทั้งนี้ เนื่องในโอกาสที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี เมื่อพุทธศักราช 2539 เพชรเม็ดนี้ได้ถูกนำมาแสดงในงาน บี.โอ.ไอ. แฟร์ ที่แหลมฉบัง เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการจัดงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว Golden Jubilee มีน้ำหนัก 545 กะรัต เพชรเม็ดนี้ได้รับการระบุลักษณะว่าเป็นเพชรสีแฟนซี สีน้ำตาลเหลืองตามธรรมชาติโดยห้องวิเคราะห์ปฏิบัติการของ GIA ผลึกเพชรก่อนการเจียระไนมีน้ำหนัก 755.50 กะรัต ขุดพบที่เหมืองพรีเมียร์ ในแอฟริกาใต้ เมื่อคริสต์ศักราช 1986 การเจียระไนเพชรเม็ดนี้ใช้เวลาประมาณ 3 ปี โดยช่างเจียระไนเพชรที่มีชื่อเสียงชื่อ นายโชล เคาสกี้ หลังการเจียระไนแล้ว เพชรเม็ดนี้มีจำนวนเหลี่ยมทั้งหมด 158 เหลี่ยม แบ่งด้านบนคราวน์ 55 เหลี่ยม ด้านล่างพาวิลเลียน 69 เหลี่ยม และของเกอเดิลอีก 24 เหลี่ยม
นายโชล เคาสกี้ เรียกรูปร่างของเพชรเม็ดนี้ว่า "Fire-Rose Cusion-Shape" นับเป็นเพชรเจียระไนเม็ดใหญ่ที่สุดในโลกที่มีการเจียระไนโดยเสียนเนื้อเพชรน้อยมาก คือ เสียไปไม่ถึง 28 เปอร์เซนของน้ำหนักก้อนเดิม
6. The Centenary Diamond
เป็นเพชรเจียระไนแบบใหม่ (Modern Cut) เม็ดใหญ่ที่สุดในโลก ขุดพบได้โดยระบบอิเล็กทรอนิกส์เอ็กซเรย์ ที่เหมืองพรีเมียร์ ในแอฟริกาใต้ เมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม 1986 เพชรเม็ดนี้มีน้ำหนักก่อนการเจียระไนถึง 599 กะรัต เป็นเพชรเม็ดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยพบมาซึ่งมีสีขาวสมบูรณ์แบบและไร้ตำหนิภายใน เพชรเม็ดได้ชื่อว่า The Centenary ในวันเฉลิมฉลองครบรอบ 100 ปี เดอ เบียร์ส เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 1988 ในงานเลี้ยงที่จัดขึ้นใกล้เหมืองคิมเบอร์ลี่
นายโชล เคาสกี้ เป็นผู้เจียระไนเพชรเม็ดนี้ และได้ทำการเจียระไนเสร็จเมื่อต้นคริสต์ศักราช 1991 หลังจากเจียระไนเสร็จแล้ว
เพชรเม็ดนี้มีน้ำหนัก 273.85 กะรัต และมี 247 เหลี่ยม คือ 164 เหลี่ยมบนตัวเพชร และ 83 เหลี่ยมบนเกอเดิล เท่าที่ผ่านมายังไม่เคยมีการเจียระไนเพชรที่ได้เหลี่ยมมากมายเช่นนี้มาก่อนบนเพชรเม็ดเดียว ในหมู่เพชรน้ำงามที่สุดในโลกแล้ว The Centenary จะเป็นรองจาก The First Star of Africa และ The Second Star of Africa ซึ่งเจียระไนจากเพชร Cullinan เท่านั้น นับได้ว่าเพชร The Centenary เป็นเพชรเจียระไนสมัยใหม่เม็ดใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นเพชรเม็ดเดียวที่รวมเอาวิธีเจียระไนแบบเก่าเข้ากับเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ซับซ้อน เป็นตัวอย่างของ "เพชรน้ำงามไฟดี" ที่ปรากฎสู่สายตาชาวโลกเป็นครั้งแรก เมื่อเดือนพฤษภาคม คริสต์ศักราช 1991 เพชรเม็ดนี้มีราคาประกันมากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ
7. Hope Diamond
เพชร นอกจากจะสวยงาม เป็นสิ่งล้ำค่าหายากแล้ว ยังผูกพันธ์อยู่กับความเชื่อมากมาย
เพชร "โฮป" เพชรสีน้ำเงินเข้มเม็ดนี้เป็นอีกหนึ่งตำนานที่ได้รับการกล่าวขานมาเนิ่นนาน
ว่ากันว่า เพชรโฮปมาจากดวงตาของเทวรูปในวัดริมแม่น้ำโคเลอรูน (Coleroon) ในอินเดีย เพชรหนัก 112 กะรัต เม็ดนี้ ถูกขุดพบในเหมืองคอลเลอร์ (Kollur mine) ในกอลคอนดา เป็นเพชรที่หายากและมีสีน้ำเงินเหมือนสีไพลินเข้ม ชอง-แบปตีส ตาแวร์นีเย (Jean-Baptist Tavernier) พ่อค้าเพชรชื่อดังชาวฝรั่งเศส ซื้อเพชรนี้มาและลักลอบนำเข้าไปยังกรุงปารีสใน ค.ศ. 1668 ต่อมาใน ค.ศ. 1669 ตาแวร์นีเยขายเพชรให้แก่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ด้วยราคา 3,000,000 ปอนด์
เพชรโฮปนี้ได้รับการเจียระไนเป็นรูปหยดน้ำรูปทรงสามเหลี่ยมหนัก 67.5 กะรัต โดยนายเปเตออง (Petean) และเป็นที่รู้จักในนาม "เพชรตาแวร์นีเยสีฟ้า" (The Tavernier Blue) เพชรสีน้ำเงินฝรั่งเศส (The French blue) หรือเพชรสีน้ำเงินแห่งมงกุฎ (The Blue Diamond of the Crown)
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ทรงมอบเพชรให้แก่มาดาม เดอ มงเตสปอง (Madam de Montespan) แต่ไม่นานหลังจากนั้นนางก็กลายเป็นที่เกลียดชังของราชสำนัก เพชรฝรั่งเศสสีน้ำเงินนี้ ได้หายไปในเดือนกันยายน ค.ศ. 1792 หลังจากการปล้นเพชรครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ที่คลังเก็บสมบัติแห่งชาติ (The National Garde Meuble) ใน ค.ศ. 1812
บันทึกความทรงจำของจอห์น ฟรานซิลลอน (john Francillon) พ่อค้าเพชรชาวลอนดอนเขียนไว้ว่า เพชรสีน้ำเงินหนัก 45-52 กะรัตได้ปรากฏขึ้นใน ค.ศ. 1830 ที่อังกฤษ โดย เดเนียล แอเลียสัน (Denial Eligson) พ่อค้าเพชรชาวลอนดอน เขาเปลี่ยนรูปแบบการเจียระไนเป็นรูปหมอนและขายให้แก่
เฮนรี ทอมัส โฮป (Henty Thomus Hope) นักการธนาคารชาวอังกฤษ ดังนั้นเพชรสีน้ำเงินจึงได้ชื่อใหม่ตามชื่อของเขาคือ เพชร "โฮป"
ลอร์ดฟรานซิส เพลแฮม คลินตัน โฮป (Lord Francis Pelham Clinton Hope) ซึ่งได้เป็นเจ้าของเพชรของพ่อของเขา ท้ายที่สุดแล้วกลับล้มละลายและเพชรก็ได้หายไปอีกครั้งหนึ่ง
ต่อมาปีแยร์ การ์ตีเย (Pierre Cartier) พ่อค้าเพชรชาวปารีส ได้ขายเพชรโฮปผ่านทางสุลต่านอับดุล-ฮามิด (Abdul - Hamid) ให้กับวิลเลียม แมกลีน (William Mclean) คนสำคัญในวงการหนังสือพิมพ์ และเพชรเม็ดนี้ก็ถูกนำไปที่สหรัฐอเมริกา แมกลีน ซึ่งเป็นเจ้าของหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ซื้อเพชรมาด้วยราคา 154,000 ดอลลาร์สหรัฐ ภรรยาของแมกลีนต้องการให้พระทำพิธีขับไล่ผีในเพชรก่อน พิธีนี้จึงได้มีขึ้นและเธอก็ป่าวประกาศว่ามี "ฟ้าผ่าและฟ้าแลบในระหว่างพิธี" ด้วย หลังจากนั้นเธอจึงค่อยสวมใส่เพชรเม็ดนี้
โชคร้ายที่ดูเหมือนคำสาปในเพชรยังคงมีอยู่ ใน ค.ศ. 1918 ลูกชายของแมกลีนอายุ 9 ขวบ หลุดรอดจากการดูแลของบรรดาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยและถูกรถคันหนึ่งชนเสียชีวิต แมกลีนจึงดื่มเหล้าและหลังจากนั้นไม่กี่เดือนลูกสาวคนเดียวของพวกเขาก็ปลิดชีพตัวเองโดยใช้ยานอนหลับ
ใน ค.ศ. 1949 หลังจากที่ภรรยาของแมกลีนเสียชีวิตแล้ว แฮร์รี วินสตัน (Harry Winston) พ่อค้าเพชรชาวนิวยอร์ก ได้ซื้อเพชรโฮปไปด้วยราคา 180,000 ดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปเพิ่มชุดสะสมส่วนตัวของเขา
ใน ค.ศ. 1958 เอดนา วินสตัน (Edna Winston) ได้บริจาคเพชรเม็ดนี้ให้แก่สถาบันสมิทโซเนียนในกรุงวอชิงตัน ซึ่งเป็นที่ที่จัดแสดงเพชรในปัจจุบัน และมีผู้มาเยี่ยมชมหลายพันซึ่งหลงไหลในเพชรสีน้ำเงินไพลินและความแวววาวที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นที่มีตำนานที่น่าสนใจ
8.The Sancy
เพชรเม็ดนี้ มีรูปหยดน้ำ หรือทรงลูกแพร์ หนัก 55 กะรัต แม้จะไม่โด่งดังเหมือน The Hope แต่ก็มีประวัติยืดยาว น่าสนใจไม่แพ้กัน The Sancy มีเจ้าของคนแรก คือ Charles the Bold, Duke of Burgundy แต่เขาก็เสียชีวิตในสงคราม เมื่อปีค.ศ.1477
ชื่อของเพชรเม็ดนี้ ตั้งตามเจ้าของคนต่อมา คือ Seigneur de Sancy ราชทูตฝรั่งเศส ประจำประเทศตุรกี ในช่วงปลาย คริสต์ศตวรรษที่ 16 เขาได้ให้เพชรนี้แก่กษัตริย์ฝรั่งเศส พระเจ้าเฮนรี่ ที่ 4 (Henry IV) ยืมไปใช้ประดับหมวกของพระองค์ ที่ใส่เพื่ออำพรางพระเศียร ที่มีพระเกศาน้อย แต่ภายหลัง Sancy ก็ขายเพชรไปให้แก่ พระเจ้าเจมส์ ที่ 1 แห่งอังกฤษ ในปี ค.ศ.1664 และตกมาเป็นของ พระเจ้าเจมส์ที่ 2 กษัตริย์ที่เป็นผู้ชาย องค์สุดท้ายของอังกฤษ ที่หนีไปปารีสในปี ค.ศ.1792 ในช่วงต้นของ การปฏิวัติฝรั่งเศส แล้วเพชรก็ถูกขโมยจากท้องพระคลังหลวง ไปพร้อมๆกับเพชรดังเม็ดอื่นๆ ส่วนเพชรเม็ดนี้ มาโผล่อีกทีก็ 36 ปีล่วงไป ในปีค.ศ.1828 โดยมีเจ้าของใหม่คือ เจ้าชาย Anatole Demidoff แห่งรัสเซีย และขายออกมาอีกครั้งเมื่อปี ค.ศ.1865 ในราคาถึง 100,000 ดอลล์ ในสมัยนั้น
อีก 2 ปีต่อมา เพชรก็ถูกนำมาแสดงที่งาน Expo ที่ปารีส ด้วยราคาขายถึง 1,000,000 ฟรังส์ จึงต้องรอเจ้าของใหม่นานถึง 40 ปี โดยนาย William Waldorf Astor ได้ซื้อเพชรเม็ดนี้ ให้แก่ลูกชายของเขา เพื่อเป็นของขวัญในการแต่งงานกับ Nancy Langhorne of Virginia ซึ่งนาง Astor ก็เอามันไปประดับ tiara ใส่ออกงานรัฐพิธีต่างๆ จนกระทั่งเสียชีวิตในปีค.ศ.1964 เพชรจึงตกมาเป็นมรดกแก่บุตรชายของนาง ซึ่งเขาก็แกะมันเอามาทำเป็นเครื่องประดับศีรษะ และก็ถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Louvre ในปัจจุบัน
แม้จะมีประวัติที่ชัดเจน แต่กระนั้น Maharajah แห่ง Patalia ก็ได้ประกาศว่าเป็นเจ้าของ Sancy Diamond นี้ด้วย ซึ่งเพชรเม็ดที่ว่า มีน้ำหนัก 60.40 กะรัต หนักกว่า Sancy เม็ดแรกเกือบ 10 %
ชื่อของเพชรเม็ดนี้ ตั้งตามเจ้าของคนต่อมา คือ Seigneur de Sancy ราชทูตฝรั่งเศส ประจำประเทศตุรกี ในช่วงปลาย คริสต์ศตวรรษที่ 16 เขาได้ให้เพชรนี้แก่กษัตริย์ฝรั่งเศส พระเจ้าเฮนรี่ ที่ 4 (Henry IV) ยืมไปใช้ประดับหมวกของพระองค์ ที่ใส่เพื่ออำพรางพระเศียร ที่มีพระเกศาน้อย แต่ภายหลัง Sancy ก็ขายเพชรไปให้แก่ พระเจ้าเจมส์ ที่ 1 แห่งอังกฤษ ในปี ค.ศ.1664 และตกมาเป็นของ พระเจ้าเจมส์ที่ 2 กษัตริย์ที่เป็นผู้ชาย องค์สุดท้ายของอังกฤษ ที่หนีไปปารีสในปี ค.ศ.1792 ในช่วงต้นของ การปฏิวัติฝรั่งเศส แล้วเพชรก็ถูกขโมยจากท้องพระคลังหลวง ไปพร้อมๆกับเพชรดังเม็ดอื่นๆ ส่วนเพชรเม็ดนี้ มาโผล่อีกทีก็ 36 ปีล่วงไป ในปีค.ศ.1828 โดยมีเจ้าของใหม่คือ เจ้าชาย Anatole Demidoff แห่งรัสเซีย และขายออกมาอีกครั้งเมื่อปี ค.ศ.1865 ในราคาถึง 100,000 ดอลล์ ในสมัยนั้น
อีก 2 ปีต่อมา เพชรก็ถูกนำมาแสดงที่งาน Expo ที่ปารีส ด้วยราคาขายถึง 1,000,000 ฟรังส์ จึงต้องรอเจ้าของใหม่นานถึง 40 ปี โดยนาย William Waldorf Astor ได้ซื้อเพชรเม็ดนี้ ให้แก่ลูกชายของเขา เพื่อเป็นของขวัญในการแต่งงานกับ Nancy Langhorne of Virginia ซึ่งนาง Astor ก็เอามันไปประดับ tiara ใส่ออกงานรัฐพิธีต่างๆ จนกระทั่งเสียชีวิตในปีค.ศ.1964 เพชรจึงตกมาเป็นมรดกแก่บุตรชายของนาง ซึ่งเขาก็แกะมันเอามาทำเป็นเครื่องประดับศีรษะ และก็ถูกจัดแสดงอยู่ในพิพิธภัณฑ์ Louvre ในปัจจุบัน
แม้จะมีประวัติที่ชัดเจน แต่กระนั้น Maharajah แห่ง Patalia ก็ได้ประกาศว่าเป็นเจ้าของ Sancy Diamond นี้ด้วย ซึ่งเพชรเม็ดที่ว่า มีน้ำหนัก 60.40 กะรัต หนักกว่า Sancy เม็ดแรกเกือบ 10 %
9.Taylor-Burton
เพชรรูปทรงหยดน้ำ อีกเม็ดหนึ่ง ที่โด่งดังในสมัยหลัง ได้ถูกส่งเข้าประมูลในปีค.ศ.1969 มานี่เอง โดยมี Cartier of New York ประมูลได้ไป และตั้งชื่อให้มันทันทีว่า “Cartier” แต่เพียงวันเดียวหลังจากนั้น ดาราหนุ่มรูปหล่อ Richard Burton ก็ได้ซื้อมันต่อ เพื่อมอบให้แก่ Elizabeth Taylor ดาราสาวนัยน์ตาคม ด้วยราคาที่ไม่เปิดเผย และตั้งชื่อให้มันใหม่ทันทีเช่นกันว่า “Taylor-Burton” เพชรเม็ดนี้
มีน้ำหนัก 69.42 กะรัต ถูก Elizabeth Taylor นำไปประดับเป็น pendant แต่ใส่อยู่ได้ไม่กี่ปี เธอก็ประกาศขายเพชรเม็ดนี้ เพื่อจะนำรายได้ส่วนหนึ่ง ไปสร้างโรงพยาบาลในอาฟริกา ในปีค.ศ.1978 ผู้ที่ต้องการชม จะต้องจ่ายเงินถึง $ 2,500 เพื่อตรวจสอบมันก่อนตัดสินใจซื้อ จนปีค.ศ.1979 จึงขายไปได้ในราคา 2.8 ล้านเหรียญ โดยเศรษฐีน้ำมันชาว Saudi Arabia
10.Hortensia
มีน้ำหนัก 69.42 กะรัต ถูก Elizabeth Taylor นำไปประดับเป็น pendant แต่ใส่อยู่ได้ไม่กี่ปี เธอก็ประกาศขายเพชรเม็ดนี้ เพื่อจะนำรายได้ส่วนหนึ่ง ไปสร้างโรงพยาบาลในอาฟริกา ในปีค.ศ.1978 ผู้ที่ต้องการชม จะต้องจ่ายเงินถึง $ 2,500 เพื่อตรวจสอบมันก่อนตัดสินใจซื้อ จนปีค.ศ.1979 จึงขายไปได้ในราคา 2.8 ล้านเหรียญ โดยเศรษฐีน้ำมันชาว Saudi Arabia
10.Hortensia
เพชรเม็ดนี้ ได้ชื่อมาจาก Hortense de Beauharnais พระราชินีแห่ง Holland ที่เป็นพระธิดาของ Josephine กับเป็นบุตรบุญธรรมของ Napoleon Bonaparte กษัตริย์หลุยส์ ที่14 ทรงเป็นผู้ครอบครองเพชร 20 กะรัตเม็ดนี้ ที่ประดับอยู่บนมงกุฎของพระองค์
ที่สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ.1691 และจัดแสดงร่วมกับ “the Regent” อยู่ใน พิพิธภัณฑ์ Louvre เช่นกัน
และนับได้ว่า Louvre เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่มีสิ่งของมีค่ามากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่แต่ละชิ้นประเมินค่าไม่ได้
11.The Excelsior (and The Excelsior I)
เพชรเม็ดนี้ ค้นพบโดยคนงานเหมืองชาวอาฟริกัน เมื่อเย็นวันที่ 30 มิถุนายน ค.ศ.1893 เขาพบมันในกองก้อนกรวด ที่เขากำลังจะเทใส่รถบรรทุก และยื่นส่งให้กับมือผู้จัดการเหมือง โดยเขาได้รับรางวัลเป็นเงิน 500 ปอนด์ พร้อมกับม้าและอานครบชุด เพชรเม็ดนี้ ถือเป็นเพชรที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 2 โดยมีน้ำหนัก 995.2 กะรัต ก่อนการเจียระไน แต่เมื่อนำมาตรวจสอบและวิเคราะห์ดูแล้ว ช่างได้แบ่งมันออกเป็นเพชรเม็ดเล็ก 10 เม็ด ซึ่งเม็ดที่มีขนาดใหญ่สุด เมื่อเจียรแล้ว มีน้ำหนักแค่ 69.68 กะรัต เป็น “Excelsior I” โดยขายออกไปในปี ค.ศ.1996 ให้กับ Robert Mouawad ในราคา $ 2,642,000.-
เป็นเพชรสีฟ้า-ขาว ที่มีคุณภาพดีเยี่ยม แม้ว่าจะมีจุดดำอยู่บ้างก็ตาม
12.The Star of Sierra Leone
เพชรที่ใหญ่รองลงมาเป็นอันดับที่ 3 ด้วยน้ำหนักเพชรดิบ 969.80 กะรัต ถูกค้นพบในวันวาเลนไทน์ เมื่อปี ค.ศ.1972 ที่เหมือง Diminco
ในประเทศ Sierra Leone นาย Harry Winston ได้ซื้อเพชรเม็ดนี้ไปดำเนินการตัดแบ่ง ออกได้เป็น 17 ชิ้น
และได้นำไปใช้ประดับ Star of Sierra Leone Brooch 6 เม็ดด้วยกัน
13.The Oppenhiemer
เพชรสีเหลืองสวยใสเม็ดนี้ ค้นพบที่เหมือง Dutoitspan เมือง Kimberly ประเทศ South Africa ในปี ค.ศ.1964 โดย Harry Winston ให้แก่สถาบัน Smithsonian เพื่อระลึกถึง Sir Ernest Oppenheimer แห่ง DeBeers Consolidated Mines
14.The Idol's Eye
เพชรทรงหยดน้ำ (หรือลูกแพร์) ขนาด 70.20 กะรัต ขนาดเท่าไข่ไก่แจ้ เป็นเพชรที่จัดเข้าในชุด idol ก่อนที่จะถูกขโมยไป โดยมีตำนานเล่ากันว่า เพชรเม็ดนี้ ถูกใช้เป็นค่าไถ่ตัว Princess Rasheetah โดย Sheik of Kashmir ให้แก่ Sultan of Turkey ที่เป็นผู้ลักพาตัวเจ้าหญิงไป
อันที่ 7 นี่ถ้าแจกฟรี จะเอากันมะ
วัดดวงเอา จะขายได้ก่อน หรือ....ก่อน
14 โครตเพชรของโลก(สักเม็ดไหมจ๊ะ?)