
ดาวพฤหัสบเป็นชื่อของเทพเจ้า Jupiter (หรือ Zeus) ซึ่งเป็นราชาของเทพเจ้าทั้งปวง และดาวพฤหัส ก็เป็นดาวเคราะห์ ที่ใหญ่ที่สุด ในระบบสุริยะจักรวาลของเรา มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง ประมาณ 11 เท่าของโลก มีระบบดาวบริวารของตนเอง ไม่ต่ำกว่า 16 ดวง
ดาวพฤหัสบดี เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ห่างจากดวงอาทิตย์เป็นอันดับที่ 5 และเป็นดาวเคราะห์ดวงใหญ่ที่สุด ในระบบสุริยะ มีมวลมากกว่าโลกกว่า 317 เท่าแต่มีขนาดใหญ่กว่าโลก 1,400 เท่า หากดาวพฤหัสมีมวลมากกว่าอีก 100 เท่า ดาวพฤหัสก็จะกลายเป็นดาวฤกษ์ขนาดเล็กๆได้เลย
ดาวพฤหัสบดีเป็นดาวเคราะห์ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในระบบสุริยะ เป็น ดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์โคจรห่างจากดวงอาทิตย์เป็นลำดับที่ 5 ถัดจากดาวอังคาร มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 142,984 กิโลเมตร มีเนื้อสารมากที่สุด และมากกว่า ดาวเคราะห์ ทุกดวงรวมกัน มีมวลราว 318.1 เท่าของโลก ใช้เวลาในการหมุนรอบ ตัวเอง เร็วมากประมาณ 9 ชั่วโมง 55 นาที หรือ 10 ชั่วโมงต่อ 1 รอบ แต่ใช้เวลา โคจรรอบ ดวงอาทิตย์ 1 รอบ ใช้เวลานานถึง 12 ปีของโลก ด้วยความเร็ว 13.06 กิโลเมตรต่อวินาที ดาวพฤหัสจะเคลื่อนที่ช้าๆ ผ่านกลุ่มดาวจักรราศีได้ ประมาณ ปีละ 1 กลุ่ม
ดาวพฤหัสบดีอยู่ห่างจากโลก 5.2 หน่วยดาราศาสตร์หรือประมาณ 780 ล้านกิโลเมตร แรงดึงดูดที่ผิว ของ ดาวพฤหัสบดีสูงกว่าโลก 2.64 เท่า นั่นหมายถึงว่าถ้าอยู่บนโลกเราหนัก 50 กิโลกรัม แต่ถ้าไปอยู่บนดาวพฤหัสบดี จะมีน้ำหนักถึง 132 กิโลกรัม ดาวพฤหัสบดีมีดวงจันทร์เป็นบริวาร ขณะนี้ถึง 16 ดวง แต่ถ้าใช้กล้องโทรทัศน์ส่อง ดูแล้ว จะเห็นดวงจันทร์บริวารขนาดใหญ่ 4 ดวง แต่ละดวงจะโตกว่าดวงจันทร์ของโลกเรา ดวงจันทร์ทั้ง 4 ดวง ส่องกล้องพบโดย กาลิเลโอ บิดาวิชาดาราศาสตร์ภาคสังเกตการณ์ ชาวอิตาลี เมื่อปี พ.ศ. 2153 (ค.ศ.1610) จึงได้ชื่อว่า ดวงจันทร์กาลิเลียน เรียงตามลำดับ ระยะห่างจากดาวพฤหัสบดี คือ ไอโอ (lo) ยุโรปา (Europa) แกนิมีด (Ganymede) และ คัลลิสโต (Callisto) ดวงที่ใหญ่ที่สุดคือแกนิมีด (Ganymedq aze)

บรรยากาศของดาวพฤหัสบดีมีลักษณะเป็นแถบกว้างหลายแถบ ระหว่างแถบเป็นรอยมืด เรียกว่า เข็มขัด ขนานไป กับแนวเส้นศูนย์สูตร ซึ่งแถบกว้างนี้แท้ที่จริงแล้วคือ แถบเมฆที่หนาทึบทอดตัวยาวออกไป เคลื่อนที่หมุนวนไป รอบตัวดวง มีองค์ประกอบ เป็นธาตุไฮโดรเจนและฮีเลียม ไม่มีพื้นผิวแข็ง แต่มีแกนใจกลางขนาดเล็กเป็นหินแข็ง บรรยากาศมีอัตราส่วนเหมือนกันมาก กับบรรยากาศของดวงอาทิตย์ ใต้เส้นศูนย์สูตรไปทางซีกใต้ จุดนี้คือพายุหมุนวน ด้วยความเร็วสูงเป็นลักษณะเด่นที่ปรากฎเห็นมานานแล้ว บรรยากาศของดาวพฤหัสบดีมีอุณหภูมิและความกดดันไม่แตกต่างไปจากที่มีอยู่ตามบริเวณผิวของโลก ซึ่งจะ คอยทำหน้าที่เสมือนป็น เรือนกระจกในการเก็บพลังงานจากดวงอาทิตย์ไว้ โดยจะปล่อยพลังงานออกไป ในอากาศเพียง เล็กน้อยเท่านั้น นอกจากนี้นักดาราฃศาสตร์ยังได้พบโมเลกุลอินทรีย์ที่ซับซ้อนมากในบรรยากาศของดาวพฤหัสบดี การเคลื่อนตัวของระบบเมฆ ที่ก่อให้เกิดการคายของประจุไฟฟ้า และการเกิดปฏิกริยาทางเคมีในบรรยากาศ ซึ่งเป็น แนวทางในการค้นหากระบวนการทำให้เกิดอินทรียชีวิต ในสภาพที่เป็นอยู่ในดาวพฤหัสบดี เพื่อหาหลักฐานให้แน่ชัดว่า ชีวิตเกิดขึ้นมาได้อย่างไรในจักรวาล เหมือนกับที่เกิดขึ้นมาแล้วในโลกของเรา การค้นพบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง เกี่ยวกับ ดาวพฤหัสบดีก็คือ เมื่อยานวอยเอเจอร์ 1 ถ่ายภาพส่งมา พบว่า มีวงแหวนบางมาก 1 ชั้นล้อมรอบดาวพฤหัสบดีอยู่ ซึ่งสันนิษฐานว่าวงแหวนนี้คือก้อนน้ำแข็งและก้อนวัตถุใหญ่น้อยขนาดต่างๆกันล่องลอยอยู่รอบๆ ดาวพฤหัสบดี นอกจากนี้ภาพถ่ายจากยานวอยเอเจอร์ 1 และ 2 ก็พบว่า มีภูเขาไฟกำลังระเบิดอยู่บนดวงจันทร์บริวารที่ชื่อ ไอโอ
ข้อมูลจำเพาะของดาวพฤหัสบดี
ระยะห่างจากดวงอาทิตย์ | โดยเฉลี่ย 778.34 ล้านกิโลเมตร(5.203 a.u.) ใกล้สุด 740.9 ล้านกิโลเมตร (4.951 a.u.) ไกลสุด 815.7 ล้านกิโลเมตร (5.455 a.u.) |
Eccentricity | 0.048 |
คาบการหมุนรอบตัวเอง | 9 ชั่วโมง 50 นาที 30 วินาที |
คาบการหมุนรอบดวงอาทิตย์ | 11.86 ปีบนโลก ด้วยความเร็ว 13.06 กิโลเมตรต่อวินาที |
ระนาบโคจร (Inclination) | 1:18:15.8 องศา |
แกนเอียงกับระนาบโคจร | 3:04 องศา |
มวล | 317.89 เท่าของโลก |
เส้นผ่านศูนย์กลาง | 143,884 กิโลเมตร (โลก 12,756 กิโลเมตร ที่เส้นศูนย์สูตร) |
แรงโน้มถ่วง | 2.64 เท่าของโลก |
ความเร็วหลุดพ้น | 60.22 กิโลเมตรต่อวินาที |
ความหน่าแน่น | 1 ต่อ 1.33 เมื่อเทียบกับน้ำ |
ความสว่างสูงสุด | -2.9 |
Eccentricity เป็นค่าคงทีของวงโคจร ที่บอกว่าวงโคจรนั้นรีมากหรือน้อย หาได้จาก ระยะห่างของจุด โฟกัสทั้งสอง หารด้วย ความยาวของแกนหลัก ซึ่งวงกลมจะมีค่า Ecc=0 และพาลาโบล่าจะมีค่า Ecc=1
Inclination มุมเอียงที่ระนาบการโคจรของดาวเคราะห์หรือดาวหาง ทำกับระนานอิคลิปติค มีหน่วยเป็น องศา
โครงสร้างของดาวพฤหัส






ดาวหางชูเมเกอร์-เลวี่9 ถูกแรงโน้มถ่วงของดาวพฤหัสจับไว้เมื่อดาวหางนั้นโคจรเข้ามา เฉียดดาวพฤหัส และเป็นวาระสุดท้ายของดาวหางนั้น ดาวหางถูกแรงโน้มถ่วงอันมหาศาลของดาวพฤหัสปีบให้แตก เป็นชิ้นเล็กๆกว่า 20 ชิ้น แล้วดาวหางก็พุ่งเข้าชนดาวพฤหัสเมื่อเดือนกรกฏาคม 2537 แต่การชนนี้ไม่สามารถสังเกตเห็นได้จากบนโลก แต่ยานกาลิเลโอ ถ่ายไว้ได้ การชนเกิดขึ้นต่อเนื่องนานถึง 6 วัน และนับเป็นเรื่องที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ของวงการดาราศาสตร์เลยทีเดียว
บริวารของดาวพฤหัส



เนื่องจากไอโอ อยู่ใกล้ดาวพฤหัสมากทำให้ถูกสนามแรงโน้มถ่วง และสนามแม่เหล็กกระทำรุนแรงมาก จึงทำให้ไอโอแอคทีฟตลอดเวลา ทั่วทั้งผิวของไอโอเต็มไปปล่อยภูเขาไฟ ที่ค่อยระบายความร้อนภายในตัวดวงจันทร์ ระเบิดพ่นลาวาที่เป็นกำมะถันเหลวปกคลุมทั่วผิวไอโอ เมื่อครั้งที่ยานวอยเอเจอร์ผ่านไอโอได้จับภาพภูเขาไฟกำลังพ่นลาวาสูงถึง 240 กิโลเมตร





ตำแหน่งแนวดิ่งที่ตรงกับตัวเลขจะแทนเวลา 0 นาฬิกาของวันที่นั้นๆตามในเวลาประเทศไทย ตัวอย่างเช่น วันที่ 2 มกราคม เวลา 0 นาฬิกา จะเห็นเราจะเห็นไอโอและแกนิมีดอยู่ใกล้กันด้านบนของกราฟ (ทิศตะวันออก) ส่วนคาลลิสโตและยูโรปาจะอยู่ใกล้กันด้านล่างของกราฟ (ทิศตะวันตก) เมื่อเวลาผ่านมาจนถึงครึ่งทาง (ตอนเที่ยง) เส้นกราฟของไอโอ ยูโรปา และแกนิมีด จะตัดกันที่ดาวพฤหัสพอดี หมายความว่าถ้าตอนเที่ยงเรามีโอกาสได้เห็นดาวพฤหัสเราจะไม่เห็นดวงจันทร์ 3 ดวงนี้ แต่จะเห็นคาลลิโตทางทิศตะวันตกเพียงดวงเดียว ถ้าเราพิจารณาเส้นกราฟเราจะเห็นว่า วงโคจรของดวงจันทร์ทั้ง 4 จะมีบางช่วงที่ซิงโครไนส์กัน เช่น ทุกๆ 2 รอบของไอโอจะเท่ากับยูโรปา 1 รอบ (ช่วงประมาณวันที่ 6 ถึงวันที่ 10) และทุกๆ 2 รอบของยูโรปาจะเท่ากับ 1 รอบของแกนิมีด หรือ 4 รอบของไอโอ (ช่วงประมาณวันที่ 6 ถึงวันที่ 13) ส่วนคาลลิสโตจะแตกต่างเค้าเพื่อนไม่ซิงโครไนส์กับใคร เราจึงสามารถนำเส้นกราฟของไอโอ ยูโรปา และแกนิมีดมาต่อกันได้อย่างไม่รู้จบไปเรื่อยๆ ยกเว้นคาลลิสโต สิ่งที่น่าสนใจของดวงจันทร์กาลิเลียนไม่ได้อยู่แค่เป็นดวงจันทร์ใหญ่สุดของดาวพฤหัส หรือ เป็นดวงจันทร์ที่เห็นได้จากโลกเท่านั้น แต่ด้วยคาบการโคจรของดวงจันทร์ทั้ง 4 รอบดาวพฤหัสนั้นใช้เวลาน้อย ทำให้เราสามารถเห็นการเปลี่ยนตำแหน่งของดวงจันทร์ได้จากโลก ในชั่วเวลาอันสั้น ไอโอดวงจันทร์วงในสุด มีคาบการเปลี่ยนแปลง 1 รอบกินเวลาเพียง 42 ชั่วโมงครึ่ง นั่นหมายความว่า เราสามารถเห็นการเปลี่ยนตำแหน่งของไอโอได้ทุกๆ 1 ชั่วโมง

ภาพจำลองจากโปรแกรม Strrynight แสดงให้เห็นการเปลี่ยนตำแหน่งของดวงจันทร์ทั้ง 4 ดวง เมื่อคืนวันที่ 19 มกราคม 2546 เวลา 02.00 น. (ภาพบนสุด) ซึ่งทั้ง 3 ภาพเวลาต่างกัน 1 ชั่วโมง จะเห็นว่า ภาพที่ 2 เมื่อเวลา 03.00 น. ดวงจันทร์ ไอโอจะค่อยๆเคลื่อนหายไปด้านหลังดาวพฤหัส ขณะที่ ยูโรปากับคาลลิสโต จะค่อยเคลื่อนเข้ามาใกล้กันทุกที
ภาพที่ 3(III) เมื่อเวลา 04.00 น. เราจะเห็นดวงจันทร์เพียง 2 ดวงเท่านั้น เพราะยูโรปาจะค่อยๆเคลื่อนหายไปด้านหลังดวงจันทร์คาลลิสโต เราเรียกปรากฏการณ์นี้ว่าการบังกัน (Occultation
ให้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การบังกัน (Occultation) กับ อุปราคา (Eclipse) ของดาวบริวารทั้ง 4 ซึ่งเราสามารถมองเห็นได้จากโลก ปีคศ.2003 ก็เป็น 1 ในรอบ 12 ปีที่เราจะได้เห็น ช่วงระหว่างเดือนธันวาคม 2002 ถึงเดือนมีนาคม 2003 นับว่าเป็นช่วงที่เหมาะที่สุด ซึ่งเราจะเห็นว่าดาวบริวารทั้ง 4 ดวงนั้นจะเรียงตัวกันเป็นแนวตรงใกล้เคียงกับแนวเส้นศูนย์สูตรของดาวพฤหัสมากที่สุด และต้องนับจากนี้ไปอีก 6 ปีเราถึงเห็นปรากฏการณ์แบบนี้อีก ปรากฏการณ์ทั้ง 2 แบบนี้ ก็คล้ายๆกับ จันทรุปราคา หรือ สุริยุปราคา ที่เราเห็นบนโลกนั่นเอง เกิดขึ้นจากระนาบการโคจรของ โลก ดวงอาทิตย์ และ ดวงจันทร์ มาอยู่ในระนาบเดียวกัน
การบังกัน (Occultation) เกิดขึ้นจากดาวบริวาร 2 ดวงเคลื่อนมาใกล้กัน จนตำแหน่งที่เรามองเห็นจากโลกเกิดการบังกันขึ้น ซึ่งแบ่งออกเป็น 3 แบบด้วยกันคือ
-บังกันบางส่วน เกิดจากความแตกต่างของระนาบระหว่างดาวบริวาร 2 ดวง
- แบบวงแหวน เกิดจากดาวบริวารดวงเล็กกว่าบังดาวบริวารดวงใหญ่ เช่น ไอโอบังแกนิมีด เป็นต้น
- แบบเต็มดวง เกิดจากดาวบริวารดวงใหญ่บังดวงเล็ก เช่น แกนิมีดบังไอโอ เป็นต้น
ผลของการบังกันนั้น สำหรับกล้องขนาดใหญ่ที่มีความสามารถในการแยกความละเอียดได้สูง จะเห็นความสว่างของดาวบริวารเปลี่ยนแปลงระหว่างบังกัน ในขณะที่กล้องขนาดเล็กซึ่งแยกความแตกต่างไม่ออกจะมองเห็นเหมือนดาวบริวารสองดวงเคลื่อนที่มารวมกันเป็นดวงเดียว

- อุปราคาวงแหวน
-อุปราคาเต็มดวง
ผลของการเกิดอุปราคานั้นเราจะเห็นความสว่างของดาวบริวารนั้นลดลง หรือหายไประหว่างที่โคจรอยู่รอบดาวพฤหัส

- รูปบน แสดงตำแหน่งของ แกนิมีด ยูโรปา ไอโอ และดาวพฤหัส เรียงจากซ้ายมาขวา- รูปกลาง 1 ชั่วโมงผ่านมา ยูโรปามีความสว่างลดลงจนมองไม่เห็น เพราะถูกเงาของไอโอบัง
- รูปล่าง 1 ชั่วโมงผ่านมา ยูโรปาสว่างขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อพ้นจากเงาของไอโอ ปรากฏการณ์ทั้ง 2 แบบเป็นการวัดประสิทธิภาพของอุปกรณ์ได้ทางหนึ่งว่า มีความคมชัดในการแยกความแตกต่างของภาพได้มากน้อยเพียงใด ตามปกติแล้วการสังเกตปรากฏกาณ์ทั้ง 2 แบบนี้ จะต้องใช้กำลังขยายของกล้องสูงมากๆ ทำให้กล้องที่มีขนาดใหญ่ได้เปรียบ โดยกำหนดกำลังขยายขั้นต่ำอยู่ที่ 30 คูณด้วยขนาดหน้ากล้องเป็นนิ้ว เช่น กล้องขนาด 6 นิ้วจะต้องใช้กำลังขยาย 180 เท่า ขณะที่กล้องขนาด 16 นิ้วจะได้กำลังขยายเป็น 480 เท่า
การสำรวจดาวพฤหัส
ดาวพฤหัสเคยถูกสำรวจโดยยานไพโอเนียร์ 10 เมื่อปี 1972 เฉียดดาวพฤหัสห่างราว 132,000 กิโลเมตร เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 1973 กับ ยานวอยเอเจอร์ 2 เมื่อปี คศ.1977 โดยใช้แรงเหวี่ยงของดาวพฤหัสส่งไปสำรวจดาวเสาร์ และยูเรนัสกับดาวเนปจูน ปัจจุบันนี้ยานที่ถูกส่งไปสำรวจดาวพฤหัสโดยตรงคือยานกาลิเลโอ

ดาวพฤหัสบดี(Jupiter)
[IMG]