สรุปการเสวนาในหัวข้อ Miku ภายในงาน NYCC 2012
บทความนี้เขียนขึ้นโดยคุณ Dave Endresak แปลและเรียบเรียงโดย kachanking
หมายเหตุ : ภายในบทความจะมีความเห็นทั้งจากผู้เขียนและผู้แปลปนๆกันอยู่เยอะพอสมควร โดยผมได้ใส่วงเล็บไว้เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน (อาจจะมีบางส่วนหลุดออกไปบ้างคงไม่ว่ากันนะคับ)
หลังจากงาน NYCC 2012 ในวันอาทิตย์สิ้นสุดลง คุณ Dave Endresak ก็ได้เขียนสรุปข้อมูลต่างๆภายในงานมาให้ได้ติดตามกัน (ถึงจะบอกว่าสรุปแต่ก็ยาวเอาเรื่องทีเดียว) โดยเนื้อหาหลักๆจะแบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน คือ การพูดคุยทั่วไปเกี่ยวกับ Miku การประกาศกำหนดการและความคืบหน้าต่างๆ และปิดท้ายด้วยการถามตอบคำถามจากผู้เข้าร่วมงาน
ภายในงานจะมีคุณ Kanae Muraki ตัวแทนจากบริษัท Crypton Future Media และคุณ Tara Knight ที่ทำวิจัยเกี่ยวกับ Miku (Mikumentary) เป็นผู้บรรยายและตอบคำถามต่างๆจากผู้เข้าร่วมงาน
การพูดคุยทั่วไปเกี่ยวกับ Miku
เริ่มด้วยการเปิดเพลง 1/6 – Out of the Gravity (Original Version) ต่อด้วยวิดีโอคอนเสิร์ต Miku ที่ไต้หวัน ช่วงที่ Miku กำลังร้องเพลง MikuMiku ni Shite Ageru จากนั้นคุณ Tara ก็ทักทายผู้เข้าร่วมงานด้วยการถามผู้เข้าร่วมงานว่ารู้จัก Miku ได้อย่างไร และใครคิดว่าตัวเองเป็นแฟนพันธุ์แท้ระดับ Hardcore ของ Miku บ้าง
คุณ Muraki เริ่มเข้าประเด็นด้วยคำถามง่ายๆว่า “Hatsune Miku คืออะไร” เธอกล่าวต่อไปว่าคนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจผิด คิดว่า Miku เป็นตัวการ์ตูนหรือไม่ก็นักร้องจอมปลอม แต่จริงๆแล้ว Miku คือ
1. Hatsune Miku คือโปรแกรมสังเคราะห์เสียง
2. มีเพลงที่ Miku ร้องมากมายนับไม่ถ้วน เพราะมีคนคอยแต่งเพลงให้เธออยู่ทุกวี่ทุกวัน
3. Miku ต่างจากการ์ตูน (หรือเกม) ด้วย 2 เหตุผลหลักๆ คือ
3.1 เธอไม่มีภูมิหลัง (ไม่มีพ่อแม่ ไม่มีเรื่องราวหรือชีวิตในวัยเด็ก)
3.2 การสร้างสรรค์ผลงานและสิทธิ์ในผลงานชิ้นนั้น ซึ่งแยกออกเป็น 2 เหตุผลย่อย คือ
3.2.1 ความซับซ้อนของกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา จากนั้นคุณ Tara ก็อธิบายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ต่างๆที่ทำให้เธอรู้ว่าสิ่งใดสามารถทำได้และสิ่งใดไม่สามารถทำได้ในวิดีโอ Mikumentary เวลาที่คุณทำงาน คุณจะต้องระมัดระวังเรื่องกฎหมายมากโดยเฉพาะงานด้านการศึกษาและงานประเภทสร้างสรรค์ ยกตัวอย่างเช่นงานวิจัยของเธอที่ต้องระวังลิขสิทธิ์ของภาพ ตาราง หรือแม้แต่การอ้างอิงงานวิจัยต่างๆ
3.2.2 Crypton ได้ปรับเปลี่ยนลิขสิทธิ์บางส่วน เพื่อเปิดโอกาสให้ศิลปินสามารถสร้างสรรค์ผลงานได้อย่างอิสระ ทำให้ทุกคนสามารถใช้ Miku เป็นตัวแทนในการสร้างสรรค์ผมงานของพวกเขาและแบ่งปันให้กับคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการ Remix, Cover หรือ MV ตราบใดที่มันไม่มีเงินเข้ามาเกี่ยวข้อง วิธีการของ Crypton นั้นคล้ายๆกับสัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ (Creative Commons หรือ CC) (จริงๆแล้ว CC มีหลากหลายรูปแบบ เพื่อให้เหมาะสมกับเนื้อหาหรือโปรแกรมที่แตกต่างกันออกไป) หากใครต้องการจะทำอะไรเกี่ยวกับ Miku หรืออะไรก็ตามที่สื่อถึง Miku เพื่อให้ได้มาซึ่งผลตอบแทน เช่น เงิน พวกเขาเหล่านั้นจะต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์อย่าง Crypton เสียก่อน
จริงๆแล้ว Miku มีอะไรที่ลึกซึ่งกว่านี้มาก แต่สิ่งที่คุณ Muraki กล่าวมาก็เป็นหนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Hatsune Miku มีความโดดเด่นแตกต่างจากผลิตภัณฑ์หรือบริการอื่นๆ
จากนั้นคุณ Muraki ก็พูดถึงเพลงและเสื้อผ้าต่างๆที่ใช้ในคอนเสิร์ตของ Miku
เธอบอกว่าหลายคนยังไม่รู้ว่าเพลงส่วนใหญ่ที่ Miku ร้องบนคอนเสิร์ตนั้นนำมาจากเกม Project Diva ของ Sega และเสื้อผ้าต่างๆที่ Miku ใส่ก็ไม่ได้มากจากเกม Project Diva เพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากเครื่องแต่งกายที่ชนะเลิศการประกวดที่ Sega เป็นผู้จัดขึ้นด้วย แน่นอนว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นก็ย่อมเป็นลิขสิทธิ์ของ Sega ยกเว้นเพลงต้นฉบับ ดังนั้นการแสดงส่วนใหญ่ภายในคอนเสิร์ตจึงมาจากเกม Project Diva ของ Sega และอีกส่วนหนึ่งมาจากความร่วมมือระหว่างบริษัท (Sega, Crypton และอาจจะรวมไปถึง Sony ด้วย) กับผู้บริโภค (เช่น เหล่าศิลปิน P ทั้งหลาย แฟนเพลงที่ชนะการประกวดเครื่องแต่งกาย หรือแม้แต่ผู้คนทั่วไปที่เข้ามาชมและดาวโหลดผลงาน) ด้วยเหตุนี้ ทำให้ Hatsune Miku ดูเหมือน “ตัวแทนแห่งการสร้างสรรค์”
พอพูดถึงตรงนี้คุณ Tara ก็เปิดตัวอย่างสารคดี Mikumentary ให้ได้ชมกัน
http://www.youtube.com/watch?feature=player_detailpage&v=ckjOdS9USlo
วิดีโอตัวนี้ถูกอัพขึ้น Youtube เรียบร้อยแล้ว และเธอบอกว่าจะอัพลง NicoNico Douga และที่เว็บไซด์ของเธอในภายหลัง (ถ้าดูวิดีโอนี้แล้วคุณจะเห็นความคิดของผู้คนค่อยๆปรากฏออกมา แนะนำตัวเธอให้เรารู้จักผ่านมุมมองของผู้คนมากมาย สื่อถึงบุคลิกที่หลากหลายของ Miku เพราะเธอเกิดจากผู้คนที่มีบุคลิกที่แตกต่างกัน)
คุณ Tara บอกว่าตอนแรกตั้งใจจะทำเป็นสารคดีเชิงวิชาการ แต่พอได้รู้จักกับ Hatsune Miku และกลุ่มคนมากมายรอบๆตัวเธออย่างลึกซึ้งแล้ว คุณ Tara ถึงกับต้องเปลี่ยนความคิดนี้ไปทันที เธอตัดสินใจจะทำสารคดีนี้โดยเน้นการมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มคนต่างๆในอินเตอร์เน็ตและชุมชนออนไลน์ที่เป็นแหล่งรวมตัวของคนรัก Miku นำเสนอในรูปแบบที่คล้ายๆกับ Miku เวลาคุณถามว่า “เธอเติบโตและโด่งดังไปทั่วโลกได้อย่างไร”
จากนั้น คุณ Muraki ก็เปิดวิดีโอคอนเสิร์ต Angel Project presents HATSUNE Appearance ที่จัดขึ้นที่พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ Hakkeijima ในเมือง Yokohama ช่วงที่ Miku กำลังร้องเพลง Chaining Intention ของ MasatakaP โดยใช้ MMD model
วิดีโอนี้นำเสนอวิธีการใหม่ๆในการปรากฏตัวของ Miku บนเวทีคอนเสิร์ต (ใช้เทคโนโลยี Eyeliner) แสดงให้เห็นว่า Crypton พยายามทดลองวิธีการใหม่ๆที่ช่วยลดข้อจำกัดในการแสดงคอนเสิร์ตของ Miku ให้น้อยลง
ประกาศกำหนดการและความคืบหน้าต่างๆ
คุณ Muraki ได้เปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทพร้อมทั้งกำหนดการวางจำหน่ายคร่าวๆ คือ
1. Kaito V3 ซึ่งจะประกอบไปด้วยเสียงในภาษาญี่ปุ่น 3 อารมณ์ด้วยกัน คือ Normal, Whisper และอันสุดท้ายที่ยังไม่มีการเปิดเผย นอกจากนี้ Kaito V3 ยังมีเสียงภาษาอังกฤษด้วย จากนั้นคุณ Muraki ก็เปิดเพลง Kagane no haga mau koroni ซึ่งแต่งโดย SigotoshiteP (ใช้เสียง Normal) ตามด้วยเพลง Karakuri dokei to koi no hanashi แต่งโดย WandaraP (ใช้เสียง Whisper) และเพลง Lately Whenever (Donna toki mo) (Kaito ร้องเป็นภาษาอังกฤษ)
http://www.youtube.com/watch?feature=player_detailpage&v=Ad1WesUBwig
เธอบอกว่าทาง Crypton น่าจะปล่อย Kaito V3 ออกมาช่วงสิ้นปีนี้หรือไม่ก็ต้นปีหน้าและจะอัพตัวอย่างเพลงที่เปิดให้ฟังในงานลงเน็ตเร็วๆนี้ (ไม่แน่ใจว่า Crypton จะทำอย่างที่เธอบอกจริงๆหรือไม่)
2) ความคืบหน้าของ Miku ในการร้องเพลงเป็นภาษาอังกฤษซึ่งยังคงเป็นเวอร์ชันเบต้าอยู่ คุณ Muraki บอกว่า Miku ในเวอร์ชันเบต้านี้จะเป็น Hatsune Miku V3 English เช่นเดียวกับ Kiato โดยทาง Crypton น่าจะปล่อย Hatsune Miku V3 English ออกมาช่วงฤดูร้อนปีหน้า (2013) จากนั้นเธอก็เปิดเพลง 1/6 - Out of the Gravity (English Beta Version) ซึ่งเสียงที่ออกมายังไม่แตกต่างจากการผสมคำในภาษาญี่ปุ่นสักเท่าไหร่
http://www.youtube.com/watch?feature=player_detailpage&v=Sg-6o-ja48E
คุณ Dave Endresak บอกว่าข้อความจากคุณ OtoP นั้นยาวมาก จึงขอเอามาเฉพาะส่วนที่สำคัญๆคุณ OtoP บอกว่าเพลงนี้เป็นผลงานของเขาเองและหวังว่าทุกคนจะรู้สึกสนุกสนานเวลาที่ฟังเพลงนี้ แรงผลักดันของทุกๆคนทำให้ Miku สามารถทำในสิ่งที่ไม่สามารถทำได้อย่างการร้องเพลงเป็นภาษาอังกฤษด้วยเสียงที่ดีกว่า ตัวเขาเองก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าว่านี่เป็นเพลงที่ยอดเยี่ยม เพราะไม่ได้ทุ่มเทอย่างเต็มที่กับการแต่งเพลงนี้ขึ้นมา
จากนั้นคุณ Dave Endresak ก็ระบายความรู้สึกที่มีต่อคำวิจารณ์ของหลายๆคนเกี่ยวกับภาษาอังกฤษของ Miku ซึ่งยาวเวอร์ไม่แพ้ของคุณ OtoP เลย ผมในฐานะคนแปลจึงขอสรุปความเห็นของคุณ Dave Endresak มาให้อ่านกันนะคับ (อาจจะไม่เกี่ยวกับคนไทยเท่าไหร่)
ในตอนนี้มีเพลงที่ใช้ Miku ร้องเป็นภาษาอังกฤษและระบุว่าเป็นเบต้าเวอร์ชัน อยู่ 2 เพลงด้วยกัน คือ Nice Age ที่ปล่อยออกมาให้ได้ฟังกันนานแล้ว และเพลง 1/6 - Out of the Gravity ที่เปิดให้ฟังกันในงาน ซึ่งเสียงตอบรับจากฝรั่งเจ้าของภาษาก็แตกต่างกันไป บางคนถึงกับปลง อยากให้ Miku มุ่งร้องเพลงด้วยภาษาญี่ปุ่นอย่างที่เป็นอยู่มากกว่า บางคนก็พยายามทำใจว่ามันยังไม่ถึงเวลาที่จะให้ Miku ร้องเพลงเป็นภาษาอังกฤษ และอีกส่วนหนึ่งที่มองว่า Miku ทำดีที่สุดแล้ว ต่างคนต่างยึดมั่นในความคิดของตัวเอง และยังพยายามทำให้คนอื่นคิดเหมือนที่ตนคิดจนเกิดการโต้แย้งกันเกิดขึ้น ซึ่งมันไม่เป็นผลดีกับ Miku แน่นอน
คุณ Dave Endresak บอกว่าเข้าใจทุกคนดี ไม่ว่าภาษาอังกฤษของ Miku จะออกมาอย่างไร มันรุ่งแน่นอน ลองสังเกตช่วงที่ยังไม่มี Miku Append หลายคนก็ชอบบ่นว่าเสียงเธอไม่เหมือนเสียงมนุษย์ ทำให้เหล่าศิลปินในญี่ปุ่นแต่งเพลงที่ตอกย้ำความไม่เหมือนมนุษย์ออกมา (อย่างเพลง The Disappearance of Hatsune Miku ที่ไม่มีมนุษย์คนไหนร้องสดได้แน่นอน) และที่สำคัญคือเพลงเหล่านั้นประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ถ้าเรามองกลับกันดูละ ภาษาอังกฤษของ Miku ที่ว่าแย่ เอาเข้าจริงๆมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก ไม่แน่ มันอาจจะประสบความสำเร็จกว่า Miku ในภาษาญี่ปุ่นอีก (เพราะทั่วโลกคนเขาพูดภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น)
เสียงของ Vocaloid ทุกๆตัวมีจุดเด่นที่เหมือนกันคือความยืดหยุ่น เหล่าศิลปินสามารถปรับแต่งเสียงเพื่อให้เข้ากับแนวเพลงที่พวกเขาแต่งขึ้นมาได้ และการที่ Vocaloid สักตัวหนึ่งมีเสียงมากกว่า 1 อารมณ์ มันก็ยิ่งทำให้ความยืดหยุ่นที่ว่านั้นสูงมากขึ้นไปอีก มันทำให้ Vocaloid ตัวนั้นเข้าถึงผู้คนได้ทุกกลุ่ม ยิ่งไปกว่านั้น ถ้า Vocaloid ตัวที่ว่าสามารถร้องได้มากกว่า 1 ภาษาล่ะ เสียงของมันก็จะยืดหยุ่นขึ้นไปอีก สุดท้าย Vocaloid ตัวนั้นก็จะ “เข้าถึงผู้คนได้ทั่วโลก” นี่คือสิ่งที่ Crypton กำลังทำอยู่ และ Vocaloid ตัวที่ว่าก็คือ Miku
นอกจากนี้คุณ Dave Endresak ยังขอวิจารณ์แฟนคลับ Miku (รวมทั้ง Vocaloid ตัวอื่นๆด้วย) ที่ชอบดูถูก Vocaloid ด้วยกัน (ตัวที่ตัวเองไม่ชอบ) และพวกเขาก็ชอบแสดงพฤติกรรมนี้ใส่นักร้องบางคนด้วย (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จัสติน บีเบอร์) คุณ Dave Endresak ไม่เห็นด้วยที่หลายๆคนชอบเปรียบเทียบและตัดสินว่าอันนี้ “ถูก” อันนี้ “ผิด”
คุณ Dave Endresak บอกว่าเข้าใจทุกคนดี ไม่ว่าภาษาอังกฤษของ Miku จะออกมาอย่างไร มันรุ่งแน่นอน ลองสังเกตช่วงที่ยังไม่มี Miku Append หลายคนก็ชอบบ่นว่าเสียงเธอไม่เหมือนเสียงมนุษย์ ทำให้เหล่าศิลปินในญี่ปุ่นแต่งเพลงที่ตอกย้ำความไม่เหมือนมนุษย์ออกมา (อย่างเพลง The Disappearance of Hatsune Miku ที่ไม่มีมนุษย์คนไหนร้องสดได้แน่นอน) และที่สำคัญคือเพลงเหล่านั้นประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ถ้าเรามองกลับกันดูละ ภาษาอังกฤษของ Miku ที่ว่าแย่ เอาเข้าจริงๆมันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นหรอก ไม่แน่ มันอาจจะประสบความสำเร็จกว่า Miku ในภาษาญี่ปุ่นอีก (เพราะทั่วโลกคนเขาพูดภาษาอังกฤษ ไม่ใช่ภาษาญี่ปุ่น)
“ถ้าคุณตัดสินภาษาอังกฤษของ Miku ว่ามันแย่ แสดงว่าคุณยังไม่เข้าใจถึงคนที่พยายามอย่างเต็มที่แล้วแต่ก็ไม่สามารถพูดได้เหมือนคนปกติ” (ยกตัวอย่างเช่น คนพูดติดอ่าง)
เสียงของ Vocaloid ทุกๆตัวมีจุดเด่นที่เหมือนกันคือความยืดหยุ่น เหล่าศิลปินสามารถปรับแต่งเสียงเพื่อให้เข้ากับแนวเพลงที่พวกเขาแต่งขึ้นมาได้ และการที่ Vocaloid สักตัวหนึ่งมีเสียงมากกว่า 1 อารมณ์ มันก็ยิ่งทำให้ความยืดหยุ่นที่ว่านั้นสูงมากขึ้นไปอีก มันทำให้ Vocaloid ตัวนั้นเข้าถึงผู้คนได้ทุกกลุ่ม ยิ่งไปกว่านั้น ถ้า Vocaloid ตัวที่ว่าสามารถร้องได้มากกว่า 1 ภาษาล่ะ เสียงของมันก็จะยืดหยุ่นขึ้นไปอีก สุดท้าย Vocaloid ตัวนั้นก็จะ “เข้าถึงผู้คนได้ทั่วโลก” นี่คือสิ่งที่ Crypton กำลังทำอยู่ และ Vocaloid ตัวที่ว่าก็คือ Miku
นอกจากนี้คุณ Dave Endresak ยังขอวิจารณ์แฟนคลับ Miku (รวมทั้ง Vocaloid ตัวอื่นๆด้วย) ที่ชอบดูถูก Vocaloid ด้วยกัน (ตัวที่ตัวเองไม่ชอบ) และพวกเขาก็ชอบแสดงพฤติกรรมนี้ใส่นักร้องบางคนด้วย (โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จัสติน บีเบอร์) คุณ Dave Endresak ไม่เห็นด้วยที่หลายๆคนชอบเปรียบเทียบและตัดสินว่าอันนี้ “ถูก” อันนี้ “ผิด”
คำถามจากผู้เข้าร่วมงาน
พอจะบอกได้หรือไม่ว่าคอนเสิร์ตในอเมริกาครั้งต่อไปจะจัดที่เมืองไหน
คุณ Muraki บอกว่ามีปัจจัยมากมายที่เป็นตัวกำหนดสถานที่ในการจัดคอนเสิร์ตทั้งที่อเมริกาและที่อื่นๆ (คุณ Tara ก็เห็นด้วยกับเรื่องนี้) Crypton เข้าใจความปรารถนาอันแรงกล้าของแฟนๆ Miku และพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุด การจัดคอนเสิร์ตจะไม่ใช่เรื่องยากอะไรเลยถ้าเราได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์ (เหมือนที่ Toyota เป็นสปอนเซอร์หลักในการจัด Mikunopolis) รวมทั้งการจัดหาสถานที่
ถ้ามีใครซักคนอยากจะช่วยสนับสนุนเงินทุนในการจัดคอนเสิร์ต ทาง Crypton ก็ยินดีที่จะรับไว้พิจารณา
หมายเหตุ : การจัดคอนเสิร์ตให้ Miku นั้นมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการจัดคอนเสิร์ตของนักร้องทั่วไปมาก เพราะเราต้องเปลี่ยนไปใช้เทคโนโลยีใหม่ๆอยู่ตลอด
ทาง Crypton จะวางจำหน่าย Miku V3 English ออกมาในรูปแบบใด
ยังไม่มีรายละเอียดในส่วนนี้ แต่เราตั้งใจจะทำลงในระบบที่เหมาะสมที่สุดและมันจะมาพร้อมกับบริการหลังการขายที่ยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน (อย่าลืมว่าข้อเสียสุดยิ่งใหญ่ของโปรแกรมใน PC คืออะไร)
มีรายละเอียดเกี่ยวกับกำหนดการของ Append บ้างไหม
นอกจากสิ่งที่เราประกาศออกไปก่อนหน้านี้ (Miku V3 English กับ Kiato V3) ทาง Crypton กำลังพัฒนา Vocaloid ทุกตัวให้ใช้เทคโนโลยีล่าสุดอย่าง Vocaloid 3 ของ Yamaha แต่เรายังไม่สามารถระบุได้ว่าจะแล้วเสร็จเมื่อใด
มีความเห็นอย่างไรกับข้อมูลของ Aniplex USA เกี่ยวกับวันและเวลาในการจัด Mikunopolis ครั้งต่อไป
คุณ Muraki บอกว่าทาง Crypton เองก็ไม่ทราบว่าในอนาคต คอนเสิร์ตที่เป็นลิขสิทธิ์ของ Sega จะไปจัดที่ใด
ถึงแม้ว่าคุณ Muraki พยายามเลี่ยงที่จะตอบคำถามนี้ตรงๆ แต่คุณ Dave Endresak ก็ได้ยกมือเสนอตัวเพื่อตอบคำถามนี้แทนเธอเอง โดยคุณ Dave Endresak ได้ข้อมูลมาจาก Aniplex USA Panel เมื่อวันศุกร์
คุณ Dave Endresak ได้ถามไปยังคุณ Emmanuelle (ซึ่งติดต่อกับ Aniplex USA) ในช่วงที่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าร่วมงานถามคำถามต่างๆได้ เขายืนยันว่า “เร็วๆนี้” อย่างแน่นอน แต่ก็ไม่สามารถระบุวันที่ชัดเจนได้ เห็นได้ชัดว่า Aniplex USA ไม่ได้มีข้อมูลใดๆเกี่ยวกับกำหนดการจัด Mikunopolis (สรุปคือยังไม่มีกำหนดการจัด Mikunopolis ในตอนนี้และในอนาคตอันใกล้นี้)
มีโอกาสที่ Crypton จะทำ Vocaloid ตัวใหม่ไหม
เรายังไม่คิดจะทำตอนนี้
Crypton มีแผนจะใช้เกม Project Diva ตีตลาดในอเมริการึเปล่า
ทาง Crypton ก็อยากจะทำอย่างนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะ Sega เป็นคนถือลิขสิทธิ์เกม Project Diva (Sony เองก็มีอำนาจในการตัดสินใจเรื่องนี้พอสมควร)
ระหว่างที่คุณ Tara ทำสารคดี Mikumentary คุณไปเจอใครที่เห็นต่าง มอง Miku ในด้านลบบ้างไหม
(คนที่ยิงคำถามนี้ไปบอกว่าตัวเขาเองก็ไม่ค่อยจะชอบ Miku ซักเท่าไหร่)
คุณ Tara ตอบว่าเธอเองก็ไปเจอคนที่ไม่ชอบ Miku อยู่ไม่น้อยทีเดียว บางคนก็ยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับ Miku อยู่ จากนั้นคุณ Muraki ก็อธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้เพิ่มเติม (บางคนยังคิดว่า Miku เป็นตัวการ์ตูนอยู่) จากนั้นคุณ Tara ก็ถามหญิงสาวลูกครึ่งแอฟริกันอเมริกัน (คนผิวสีนั่นเอง) เธอดูตื่นเต้นเล็กน้อยก่อนจะตอบคำถามว่า “แม้ว่า Miku จะเป็นเพียงโปรแกรมในคอมพิวเตอร์ แต่ในใจฉันแล้ว Miku มีตัวตนอยู่จริง” (โปรแกรมคอมพิวเตอร์ทำงานได้ด้วยกระแสไฟฟ้า ทุกคนจะถูกช็อตทันทีที่ไปจับมัน แสดงว่าโปรแกรมคอมพิวเตอร์มีตัวตนอยู่จริง และนั่นก็หมายความว่า Miku มีตัวตนอยู่จริง ^_^) แล้วคุณ Tara ก็ถามผู้เข้าร่วมงานคนอื่นๆต่ออีกหลายคน
ในการจัดงานครั้งต่อไป คุณ Saki Fujita จะมาร่วมงานเหมือนที่คุณ Yu Asakawa มาในปีนี้ไหม
Crypton คงไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องนี้ได้ แต่ถ้าผู้จัดงาน NYCC ส่งคำเชิญไปยังคุณ Fujita เธออาจจะตอบตกลงก็ได้
ติดตามรายละเอียดเกี่ยวกับคุณ Yu Asakawa ภายในงาน NYCC 2012 ได้ ที่นี่
ตั้งแต่คุณ Muraki ทำงานกับ Crypton มา คุณประทับใจช่วงเวลาไหนมากที่สุด
คุณ Muraki ตอบคำถามโดยเริ่มจากการบอกว่า Crypton นั้นตั้งอยู่ที่ซัปโปโรต่างจากบริษัทอื่นๆที่มักจะตั้งอยู่ที่กรุงโตเกียว ทำให้การทำตลาดของ Crypton นั้นแตกต่างจากบริษัททั่วไป เธอทำงานให้กับ Crypton มานานแล้ว ช่วงที่รู้สึกดีที่สุดน่าจะเป็นช่วงหลังคอนเสิร์ตในวันที่ 9 มีนาคม 2012 ที่สื่อจากทั่วทุกมุมโลกพากันประโคมข่าวการจัดคอนเสิร์ตในครั้งนั้น
ในตอนนั้นเธอโพสลิ้งค์เว็บอันหนึ่งใส่ Official Facebook Page ของ Miku ลิ้งค์นี้เชื่อมต่อไปยังเว็บไซด์ของ The Huffington Post ที่พาดหัวข่าวว่า "Fake Singer" และรายละเอียดต่างๆเกี่ยวกับคอนเสิร์ตในครั้งนั้น หลังจากนั้นไม่นานเธอก็ได้รับรู้ถึงพลังแห่งชุมชนออนไลด์อย่างเฟสบุ๊ค เพราะมันทำให้แฟนเพลงของ Miku มีอคติกับ The Huffington Post ไปโดยปริยาย (แม้ว่า The Huffington Post จะมีชื่อเสียงพอสมควร แต่เหล่านักวิชาการต่างรู้ดีว่ามันเป็นแหล่งข่าวที่ไม่น่าเชื่อถือสักเท่าไหร่ พวกเขาจะไม่อ้างอิงข้อมูลใดๆจาก The Huffington Post ในการทำวิจัยเลย) แฟนคลับ Miku อีกกลุ่มเกรงว่าในอนาคต เวลามีคนที่ไม่รู้จักเธอมาอ่านแล้วจะเข้าใจผิดและนำความเขาใจผิดๆนั้นไปเผยแพร่ต่อ จึงแจ้งไปยัง The Huffington Post หลังจากนั้นเพียง 3 ชั่วโมง ทาง The Huffington Post ก็ได้แก้ไขจาก "Fake Singer" เป็น "Virtual Singer" แทน
อะไรคือแรงบันดาลใจในการสร้าง Miku และคุณมีความเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้
นอกจาก Meiko และ Kaito จะใช้เทคโนโลยี Vocaloid 1 แล้ว เรายังได้คิดตัวการ์ตูนขึ้นมาเพื่อใช้เป็นตัวแทนของเสียง Meiko และ Kaito ด้วย ส่วน Miku นั้นใช้เทคโนโลยี Vocaloid 2 และเราตั้งใจจะออกแบบเธอให้สื่อถึงอนาคตเช่นเดียวกับชื่อของเธอ (คุณ Sasaki เคยบอกไว้ว่าคอนเซ็ปต์ดีไซน์ของ Miku นั้นเป็นความลับ แต่ถ้าคุณได้ดูวิดีโอนี้แล้วคุณจะรู้เลยว่าการออกแบบ Miku ในหลายๆส่วนมาจากอุปกรณ์สังเคราะห์เสียงอย่าง Yamaha DX-7)
http://www.youtube.com/watch?feature=player_detailpage&v=Jhr2jJH-SuU
Credit : Dave Endresak
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kachanking เมื่อ 2012-10-18 18:05
สรุปการเสวนาในหัวข้อ Miku ภายในงาน NYCC 2012
[IMG]