เหยื่อรอด
25 กันยายน 1988 ดาห์เมอร์ย้ายเข้ามาอยู่พาร์ตเมนต์ บนถนนสายที่ 25 เหนือ ในเมืองมิลวอกี้ เมื่อย้ายมาอยู่มาได้ไม่นานเขาก็ได้เจอเด็กชายไกรสร สินธโสภณชาวลาวอายุ 13 ปี ดาห์เมอร์ใช้เงินล่อไกรสรมาถ่ายรูปโป๊ จากนั้นก็วางยาและลวนลามเขา แต่ก่อนที่จะมีอะไรกันต่อไป ไกรสรเกิดไหวตัวทัน หนีรอดออกมาได้ ผู้ปกครองเขารีบพาตัวส่งโรงพยาบาล และแจ้งตำรวจ
ดาห์เมอร์ถูกตำรวจจับกุมตัวถึงที่ทำงานเขาในโรงงานผสมเหล้า ในข้อหาพรากผู้เยาว์ และพยายามล่วงละเมิดทางเพศแก่เด็กชาย
วันที่ 30 กรกฎาคม ปีค.ศ. 1989 เขาถูกดำเนินคดี แต่แต่ไม่นานก็ประกันตัว ขณะที่ตรวจสอบสภาพจิตก่อนที่ศาลจะตัดสิน อัยการและพ่อเขาวอนขอให้คำตัดสินอยู่ในความดูแลของแพทย์ และดาห์เมอร์ได้แสดงความต้องการอย่างจริงใจว่าต้องการรักษาโรคจิตให้หาย โดยรับทัณฑ์บนและรักษาตัวอยู่ในสถานบำบัด 1 ปี
แอนโทนี่ เชียร์
เมื่อพ้นโทษทัณฑ์บน ดาห์เมอร์ได้พักกลับยายอีกครั้ง และไม่นานเขาก็ได้เจอเหยื่อรายใหม่อีก แอนโทนี่ เชียร์ เกย์ผิวดำอายุ24 ปี การลงมือไม่ต่างครั้งก่อน ๆ มากนัก เอาเงินมาล่อแล้วพาแอนโทนี่ไปถ่ายภาพเปลือยที่บ้านย่า(ย่ายังอยู่ในบ้าน) วางยาจนมึนเมาแล้วจับหักคอ ข่มขืนทวารหนักในขณะที่ศพกำลังอุ่นๆ อยู่และหั่นเป็นชิ้นทำลายหลักฐาน
แต่ครั้งนี้พิเศษหน่อย เขาตัดหัวของเหยื่อมาต้มในหม้อจนหนังหัวหลุดออก และนำมาทาสีให้เป็นสีเทา จากนั้นก็ตั้งไว้ดูเล่นในห้อง บางครั้งครึ้มอกครึ้มใจก็สำเร็จความใคร่กับหัวกะโหลกนั้นด้วย
รังนรกแตก
14 พฤษภาคม 1990 ดาห์เมอร์ย้ายกลับไปที่อพาร์ตเมนต์เดิมอีกครั้ง และมหกรรมสยองได้บังเกิดอีกครั้ง
แค่ 15 เดือน เขาเชือดคูร่วมนอนไปถึง 12 ศพ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม เฉลี่ยคือฆ่าคนสัปดาห์ล่ะครั้ง ในจำนวนนี้มีชายผิวขาว 1 คน ผิวดำ 3 คน ยุโรป 1 คน เอเชีย 1 คน อายุน้อยที่สุด 14 ปี มากที่สุด 31 ปี
เหยื่อส่วนใหญ่มักอาศัยในพื้นที่ที่ตำรวจเรียกว่าพื้นที่เสี่ยง เป็นที่ชุมนุมของเหล่าทรชนที่มีประวัติอาชญากรร้ายแรง อาทิวางเพลิง ล่วงละเมิดทางเพศ ข่มขืน หัวไม้ ฯลฯ
และนี้คือรายชื่อเหยื่อที่ดาห์เมอร์ฆ่าตลอดระยะ 15 เดือนที่ผ่านมา
เอ็ดเวิร์ด สมิธ มิถุนายน 1990
ริคกี้ ลี บีคส์ กรกฏาคม 1990
เออร์เนสท์ มิลเลอร์ กันยายน 1990
เดวิด โธมัส กันยายน 1990
เคอร์ติส สเตราห์เตอร์ กุมภาพันธ์ 1991
เออร์รอล ลินด์เซย์ เมษายน 1991
แอนโทนี่ ฮิวจ์ 24 พฤษภาคม 1991
โคเนรัค สินธโสภณ 27 พฤษภาคม 1991
แม็ท เทอร์แมอร์ 30 มิถุนายน 1991
เจอเรเมียห์ ไวน์เบอร์เกอร์ 5 กรกฏาคม 1991
โอลิเวอร์ เลซี่ย์ 12 กรกฏาคม 1991
โจเซฟ เบรดโฮ๊ฟท์ 19 กรกฎาคม 1991
จะเห็นได้ว่าตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 1991 เขาสังหารเหยื่ออาทิตย์ละราย โดยใช้วิธีการเดิมๆ คือหลอกมาที่ห้องหมายเลข 213 ให้ดูวีดีโอลามกแบบรักร่วมเพศ จากนั้นก็วางยาในเครื่องดืมให้เหยื่อกิน พอเหยื่อมึนก็รัดคอด้วยมือเปล่าหรือไม่ก็ใช้เข็มขัดรัดจนตายคามือจากนั้นก็ลงมือข่มขืนศพแล้วสำเร็จความใคร่ให้น้ำกามรดลงไปบนศพ
วิปริตดีแท้
โคเนรัค สินธโสภณ
นี้คือเหยื่อที่อายุน้อยที่สุดที่เจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์ มีอายุเพียง 14 ปีเท่านั้นโคเนรัค สินธโสภณ ก็ไม่ใครที่ไหนเขาเป็นน้องชายของไกรสรที่เคยหนีรอดจากหน้ามือเขามานั้นแหละ เพียงแต่โคเนรัค สินธโสภณไม่โชคดีเหมือนไกรสรเท่านั้นเอง แต่ก็เกือบรอด ตอนที่ถูกวางยา เขาหนีสุดชีวิตออกมาออกมาได้ ในขณะที่เจฟฟรีย์ออกไปข้างนอกในสภาพสลึมสลือในฤทธิ์ยา
เวลา 02.00 แซมดร้า สมิธ ผู้เห็นเหตุการณ์โทรแจ้งตำรวจให้มาช่วย
"ช่วยส่งสายตรวจมาด่วน(บอกสถายที่รายละเอียด) มีเด็กชายวิ่งหนีอะไรบางอย่างไม่คิดชีวิต ดูคล้ายกับถูกทำร้ายและมีอาการบาดเจ็บด้วย"
เมื่อตำรวจ 3 นาย มาถึงดาห์เมอร์ก็ตามมา เขาอ้างว่าโคเนรัคเป็นแฟนเขาไม่มีอะไรร้ายแรง เพียงแค่ดื่มเหล้าและงอนออกเพี้ยนนิดหน่อยแล้วแก้ผ้าวิ่งโทงๆ ส่วนโคเนรัคถูกมอมยาจนให้การไม่ได้ เจฟฟรีย์ควักบัตรประจำตัวประชาชนให้ตำรวจดู ตำรวจเชื่อก่อนจะให้เจฟฟรีย์พาโคเนรัคกลับด้วยกัน ท่ามกลางความไม่พอใจของแซมดร้า สมิธ
แต่เพื่อความแน่นใจตำรวจตามประกบเด็กหนุ่มกับเจฟฟรีย์ เข้าไปในห้องพักของอพาร์ทเมนต์ เมื่อเปิดออกมามีกลิ่นเนาโซยมาแต่ไม่ใส่ใจ ทุกอย่างจัดเป็นระเบียบเรียบร้อยไม่มีการต่อสู้ เสื้อผ้าของโคเรรัคพาดอยู่บนโซฟา มีรูปถ่ายโคเนรัคในชุดบีกีนี่ตกอยู่สองรูป
เมื่อไม่มีอะไรเจฟฟรีย์กล่าวขอโทษตำรวจที่ทำให้เสียเวลา และสัญญาว่าไม่ให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นอีก ก่อนที่ตำรวจจะกลับไป
คงไม่ต้องบอกแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกลับเหยื่อที่น่าสงสารคนนี้ ภายหลังจากคลี่คลายคดีแล้ว มีการสั่งพักราชการตำรวจ 3 นายดังกล่าวโทษฐานละเลยต่อหน้าที่ ลำเอียงต่อเชื้อชาติ เพราะเพียงแค่พวกเขาเดินเข้าห้องเจฟฟรีย์ก็พบศพโทนี่ ฮิวจ์เหยื่อคนเก่าที่ขึ้นอืดบนเตียงและรูปถ่ายศพมากมายกองเรี่ยราดอยู่ หรือเพียงแค่สืบประวัติส่วนตัวในบัตรประชาชนกับคอมพิวเตอร์ก็รู้ข้อหากระทำอนาจารต่อเด็กในอดีตไปแล้ว
ต่อมาเรื่องของโคเนรัค สินธโสภณทำให้เกิดการแบ่งออกเป็นสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเข้าข้างตำรวจโดยกล่าวว่าตำรวจทำหน้าที่ดีที่สุดแล้ว ส่วนอีกฝ่ายโจมตีว่าตำรวจมักเชื่อผิวขาวมากว่าคนผิวสีคนเอเชีย
ของสะสม
ดาห์เมอร์ยังคงออกล่าและสังหารเหยื่อต่อไป ร่างของเหยื่อจะถูกตัดออกเป็นชิ้นเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย ใส่ลงในอ่างน้ำ ผสม ทา ราดด้วยน้ำกรดและน้ำยาเคมี เนื้อถูกย่อยสลายส่งกลิ่นร้ายกาจเช่นเดียวกับกระดูกที่ถูกกัดจนเป็นสีดำกลิ่นน่าคลื่นไส้ จากนั้นก็เก็บมาดูเล่นเมื่อเบื่อก็นำชิ้นส่วนเหล่านั้นทิ้งไปยังโถส้วมหรือท่อระบายน้ำจนหมด บางครั้งก็ผ่าแบะศพออกเป็นสองซีกราวกับชำแหละหมู มองดูอวัยวะภายใน และรู้สึกมีความสุขกับกลิ่นคาวและไออุ่นที่ระเหยออกจากภายในศพ
นอกจากนี้ยังมีกะโหลกที่ถูกทาสีเทาและองคชาติที่ตัดออกมาจากศพที่ดองเก็บไว้ในขวดแก้วบรรจุยาฟอร์มัลดีไฮด์ ส่วนหัวที่ตัดออกเขาเอาไปต้มหม้อจนเปื่อยยุ่ย จากนั้นลอกเนื้อหนงให้เหลือแต่กะโหลกแล้วทำความสะอาดให้สวยงามเหมือนของเล่นพลาสติก
เมื่อนานๆ เจฟฟรีย์เพิ่มความสุนทรีย์ยิ่งขึ้น และเพื่อความสะใจ เขาก็เริ่มกินศพ เริ่มคิดค้นหาวิธีใหม่ๆ ในการฆ่าเหยื่อ เช่นใช้สว่านเจาะสมองแล้วเอาน้ำกรดราดบนสมอง แต่บางรายไม่ตายเพราะไม่ถูกส่วนสำคัญทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานชักเป็นเวลาหลายวันก่อนจะตาย
ด้วยความรู้สึกเหล่านี้เจฟฟรีย์เริ่มเข้าสัทธิซาตาน เวลาว่างๆ เขามักเอาศพที่หั่นเป็นท่อนๆ มาวางรอบตัวเพื่อแสดงถึงอำนาจ
"ไม่ต้องถามหรอกว่าพลังแห่งปีศาจอยู่ในโลกนี้หรือไม่ ผมถูกสิงสู่ด้วยพลังงานอำนาจแห่งปีศาจ ผมไม่แน่ใจหรอกน่ะว่าพระเจ้าและปีศาจมีจริงหรือไม่ แต่ผมคิดว่ามันคงสายไปแล้วที่จะมาใคร่ครวญ ผมต้องการเป็นผู้สร้าง ผมจะสร้างวิหารอันศักดิ์สิทธิ์ในห้องพักของตัวเอง มีรูปเคารพกริฟฟรินและกะโหลกใสกำยานกลิ่นซาบซ่าต่อจิตใจเป็นเครื่องสักการะ เพื่อที่จะให้อำนาจและเงินทองไหลเทลงมา
แต่ความฝันนี้ยุติลงจนกระทั้งเขาลงมือกับเหยื่อรายสุดท้ายพลาดเหยื่อคือ เทรซี่ เอ็ดเวิร์ดส์ ในคืนวันที่ 22 กรกฎาคม 1991 ดังกล่าว
ฆาตกรโรคจิต เจฟรี่ดาห์เมอร์ #3
[img]
[IMG]
[/img]