อ่านไม่ผิดหรอกครับ
เชิญ
วิลเลียม แมคโดนัลด์ (William MacDonald)
ช่วงต้นทศวรรษที่ 1960 ที่เมืองซิดนีย์ของออสเตรเลียได้มีการจับกุมฆาตกรต่อเนื่องสุดโหด วิปริตสติแตก รายหนึ่งที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักสำหรับประเทศที่สงบสุขแห่งนี้
เขาชื่อวิลเลียม แมคโดนัลด์
ที่ว่าฆาตกรวิปริตสติแตก ก็เพราะเขาชอบฆ่าและตัดจู๋เหยื่อ!
........................................
วิลเลี่ยม แม๊คโดนัลด์ เป็นเด็กชายชาวอังกฤษ ถือกำเนิดขึ้นบนโลกในปีค.ศ.1924 ในชื่อว่า "วิลเลี่ยม จินส์เบิร์ก" ที่เมืองลิเวอร์พูลอันโด่งดัง
วิลเลี่ยมเป็นคนที่ไม่ค่อยสุงสิงกับใครนัก ที่จริงออกจะเป็นคนไม่มีเพื่อนด้วยซ้ำไป เมื่อมีอายุได้ 19ปี วิลเลี่ยมได้เข้ารับราชการในกองทัพของอังกฤษ(ปีค.ศ.1943) และถูกส่งตัวไปประจำการที่ Lancashire Fusiliers
ที่นั่นเองที่เขาถูกนายสิบคนหนึ่งข่มขืนเขาอย่างทารุณภายใต้หลุมหลบภัยทางอากาศ อีกทั้งนายสิบจอมโหดยังขู่เข็ญว่าจะฆ่าเขาเสียให้ตายถ้าหากว่าเขาไปเล่าความจริงให้ใครฟังอีกด้วย เหตุการณ์คราวนั้นทำให้วิลเลี่ยมรับรู้ถึงรสชาติของรักร่วมเพศและกลายเป็นความกดดันที่คอยหลอกหลอนเขาตลอดเวลาถึงเรื่องราวของการถูกข่มขืน และพยายามจะเอาคืนกับคนอื่นอยู่เสมอ
จนพัฒนาเป็นฆาตกรในเวลาต่อมา
ในปี ค.ศ.1947 หลังจากที่ลาออกมาจากกองทัพ นั่นเอง วิลเลี่ยมรุ้สึกว่ามีเสียงประหลาดๆคอยกระหน่ำสมองเขาอยู่ตลอดเวลา และนั่นเองที่เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาถูกพี่ชายนำตัวส่งโรงพยาบาลโรคจิตแห่งหนึ่งในสก๊อตแลนด็อยู่เนิ่นนานถึง 6เดือนเต็มๆ ช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาที่ทรมานมาก เพราะวิลเลี่ยมต้องถูกไฟฟ้าช๊อตบำบัดอาการอยู่อย่างน่าเวทนา เขาถึงกับเข็ดขยาดเหตุการณ์คราวนั้นไม่หาย
ต่อมาปี ค.ศ. 1949 เขาก็เปลี่ยนนามสกุลจากวิลเลี่ยม จินส์เบิร์กมาเป็น วิลเลี่ยม แม๊คโดนัลด์ ก่อนที่จะอพยพไปอยู่ที่แคนาดาพักหนึ่ง หลังจากนั้นจึงย้ายไปอีกครั้งที่ออสเตรเลียในปี ค.ศ.1955 วิลเลี่ยมย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ เพราะแต่ละแห่งที่เขาอยู่นั้นต่างก็มีผู้คนที่พร้อมจะล้อเขาว่า "ไอ้ตุ๊ด" หรือ "ไอ้พวกเบี่ยงเบน" อยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ทั้งนั้นวิลเลี่ยมโทษเหตุการณ์ร้าวรานใจเมื่อครั้งที่เขาถูกนายสิบจอมโหดข่มขืนเขาแบบชายเหนือชายมาก่อนทุกครั้งไป
ปีค.ศ.1960 วิลเลี่ยม แม๊คโดนัลด์ย้ายเข้ามาอยู่ที่เมืองบริสเบนของออสเตรเลีย ความเป็นประเทศที่สงบ ผู้คนเป็นมิตร ทำให้วิลเลี่ยมเริ่มคิดว่าที่นี้คือเวทีที่เหมาะแก่การสังหารเหยื่อของ และเหมาะที่จะเป็นชำระแค้นที่ฝังลึกในอดีตซะที
และแล้วก็มาถึงเหยื่อรายแรก!
อามอส เฮิร์สต์ ซึ่งเป็นอดีตช่างก่ออิฐวัย 55 ปีที่ว่างงานอยู่พอดี ก่อนหน้านั้นคนทั้งสองคนชวนกันดื่มเหล้าจนเมามาย แล้วอามอสก็ชวนวิลเลี่ยมมาที่ห้องพักของเขา แล้วจู่ๆ วิลเลี่ยมก็เกิดคิดอยากสังหาร อามอสขึ้นมาดื้อๆ ราวกับเป็นสิ่งที่เรียกร้องกระหายเลือดที่อยู่ในตัวของวิลเลี่ยม
ที่จริงแล้วเขาไม่ได้คิดมาก่อนด้วยซ้ำว่าจะไปสังหารอามอส แต่พอหัวใจมันคิดอยากจะฆ่าเขาก็ลงมือบีบคออามอสจนกระทั่งขาดใจตายเลือดทะลักท่วมปากท่วมจมูกทันตาเห็น เมื่อเห็นว่าเหยื่อตายสนิทแล้วก็จัดการถอดเสื้อผ้าเหยื่อจนสิ้นแล้วจึงเดินทางหลบไปซ่อมตัวฟังเรื่องราวที่ห้องพักของเขาทางตอนใต้ของบริสเบน น่าแปลกใจที่การสังหารครั้งแรกของเขานั้นไม่ทำให้ตำรวจสงสัยในการตายของอามอสเท่าใดนัก แถมยังมีรายงานตามใบมรณบัตรด้วยซ้ำไปว่าอามอสนั้นตายด้วยโรคหัวใจวาย เหตุนี้จึงทำให้วิลเลี่ยมคิดว่าเรื่องการฆ่าคนนั้นไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก
“ฆ่าคนมันง่ายจริงๆ ว่ะ”
ในเดือนมกราคม 1961 วิลเลี่ยมย้ายเข้าไปอยู่ในเมืองซิดนีย์ โดยเข้าทำงานเป็นคนคัดแยกจดหมายทั้งยังเปลี่ยนชื่อและนามสกุลใหม่เป็น "อลัน เอ็ดวาร์ด เบร็นแนน" แต่แล้ว จู่ๆ เสียงร่ำร้องให้ทำการสังหารคนก็กระหน่ำสมองของวิลเลี่ยม(หรืออลัน) อย่างหนักอีกครั้ง
วันที่ 4 มิถุนายน 1961 เขาก็หาทางไปตีสนิทกับช่างเหล็กตกงานวัย 41 ปีที่ชื่อว่า อัลเฟร็ต เรจินาลด์ กรีนฟิลด์ ในส่วนสาธารณะ กรีนพาร์ค ในเขตดาร์ลิงเฮิร์สต์
วิลเลี่ยมรู้สึกว่ายิ่งพูดคุยกับ อัลเฟร็ดมากเท่าไหร่เขาก็ยิ่งคิดถึงความทุกข์ทรมานในใจที่ถูกสร้างรอยร้าวขึ้นมาโดยนายสิบจอมโหดที่ข่มขืนเขาเมื่อตอนที่มีวัย 19 ปีขึ้นมากเท่านั้น
และเมื่ออัลเฟร็ด นอนหงายด้วยความเมาบนพื้นสนามหญ้าวิลเลี่ยมก็สวมเสื้อคลุมกันฝนแล้วจัดการกระหน่ำแทงไปที่ลำคอของอัลเฟร็ดจนเลือดกระฉูดไปทั่ว แรงแค้นแบบเถื่อนๆ จากอดีตฝังใจทำให้เขาแทงไปทั่วส่วนหัว คอ ใบหน้า และหน้าอกของเหยื่ออย่างอัลเฟร็ด และแทงอยู่อย่างนั้นจนกระทั่งหมดเรี่ยวแรงจะยกมีด
จากนั้นเขาจึงปลดกางเกงของอัลเฟร็ดออกแล้วก็ยกท่อนอวัยะเพศและอัณ-ฑะของอัลเฟร็ดขึ้นก่อนจะใช้มีดปากจนมันหลุดจากฐานจากนั้นก็โยนพวงอวัยวะเพศลงอ่าวซิดนีย์ทันที ตอนนั้นเองที่ ตำนานฆ่าปากกะปู๋ของจอมโหด หรือจอมตัด (The Mutilator) จึงเริ่มเป็นที่รู้จักของชาวเมืองซิดนีย์และกระจายไปทั่วประเทศออสเตรเลียในที่สุด
จากการชันสูตรศพของอัลเฟร็ดในเวลาต่อมานั้น ปรากฎว่ามีบาดแผลถูกแทงไปทั่วถึง 56 ครั้งด้วยกัน หนังสือพิมพ์ก็ประโคมข่าวกันใหญ่รวมทั้งเตือนผู้คนให้ระวังตัวด้วยอย่างเข้มงวด
แต่ก็มีเหยื่อรายที่สามจนได้
ราว 6 เดือนให้หลัง อาการอยากฆ่าคนก็เร่งเร้าอยู่ในสมองของวิลเลี่ยมอีกครั้ง วันที่ 21 พ.ย. 1961 เขาไปซื้อมีดยาว 6" คมกริบมาหนึ่งเล่ม จากนั้นก็ล่อลวงคนงานเหมืองว่างงานวัย 41 ปีที่ชื่อ เออร์เนสต์ วิลเลี่ยม ค๊อบบินไปยังสวนสาธารณะ มัวร์ พาร์คซึ่งอยู่ทางตะวันออกของซิดนีย์ และที่นั่นคนทั้งคู่นั่งคุยกันในห้องน้ำสาธารณะและชวนกันดื่มเหล้าจนเมามาย วิลเลี่ยมดึงเอาเสื้อคลุมกันฝนจากถุงข้างตัวขึ้นมาสวมใส่ จากนั้นก็ทิ่มแทงมีดไปยังคอหอยของเออร์เนสต์ทันที เลือดของเหยื่อกระจายไปทั่วราวน้ำพุพร้อมทั้งเกิดอาการตกใจสุดขีดนึกไม่ถึงว่าคนที่กินเหล้าด้วยกันจะคิดทำอะไรพิเรนอย่างนั้นได้
ท่อนแขน ลำคอ ใบหน้า ทรวงอก คือเป้าหมายที่โดนกระหน่ำแทงอย่างไม่ยั้งจนกระทั่งเหยื่อลงมากองกับพื้นห้องส้วมราบกับเศษเนื้อไร้ทางสู้ วิลเลี่ยมตัดอวัยวะเพศและอัณ-ฑะของเออร์เนสต์ออกจากร่างก่อนจะนำใส่ถุงพลาสติกและนำมันใส่ไว้ในถุงขยะแล้วจึงเดินออกจากห้องส้วมนั้นทันที วันต่อมาเขาจึงนำสิ่งต่างๆ เหล่านั้นห่อกระดาษหนังสือพิมพ์ผูกด้วยเชือกอย่างหนาแน่นและโยนมันทิ้งจากสะพานข้ามอ่าวซิดนีย์
ร่างของเออเนสต์ถูกค้นพบในภายหลังและมีการกระจายข่าวว่าเขาถูกแทงตายด้วยแผลฉกรรจ์มากมายถึง 52ครั้ง วิลเลี่ยมเริ่มมีความรู้สึกหวาดกลัวเป็นครั้งคราวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนอย่างไรก็ตามเขาไม่ประมาท เขาติดตามอ่านหนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ และรู้สึกไม่พอใจที่พวกหนังสือพิมพ์พากันขนานนามโจรโหดที่ยังจับตัวไม่ได้ว่า “ไ อ้โจรจอมตัด”
แม้กระทั่งเมื่อมีการพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กับเพื่อนร่วมงานกันถึงเรื่องนี้(เพื่อนๆที่ทำงานไม่รู้ว่าเขาเป็นฆาตรกรในตอนนั้น)เขาเองก็ยังไม่พอใจที่เพื่อนๆ วิจารณ์ถึงฆาตกรว่าเป็นไอ้พวกเบี่ยงเบน แต่ก็ต้องทนกล้ำกลืนไว้ในใจ
แม้กระทั่งเมื่อมีการพูดคุยวิพากษ์วิจารณ์กับเพื่อนร่วมงานกันถึงเรื่องนี้(เพื่อนๆที่ทำงานไม่รู้ว่าเขาเป็นฆาตรกรในตอนนั้น)เขาเองก็ยังไม่พอใจที่เพื่อนๆ วิจารณ์ถึงฆาตกรว่าเป็นไอ้พวกเบี่ยงเบน แต่ก็ต้องทนกล้ำกลืนไว้ในใจ
ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม วิลเลี่ยมคิดว่าอยากจะมอบตัวให้ตำรวจเหมือนกันแต่ปิศาจในสมองของเขาก็ยังเร่งเร้าให้เขาฆ่าคนสนองตัณหาอีกครั้ง
จนฆ่าเหยื่อรายที่สี่
31 มี.ค. 1962 วิลเลี่ยมไปซื้อมีดยาวมีปลอกมาเล่มหนึ่งเขาเก็บมันใส่ไว้ในกระเป๋าพร้อมเสื้อกันฝนอย่างมิดชิด
ราว 4 ทุ่มเขาก็ผูกมิตรกับ แฟรงค์ แกล็ดสโตน แม๊คลีน ซึ่งเป็นอดีตนักรบในสงครามโลกครั้งที่สอง และต่างคนก็ต่างชวนกันไปดื่มเหล้ากันยังเขต Bourke lane ซึ่งอยู่ในย่านใจกลางเมืองซิดนีย์ และในมุมมืดนั่นเอง เหยื่อร่างสูงกว่า 6ฟุต ก็โดนวิลเลี่ยมกระหน่ำแทงเข้าที่คอก่อน เหยื่อร่างสูงใหญ่พยายามปัดป้องแต่ไม่อาจทานทนน้ำมือฆาตกรที่กระหน่ำมีดรัวถี่ยิบบนหน้าตาและลำคอของเขาได้ ในที่สุดเหยื่อก็ลงไปนอนตายอยู่กับพื้นโดยที่วิลเลี่ยมจัดการปาดอวัยวะเพศออกจากร่างเหยื่ออย่างที่เคยทำมาก่อนนั่นเอง แต่คราวนี้เขาเกิดความกลัวว่าจะโดนจับได้เป็นอย่างมาก เพราะย่านที่ก่อเหตุนั้นเป็นย่านกลางเมืองแท้ๆ
แต่ในที่สุดก็เหมือนซาตานช่วยเพราะวิลเลี่ยมสามารถเก็บหลักฐานต่างๆลงในถุงได้อย่างว่องไว และหลีกเร้นออกมาจากย่านจอแจนั้นได้ก่อนที่จะโยนถุงพลาสติกพร้อมมีดลงในอ่าวซิดนีย์ได้อีกครั้ง ศพของแฟร๊งถูกพบในไม่กี่นาทีให้หลังจากการถูกสังหารโหดโดยคู่สามีภรรยาหนุ่มสาวคู่หนึ่ง ที่เดินผ่านไปในตรอกแคบๆนั้นเอง
ข่าวเรื่องนักฆ่าจอมตัดจู๋กระจายไปทั่วซิดนีย์อย่างน่ากลัวต่อเนื่อง มีการเตือนผู้คนให้ระวังตัวมากยิ่งขึ้น รวมทั้งมีการตั้งค่าหัวของโจรวิปริตรายนี้สูงถึง 5พันปอนด์
และเหยื่อรายที่ห้าก็ตามมา แต่เป็นครั้งที่ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ของวิลเลี่ยมอีกด้วย
และเหยื่อรายที่ห้าก็ตามมา แต่เป็นครั้งที่ทำผิดพลาดครั้งใหญ่ของวิลเลี่ยมอีกด้วย
พฤศจิกายน ค.ศ.1962 วิลเลี่ยมออกจากงานที่ทำอยู่แต่ยังคงใช้ชื่อว่า อลัน เอ็ดวาร์ด เบร็นแนนอยู่ เขาไปซื้อกิจการเล็กๆอยู่ในเมือง เบอร์วู้ด ซึ่งอยู่ทางแถบๆชานเมืองซิดนีย์ และที่นั่นเอง เขาก็ได้พบกับเหยื่อวัย 42 ปี ที่ชื่อ เจมส์ แฮคเก็ตต์ ซึ่งเป็นไอ้โจรลักเล็กขโมยน้อยที่เพิ่งจะถูกปล่อยออกมาจากคุกได้ 2-3 อาทิตย์เท่านั้น
หลังจากชวนกันดื่มจนเมามายแล้ว วิลเลี่ยมก็ชวนเจมส์ไปที่บ้านซึ่งเป็นธุรกิจเล็กๆของเขานั่นแหล่ะ และในที่สุดเมื่อเจมส์เมามายจนแทบหมดสติแล้วนั่นเอง วิลเลี่ยมก็งัดเอามีดยาวมาแทงเข้าที่ลำคอของเจมส์จนมีดทะลุคอเห็นๆ ทันทีแต่แทนที่จะตาย เจมส์กลับลุกขึ้นมาและยกแขนปัดป้องการทิ่มแทงในจังหวะถัดมา และระหว่างการปัดป้องกันอย่างรุนแรงนั้น ฝ่ายหนึ่งต้องการฆ่า อีกฝ่ายต้องการเอาตัวรอด ทำให้คมมีดตวัดเข้าบาดที่มือของฆาตกรอย่างวิลเลี่ยมทันทีจนเป็นแผลฉกรรจ์ที่ฝ่ามือ
แม้ว่าจะยากลำบากไปบ้าง แต่ในที่สุดเขาก็สังหารเจมส์ได้สำเร็จโดยการแทงทะลุหัวใจพร้อมกับกระหน่ำแทงจนหมดเรี่ยวแรงในที่สุด จากนั้นจึงไปหาผ้ามาพันมือที่บาดเจ็บเป็นแผลฉกรรจ์เลือดของวิลเลี่ยมออกมามากมายและทำให้เขาเหนื่อยและเพลียจนไม่รู้ตัวว่านอนเคียงกันไปกับศพของเจมส์ชนิดเลือดท่วมร่างไปด้วยกัน
เช้าวันรุ่งขึ้นเขาก็แปลกใจเล็กน้อยที่ตื่นขึ้นมาพร้อมกับเห็นศพ แต่ในที่สุดก็อาบน้ำแต่งตัวและไปโรงพยาบาลให้หมอเย็บแผลให้โดยอ้างว่าทำมีดบาดมือตัวเองก่อนที่จะกลับมาลากศพของเจมส์ไปไว้ในมุมมืดของร้านพร้อมทั้
งทำความสะอาดบ้านไปด้วยวันนั้น
งทำความสะอาดบ้านไปด้วยวันนั้น
ความที่กลัวว่าจะโดนตำรวจจับได้ทำให้เขาต้องรีบจับรถไฟเดินทางไปยังเมืองบริสเบนจากนั้นมาเขาก็หาหนังสือพิมพ์อ่านทุกวันไปโดยไม่รู้ว่าศพที่ทิ้งไว้ในบ้านนั้นถูกพบในอีกหลายวันต่อมาในสภาพเน่าเฟะจำหน้าตาไม่ได้ และนั่นเองเป็นเหตุที่ทำให้มีการฝังศพกันโดยที่ผู้คนคิดว่าเป็นศพของวิลเลี่ยมด้วยซ้ำไป เวลานั้นวิลเลี่ยมตัวจริงยังไม่รู้เหตุการณ์ทั้งหมด เขายังซุ่มตัวอยู่ที่บริสเบนจนกระทั่งตรวจสอบว่าทุกอย่างเงียบสงบแล้ว เขาจึงเดินทางกลับมายังซิดนีย์อย่างเก่า
และที่ซิดนีย์นี่เองทำให้วิลเลี่ยมต้องประหลาดใจเมื่อทราบจากเพื่อนที่หน้าตาตื่นของเขาว่า เพิ่งจะฝังร่างของวิลเลี่ยมไปนิ่นา นั่นแสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องโอละพ่อกันเพราะศพที่ถูกฝังไปนั้นแท้จริงแล้วเป็นศพของเจมส์ที่เละจนจำไม่ได้ วินาทีนั่นเองวิลเลี่ยมเริ่มรู้ตัวแล้วว่าความอาจจะแตก และเขาถึงกับหนีเรื่องราวทั้งหมดไปทำงานสร้างทางรถไฟที่รัฐวิคตอเรีย
เวลาเดียวกันหนังสือพิมพ์ก็เล่นข่าวเรื่องศพเดินได้ของวิลเลี่ยมกันยกใหญ่และทำให้มีการตรวจสอบจากทางการตำรวจกันอย่างถียิบอีกครั้ง มีการตรวจลายนิ้วมือย้อนหลังจามหลักฐานที่พบภายในบ้านและที่ศพของเจมส์ที่ถูกขุดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง คราวนี้ทำให้ตำรวจเริ่มรู้แล้วว่าใครคือฆาตกรหั่นกะปู๋ตัวจิงจึงได้มีการกระจายกำลังไล่จับจอมโจรหั่นกะปู๋ตัวจริงอย่างใกล้ชิด
เพียง 3 วันที่วิลเลี่ยมระเห็จมาอยู่ที่วิคตอเรียเขาก็ถูกตำรวจดมกลิ่นจนพบและถูกดำเนินคดีในที่สุดจากศาลสูงเมืองซิดนีย์ แม้ว่าจะมีโทษฐานฆ่าคนตายไปหลายคนแต่การให้การตลอดจนการพิจารณาถึงปูมหลังหลายอย่างของวิลเลี่ยม แม๊คโดนัลด็นั้นทำให้ศาลพิพากษาว่าเขามีอาการทางจิตหรือเป็นวิกลจริตในขณะที่ทำการสังหารเหยื่อ แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้ทางการซิดนีย์ปล่อยตัวเขาให้เป็นอิสระ
ตรงกันข้ามเขากลับถูกควบคุมตัวอย่างใกล้ชิดและถูกจองจำไปตลอดชีวิตเพียงแต่มีการดูอาการทางจิตควบคู่กันไปด้วย โดยที่ถูกคุมตัวอยุ่ในคุกที่ Morisset Psychiatric Centre ซึ่งเป็นศูนย์ควบคุมผู้ก่ออาชญกรรมที่เป็นโรคจิตซึ่งอยู่ที่ชายฝั่งนิวเซ้าเวลส์เป็นเวลาถึง 16ปีเต็ม ก่อนที่อาการทางจิตเริ่มจะดีขึ้นเรื่อยๆ
ใน ปี ค.ศ.1980 มีการตรวจพบว่าเขาไม่มีอาการทางจิตอีกแล้วเขาจึงถูกส่งตัวมาขังไว้ที่คุก เซสน๊อก ใกล้กับเมืองซิดนีย์ และคาดว่านักโทษจอมหั่นกะปู๋อย่างวิลเลี่ยม แม๊คโดนัลด์ในวัย 76 ปีทุกวันนี้ซึ่งอยู่ในคุกมาเนิ่นนานถึง 37 ปีเต็ม คงตายในคุกแน่นอน และคงทำสถิติชดใช้กรรมในคุกนานเป็นลำดับที่สองรองจากนักโทษจอมสังหารเด็กอย่างเล็นเนิร์ด คีธ ลอว์สัน
ปัจจุบันแม้ว่าวันเวลาแห้งความระทึกใจของฆาตกรจอมหั่นปู๋แห่งซิดนีย์จะทิ้งช่วงไปนานแล้วแต่ผู้คนก็ยังจดจำฆาตกรจอมโหดร้ายนี้ได้เป็นอย่างดี และหวังว่าคงไม่มีความร้ายกายแบบนั้นเกิดขึ้นอีกที่ซิดนีย์ เพราะมันเป็นเรื่องโหดเข้าไส้ seoหว่างขาที่สุดเรื่องหนึ่งแห่งยุคกลางๆของศตวรรษที่แล้ว
จากหนังสือโหดเหลือเชื่อ+ +
วิลเลียม แมคโดนัล นักฆ่าตัด จู๋ !!!!
[img]
[IMG]
[/img]