บทความ เนื้อเรื่อง หรือ คำอธิบาย โดยละเอียด
1. สัตว์ที่ถูกฝังในหิน (Animals encased in stone
ชื่อ อาจจะฟังดูสยองหน่อยนะครับ แต่เรื่องนี้เค้าก็จัดให้อยู่ในอันดับเรื่องแปลกและลึกลับอยู่เหมือนกัน ว่าด้วยเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์ที่ถูกหินห่อหุ้มหรือถูกฝังอยู่ในหิน ซึ่งบางทีก็อาจจะเป็นในต้นไม้บ้าง หากว่าไปมันก็น่าประหลาดและแปลกอยู่นะครับ ว่าทำไมสัตว์เหล่านี้ถึงอยู่ถูกฝังอยู่ในเนื้อต้นไม้ ในดิน ในก้อนหินแล้วมีชีวิตรอดอยู่มาอย่างยาวนานภายใต้สภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อ การดำรงชีวิตอยู่แบบนั้นได้ ไม่เพียงเป็นสิบหรือร้อยปี แต่บางทีอาจจะเป็นแสนหรือล้านปีก็เป็นได้ แล้วมันไปทำอะไรอยู่ในนั้น จะว่าถูกหินดินทับหรือสัตว์เหล่านั้นขุดและมุดลงไปเอง มันก็น่าแปลกใจและไม่น่าเป็นไปได้อ่ะนะครับ ก็ได้แต่คาดเดากันไปต่างๆ นานา แต่เหตุผลหรือทฤษฎีที่อธิบายปรากฏการณ์นี้ได้อย่างชัดเจนแล้ว ปัจจุบันก็ยังหาข้อสรุปมากล่าวกันลำบากอยู่พอดูนะเนี่ย
ชมตัวอย่างรายงานการพบเจอกันซักเล็กน้อยดีกว่าครับ
ค.ศ.1761 นักฟิสิกส์ชาวฝรั่งเศสได้ตีพิมพ์รายงานการพบคางคกถูกฝังอยู่ในก้อนหิน
ค.ศ.1818 นักธรณีวิทยาอเมริกัน 2 คนได้ขุดพบกบถูกฝังอยู่ในชั้นหินที่มีอายุมากกว่า 6,000 ปี
ค.ศ.1821 นาย David Virtue ขุดพบกิ้งก่าฝังอยู่ในชั้นหินลึกราว 22 ฟุต ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง เจ้ากิ้งก่าก็สามารถขยับและเคลื่อนไหวได้
ค.ศ.1856 สำหรับเรื่องนี้หลายคนก็อาจจะทราบกันดี เพราะโด่งดังพอดู มืออสูรฯ ก็เคยนำไปเขียนถึงครับ คือมีการขุดอุโมงค์เพื่อทำทางรถไฟใต้ดินของประเทศฝรั่งเศส แล้วบังเอิญขุดเจอสัตว์โบราณประเภท เทโรซอร์ (Pterosaur) หรือเทราโนดอน (Pteranodon) เข้า ซึ่งหลังจากขุดเจอเพียงไม่กี่นาที เจ้าสัตว์ตัวนี้ก็เริ่มขยับตัวขึ้นอีกครั้งครับ แต่อยู่ได้เพียงไม่นานมันก็ร้องออกมาแล้วขาดใจตายไป โอ้ น่าเสียดายอยู่นะครับเนี่ย
ค.ศ.1865 หนังสือ Hartlepool Free Press ของอเมริกาได้ตีพิมพ์รายงานการพบคางคกโบราณที่ถูกฝังอยู่ในโพรงชั้นหินปูน ลึกจากพื้น 24 ฟุต จากการตรวจสอบแล้วประมาณกันว่ามันมีอายุราวพันกว่าปีมาแล้ว
ค.ศ.1876 หนังสือพิมพ์ท้องถิ่นของแอฟริกาใต้ได้รายงานการพบ คางคกถึง 62 ตัว ถูกฝังอยู่ในโพรงต้นไม้ อายุไม่ต่ำกว่า 30-50 ปี เป็นอย่างน้อย
2. แคทเทิล มิวทิเลชั่น (Cattle Mutilations)
ถ้า หากจะนับย้อนไปถึงครั้งแรกๆ ที่มีการรายงานกันเรื่องแคทเทิล มิวทิเลชั่นแล้ว ก็คงจะต้องย้อนกลับไปเมื่อราวปี ค.ศ.1950 ครับ สำหรับประเทศแรกที่มีการรายงานในลักษณะนี้ออกมา ก็คงจะไม่พ้นประเทศอเมริกาครับ ที่รัฐแคนซัส (Kansas) และมินเนโซต้า (Minnesota) โดยจากการรายงานค้นพบบรรดาซากสัตว์ที่ถูกชำแหละโดยวิธีปริศนาที่ไม่เคยเกิด ขึ้นมาก่อน ซึ่งสาเหตุที่เรียกกันเช่นนี้ก็เพราะ ดูแล้วมนุษย์ธรรมดาๆ ไม่น่าหรือไม่คิดว่าจะกระทำได้น่ะซิครับ
และปรากฏการณ์หรือเหตุการณ์ที่ว่าส่วนใหญ่มันมักจะเกิดในช่วงข้ามคืนหรือ ตอนกลางคืนที่บรรดาชาวไร่ ชาวนาหลับอุตุกันอยู่เสียด้วยซิ อะไรมันจะลึกลับขนาดนั้นครับท่านผู้ชม
ปรากฏการณ์ แคทเทิล มิวทิเลชั่น มีสาเหตุมาจาก ?
นั่นน่ะซิครับ สาเหตุของปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นจากอะไร ก็น่าสงสัยอยู่ไม่น้อยละครับซึ่งหากจะว่ากันไปแล้วการเกิดแคทเทิล มิวทิเลชั่น ได้มีผู้สันทัดกรณีและผู้รู้(มาก) ได้ให้ข้อคิดสรุปและคำอธิบายไว้หลายประเด็นด้วยกัน เราลองมารับชมกันดีมั๊ยครับว่ามีอะไรบ้าง
ประเด็นที่ 1. เขา ว่ากันว่าสัตว์เหล่านี้น่ะ ถูกฆ่าโดยพวกหมาป่าหรือพวกหมาป่าไคโยตี้ครับ ไม่ได้ถูกฆ่าตายด้วยวิธีประหลาดอะไรที่ไหน ซึ่งพวกวัว แกะ แพะ พวกนี้ก็เป็นเหยื่อของหมาป่าอยู่แล้วนี่ ประเด็นนี้ก็พอมีคนเห็นด้วยอยู่แต่ก็น้อย เพราะเหตุผลรองรับยังฟังไม่ขึ้นเอาเสียเลยน่ะซิครับ ทั้งในเรื่องรอยตัด รอยเลือด และการขนย้ายสัตว์ไปยังจุดเกิดเหตุ ไม่มีร่องรอยหรืออะไรทิ้งไว้เลยน่ะซิครับ ถ้าหากโดนหมาป่าคาบไปจริงๆ แล้ว มันก็น่าจะเหลือร่องรอยอะไรอยู่บ้าง ก็ว่ากันไปครับ แต่ก็ยังเป็นประเด็นที่มีคนสนใจอยู่เหมือนกัน
ประเด็นที่ 2. อัน นี้ฮิตมาก ก็คือถูกฆ่าโดยเอเลี่ยนครับ เพื่อที่จะเอาชิ้นส่วนเนื้อเยื่อหรืออวัยวะไปทำการศึกษาระบบของร่างกาย DNA พันธุกรรม อะไรไปโน่น และคำอธิบายนี้มีคนเห็นด้วยค่อนข้างมากครับ เนื่องจากเหตุผลยังพอฟังขึ้นอยู่มาก เช่น การนำตัวหรือขนย้ายสัตว์ไปอย่างเงียบๆ เทคนิคการตัดชิ้นส่วน การนำมาคืนแบบไร้ร่องรอยหรือการทิ้งซากสัตว์ไว้กลางทางโดยที่สัตว์มีรอยแบบ เหมือนโดนโยนลงมาจากที่สูง อะไรแบบนี้ครับ ก็ถือว่าน่าสนใจดีทีเดียวสำหรับประเด็นนี้
ประเด็นที่ 3. อัน นี้อาจจะดูแปลกซักหน่อย คือเขาว่าสัตว์เหล่านี้โดนฆ่าเพื่อเอาไปบูชาซาตานครับ โดยจากฝีมือคนกลุ่มนึงหรือพวก Satanic Cults แต่ก็ผู้ที่เห็นด้วยก็ยังมีไม่มากครับ เนื่องจากเหตุผลยังไม่เข้าข่ายที่น่าเชื่อถือเท่าที่ควร เพราะอย่างที่กล่าวไป ถึงลักษณะและสภาพของสัตว์ที่โชคร้ายเหล่านั้น ด้วยฝีมือของมนุษย์ทั่วๆ ไปนี่ อาจจะลำบากทีเดียวครับ
ประเด็นที่ 4. สำหรับ ข้อนี้เห็นจะขาดไม่ได้ทีเดียวครับสำหรับพวกคอ Skepticism ขี้สงสัยทั้งหลาย นั่นก็คือเป็นโครงการทดลองลับของรัฐบาล ที่เกี่ยวกับการดัดแปลงพันธุกรรมสัตว์ต่างๆ นับว่าเป็นประเด็นที่น่าสนใจอยู่ไม่น้อยครับ แต่คนที่ยอมรับก็ยังไม่มากนัก เนื่องจากน้ำหนักเหตุผลยังไม่พอเพียง และผู้ที่ไม่สนับสนุนแนวคิดนี้ ต่างก็แย้งว่าถ้าหากเป็นโครงการลับของรัฐบาลจริงๆ แล้วละก็ ไม่น่าจะแอบมาขโมยสัตว์ของชาวบ้าน ไปทีละตัว สองตัวหรือเป็นฝูงแบบนี้ เพราะหากทางรัฐบาลต้องการทดลองโครงการลับอะไรซักอย่างแล้ว จะเลี้ยงสัตว์หรือเพาะพันธุ์ขึ้นมาทดลองเองกี่ร้อยกี่พันตัวก็ไม่น่าจะมี ปัญหาอยู่แล้ว จะมาแอบลักขโมยทำไมให้เมื่อยกันล่ะ อื้ม ก็นั่นซิครับ แต่ว่าประเด็นนี้ก็น่าสนใจอยู่นะครับเนี่ย
ประเด็นที่ 5. มา ปิดท้ายกันที่ข้อนี้ครับ สำหรับประเด็นนี้ นับว่าน่าสนใจ (นายโอใช้คำนี้พร่ำเพรื่อเกินไปหรือเปล่าเนี่ย) ทีเดียว ก็เป็นเรื่องของโรคร้ายของสัตว์บางชนิดครับที่เกิดจากพันธุกรรมของที่ไม่ สมบูรณ์หรืออาจจะเรียกกันง่ายๆ ว่าพันธุกรรมบกพร่องนั่นเอง ซึ่งส่งผลทำให้วันดีคืนดี สัตว์ตัวนั้นโดนโรคร้ายที่เกิดขึ้นภายในร่างกายจู่โจมเข้าจนกลายเป็นอย่าง ที่เห็นกัน แต่บ้างก็ว่าเกิดจากไวรัสในร่างกายของสัตว์ตัวนั้นเอง ที่หันกลับมาเล่นงานร่างกายของสัตว์เสียเอง น่าสนใจไม่น้อยทีเดียวครับ สำหรับแนวคิดของประเด็นนี้
ทั้งหมดนี่ก็คือข้อสังเกตหรือคำอธิบายเรื่องของปรากฏการณ์แคทเทิลฯ ซึ่งคิดว่าเอาแค่พอท้วมๆ ประมาณนี้ก็ไม่เลวนะครับ ไม่ได้ลงไปรายละเอียดมากเท่าไหร่
3. เสียงลึกลับ (Unexplained Sound, Taos Hum)
สำหรับ หัวข้อนี้เราๆ ท่านๆ อาจจะไม่ค่อยคุ้นเคยหรือรู้จักกันเท่าไหร่ครับ เพราะไม่ใช่เรื่องที่โด่งดังหรือรู้จักกันไปทั่วโลก แต่เป็นเพียงเหตุการณ์ประหลาดเรื่องนึง ที่เกิดขึ้นในอเมริกาและไม่กี่ประเทศเท่านั้นเองครับ ส่วนเหตุการณ์จะเป็นเช่นไรนั้น ก็ติดตามอ่านกันต่อเลยซิครับ มัวช้าอยู่ใย
เรื่อง ราวก็มีอยู่ว่าในปี ค.ศ.1977 ประชาชนของอเมริกาเกิดได้ยินเสียงประหลาดขึ้นมา ซึ่งลักษณะของเสียงจะคล้ายกับเสียงเหมือนผึ้งบินหรือแมลงที่กำลังบินอยู่ หึ่ง หึ่ง หึ่ง อะไรประมาณนี้น่ะครับ ซึ่งว่ากันว่าถ้าไม่ใช่สถานที่ที่เงียบสงบแล้วก็จะไม่ได้ยินเสียงนี้ครับ โดยเจ้าเสียงที่ว่านี้ดังติดต่อกันตลอดเวลาแต่บางทีก็เว้นจังหวะเป็นระยะแบบ สม่ำเสมอกัน เสียงปริศนานี้เกิดขึ้นอยู่นานครับ โดยที่ยังหาต้นตอของเสียงไม่เจอแต่อย่างใด กระทั่งได้มีการสำรวจและวัดคลื่นความถี่ของเสียงปริศนาออกมาเรียบร้อย ก็ราว 30-80 Hz โดยประมาณครับ แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้ยินเสียงนี้นะครับ คนที่ไม่ได้ยินก็มี ที่ได้ยินก็เยอะ แต่ก็หาสาเหตุไม่พบครับว่าเสียงปริศนานี้เกิดจากอะไร
ใน ช่วงเวลาขณะนั้น คนที่ได้ยินเสียงนี้ต่างก็เสียสุขภาพจิตไปตามๆ กันครับ จะนอนก็ไม่หลับ อ่านหนังสือก็ไม่รู้เรื่อง เพราะทั้งสองหูได้ยินเสียงที่ว่านี้รบกวนอยู่เกือบตลอดเวลา โดนเจ้าเสียงประหลาดนี้เล่นงานเอาแทบเกือบแย่ไปตามกัน จนได้มีการตั้งทีมงานเฉพาะขึ้นมาเพื่อตรวจสอบหาสาเหตุนี้เหมือนกันครับ แต่ก็คว้าน้ำเหลว เพราะหาข้อสรุปและคำอธิบายไม่ได้ว่าต้นตอของเสียงปริศนานี้นั้นมาจากไหน แต่บ้างก็สันนิษฐานว่า เป็นคลื่นความถี่ต่ำที่ปล่อยออกมาจากโลก แต่บ้างก็ว่าเป็นเสียงจากดาวเทียมที่ส่งสัญญาณบางอย่างลงมายังโลก และข้อสันนิษฐานที่จะขาดเสียมิได้เลยสำหรับพวกคอเรื่องลึกลับ ก็คือเป็นโครงการทดลองลับของรัฐบาล (อีกแล้ว) ในการสร้างเครื่องมือสื่อสารทางการทหาร ครับ...ก็เช่นเคย ไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนสำหรับเสียงปริศนานี้ ก็เลยยังเป็นเรื่องลึกลับที่หาคำอธิบายไม่ได้มาจนทุกวันนี้แหละครับ จริงๆ แล้วเรื่องนี้ยังมีรายละเอียดอีกค่อนข้างเยอะนิดนึง แต่คิดว่าอ่านกันแค่พอกล้อมแกล้มประมาณนี้น่าจะดีกว่านะครับ จะได้ไม่น้อยไม่มากจนเกินไป4. ฝนกบ ฝนปลา (Fish Falls & Weird Rain)
เรื่อง นี้ก็เป็นอีกเรื่องนึงที่ทุกท่านคงจะคุ้นเคยหรือทราบกันเป็นอย่างดีแล้วนะ ครับ ถ้างั้นเราก็จะไปกันแบบเร็วหน่อยดีมั๊ยครับ หากจะว่าไปแล้วเรื่องฝนสัตว์ ฝนพืชเนี่ย เป็นอะไรที่เหลือเชื่อและประหลาดน่าดูชมอยู่เหมือนกันนะครับ ถ้าหากเรามานั่งคิดกันตามหลักความเป็นจริงแล้ว การที่มีบางอย่างตกลงมาจากท้องฟ้าโดยที่ไม่ใช่ฝน หิมะหรือลูกเห็บ ฯลฯ มันก็ดูแปลกดีครับ และยิ่งถ้าสิ่งที่ตกลงมาเป็นปลา เป็นกบเนี่ย หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ละก็ ความแปลกก็จะทวีเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวเลย
จากรายงาน บันทึกกล่าวไว้ว่าสิ่งที่มีการตกลงมาเป็นจำนวนมากไม่ใช่เพียงแค่ปลาอย่าง เดียวเท่านั้นนะครับ หากแต่ยังมีสัตว์อีกหลายชนิด เช่น กบ คางคก หอย จระเข้ ทาก งู อีกทั้งเมล็ดธัญพืชอีกนานาชนิดอีกด้วยครับที่เคยมีบันทึกเอาไว้ว่าตกลงมาจาก ท้องฟ้า อ้อ หากพูดถึงเรื่องฝนกบ ฝนปลา สารพัดฝนแล้วไม่พูดถึงบุคคลท่านนี้หน่อยก็จะดูกระไรอยู่นะครับ เขาก็คือชาร์ลส์ ฟอร์ท (Charles Fort) นั่นเอง
แล้ว ชาร์ลส์ ฟอร์ท เป็นใครกันละ? ครับ เขาก็คืออเมริกันชนผู้ที่บุกเบิกในเรื่องลึกลับและเหตุการณ์แปลกประหลาดเป็น คนแรกๆ ทั้งยังเป็นคนเก็บบันทึกรายงานเรื่องราวแปลกๆ เอาไว้มากมาย ผลงานตีพิมพ์เป็นหนังสือออกมาก็หลายเล่มอยู่ครับ แต่ฉบับที่โด่งดังที่สุดก็เห็นจะเป็นหนังสือที่ชื่อ The Book of the Damned หรือที่รู้จักกันในชื่อฟอร์เทียน่า (Forteana) ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมเหตุการณ์การประหลาดต่างๆ เอาไว้เพียบ เช่น ฝนกบ ฝนปลา ฝนเมล็ดพืชและปรากฏการณ์แปลกประหลาดอีกหลายเรื่องครับ
นาย ฟอร์ท คนนี้นั้นถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญเป็นอย่างมากทีเดียวครับในช่วงยุค ทศวรรษที่ 19 สำหรับยุคเฟื่องฟูและยุคบุกเบิกวงการเรื่องแปลก เหตุการณ์ประหลาดที่หาคำอธิบายไม่ได้ เรื่องฝนกบ ฝนปลา ก็ได้นายคนนี้แหละครับที่เป็นคนนำเสนอรายงานและเผยแพร่บันทึกเป็นวงกว้างมาก ขึ้นต่อสาธารณะชน กล่าวกันว่าบันทึกเรื่องแปลกของฟอร์ทนั้นมีถึง 600,000 เรื่อง เลยทีเดียวครับ นับว่าไม่ธรรมดาทีเดียว ......นอกเรื่องออกไปซะไกล กลับมาเข้าเรื่องต่อดีกว่าครับ คำถามที่สงสัยกันก็คงจะไม่พ้นข้อที่ว่า แล้วบรรดาปลาหรือสรรพสิ่งทั้งหลายขึ้นไปอยู่ในอากาศได้ยังไง ? แล้วตกลงมาเป็นฝนได้อย่างไร ? และไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เสียด้วยซิครับ อื้ม....มีผู้รู้และผู้สันทัดกรณี รวมทั้งผู้ที่ศึกษาปรากฏการณ์เหล่านี้อย่างจริงจัง ได้ให้คำอธิบายไว้ว่างี้ครับ คือว่าสาเหตุหรือตัวการที่เป็นต้นตอของเรื่องราวสารพัดฝนประหลาดนี้นั้นก็ คือ พายุเฮอร์ริเคน ทอร์นาโด ไต้ฝุ่น นี่แหละครับ ที่หอบเอาบรรดาสารพัดสิ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งบางทีอาจจะจากแม่น้ำลำคลอง คูหนอง คลองบึง ทะเล หรือมหาสมุทรหรือแล้วแต่ทางที่พายุพัดผ่านไป แล้วเมื่อพายุอ่อนกำลังลง บรรดาสารพัดสิ่งที่พายุพัดหอบเอามาด้วย ก็เลยตกลงไปกลายเป็นสารพัดฝนนี่แหละ นับว่าเป็นทฤษฎีที่ให้คำอธิบายที่ดีและน่าสนใจมากครับ
5. บอลสายฟ้า (Ball Lightning, Strange Ball of Fire)
ดู ผิวเผินอาจจะไม่น่าสนใจหรือเห็นว่ามันแปลกตรงไหน แต่ลองติดตามรายละเอียดกันไปอีกซักนิดนึงก็แล้วกันนะครับ เปลี่ยนจากลึกลับมาลองดูเรื่องเบาๆ แบบนี้กันดูบ้าง ว่าเข้าไปนั่นเลยผม หึ หึ หลายท่านอาจจะตั้งคำถามในตอนนี้แล้วว่าบอลสายฟ้าคืออะไร? เรามาดูคำตอบไปพร้อมกันเลยครับ......เรื่องราวของ BL (ขออนุญาตเรียกแบบนี้ก็แล้วกันนะครับ) นั้นเริ่มเป็นที่สนใจกันมาตั้งแต่ปี ค.ศ.19xx ครับ ว่ากันตรงๆ เลยก็ได้ครับ มันเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติอย่างหนึ่งครับ แต่ค่อนข้างจะแปลกอยู่สักหน่อย คือเขาว่างี้ครับ ในช่วงหลัง ปีค.ศ.ที่กล่าวไปแล้ว เมื่อเวลาที่เกิดฝนตก ฟ้าร้อง ฟ้าฝ่า อะไรไปตามเรื่องนั้น ก็มักจะมีลูกไฟเป็นรูปร่างทรงกระบอก วงรี และวงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางตั้งแต่ไม่กี่เซนติเมตรไปจนถึงเกือบเมตร หลายลูกหลายสี แดง เขียว ส้ม เหลือง ปรากฏลอยอยู่บนท้องฟ้าครับ แต่บางลูกก็ลอยเรี่ยไปตามพื้นถนน เข้าบ้านคนไปก็มี แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ จางหายไปเอง แต่บางครั้งก็หายไปซะเฉยๆ ครับ ตอนแรกไม่มีใครสนใจเท่าไหร่ เพราะคิดว่ามันเป็นเพียงปรากฏการณ์ทางธรรมชาติธรรมดาเท่านั้น
แต่หลังจากที่มีการพบเห็นเจ้าลูกไฟพิศวงนี้ด้วยรูปร่างลักษณะที่แตกต่างกัน ไปหลายแบบเพิ่มมากขึ้น และวิธีในการปรากฏรวมไปถึงสถานที่ที่เคยพบเห็นกัน ซึ่งดูไปก็ไม่น่าเป็นไปได้ครับ ทำให้ตามประสาผู้ที่อยู่ไม่สุขก็เริ่มที่จะหาเรื่องศึกษาหาคำอธิบายในเรื่อง นี้กันอีกแล้วครับท่าน ซึ่งหากจะลงลึกไปในเรื่องราวกันจริงๆ จากรายงานการวิจัยเรื่องนี้นั้นมีรายละเอียดที่น่าสนใจเยอะทีเดียวครับ เอาไว้มีโอกาสนายโอจะมาเล่าให้ฟังก็แล้วกัน.......ว่ากันว่าในช่วงปี ค.ศ.1947-1965 มีรายงานการพบเห็น BL นี้จากทั่วโลกรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 4-5 ล้านครั้ง เป็นตัวเลขนี้ไม่น้อยทีเดียวนะครับถ้าเทียบกับเหตุการณ์ประหลาดเรื่องอื่น และทุกรายงานนั้นจะบอกว่าพบเจ้าลูกไฟได้เมื่อตอนช่วงฝนตกหนักๆ เท่านั้น ส่วนเวลาปกตินั้นไม่เคยพบรายงานแต่อย่างใดครับ
ส่วนนี่เป็นข้อมูลบางส่วนจากการศึกษาปรากฏการณ์ของลูกไฟพิศวงครับ
- ความเร็วในการเคลื่อนที่ของลูกบอลสายฟ้านั้นมีตั้งแต่เคลื่อนไหวช้าไปจนถึงเคลื่อนที่ได้หลายเมตรต่อวินาที
- บางครั้งลูกบอลสายฟ้าก็ลอยผ่านกำแพงได้ไปซะงั้นแหละครับ
- บางขณะอุณหภูมิของลูกบอลสายฟ้าก็เย็นจนสามารถจับต้องได้ แต่บางครั้งก็ร้อนจนละลาย
เหล็กได้ เรียกว่าอุณหภูมิของลูกบอลแต่ละดวงนั้นไม่เท่ากัน
- ลูกบอลสายฟ้า ในบางทีอาจเกิดการระเบิดขึ้นได้แม้ว่าจะลอยอยู่เฉยๆ
- การปรากฏตัวของลูกบอลสายฟ้านั้นไม่แน่นอน อาจจะเกิดขึ้นที่ไหนก็ได้ในบริเวณที่เกิดฝนตกฟ้าร้องอยู่ในขณะนั้น
- มีรายงานว่าลูกบอลสายฟ้าเคยเกิดขึ้นในเครื่องบินโดยสารเหมือนกันครับ
- เตาอบไมโครเวฟก็สร้างเจ้าลูกบอลนี่ได้เหมือกันครับ แต่ออกจะอันตรายมากอยู่สักหน่อย
6. การระเบิดที่ทังกัสก้า (The Tunguska Event)
เรื่อง นี้บรรดาคอเรื่องลึกลับต้องเคยผ่านสายตากันมาแล้วใช่มั๊ยละครับ สำหรับเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่มีความโด่งดังอยู่ไม่ใช่น้อย และยังคงเป็นเหตุการณ์ที่มีความลึกลับจนมาถึงทุกวันนี้แหละ ว่าเหตุการณ์ระเบิดที่ทุ่งทังกัสก้ามันเป็นมายังไงกันแน่หนอ นายโอขอเสนอเพียงบทสรุปนิดหน่อยก็แล้วกันนะครับเพราะในเวบก็มีบทความที่ว่า ด้วยเรื่องนี้อยู่ด้วย และอ่านได้ใจความดีอยู่แล้ว
หลัง จากเกิดการระเบิดครั้งใหญ่ขึ้นที่ทุ่งทังกัสก้าในปี ค.ศ. 1908 ที่ไซบีเรีย ประเทศรัสเซีย ซึ่งว่ากันว่ามีความรุนแรงมหาศาลมากกว่าระเบิดปรมาณูที่ทิ้งไปในเมืองฮิโรชิ ม่าและนางาซากิเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เสียอีก หรือถ้าคิดเป็นตัวเลขก็ประมาณ 2,000 เท่าได้ครับ และว่ากันว่าการระเบิดครั้งนี้นั้นเป็นผลพวงมาจากพลังงานนิวเคลียร์แน่นอน ครับ ซึ่งผลจากการระเบิดครั้งนั้น ก็ทำให้พื้นที่ราว 100 กิโลเมตรจากจุดตกพังราบพนาสูญไปเลยทีเดียว อีกหลายสิบปีต่อมาก็ได้มีการตั้งทีมสำรวจกันมากมายหลายชุด ซึ่งก็ได้ข้อสันนิษฐาน ความเห็น ทฤษฎีที่อธิบายเรื่องนี้ไว้มากมายด้วยกัน แต่ที่ทฤษฎีที่เป็นที่นิยมและมีน้ำหนักก็ไม่เพียงไม่กี่เรื่องครับ ว่าการระเบิดที่ทังกัสก้านั้นมีสาเหตุมาจาก
1. ถูกชนโดยดาวเคราะห์น้อยครับ
2. ถูกดาวหางพุ่งชนเอา
3. เกิดจากแบล็คโฮลขนาดเล็กที่ตกลงมายังโลก
4. เกิดจากยานอวกาศหรือเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์
5. เกิดจากการระเบิดของเตาปฏิกรณ์ของยานอวกาศของเอเลี่ยน
6เรื่องแปลกๆ ของโลก
[img]
[IMG]
[/img]