เนื่องจากช่วงนี้ จขกท. ออกจะเป็นเด็กอนามัยนิดนึง ก็แวปๆไปหาอ่านข้อมูลมา
เป็นความหวังดีเล็กๆที่ยิ่งใหญ่ของหมอท่านหนึ่ง
ก็ว่าด้วยเรื่องการดื่มน้ำ อย่างที่ตั้งชื่อกระทู้ไปนั่นแหละค่า เข้าเรื่องเลยละกัน
ความเชื่อ ในเรื่องการดื่มน้ำของคนไทย ที่ใครๆก็พูดนั่นก็คือ ดื่มน้ำให้เยอะๆ สินะ -__- แล้วดื่มยังไงล่ะ?
เริ่มจากคำถามก่อนละกัน
1. คุณมีความเชื่อว่า น้ำ ยิ่งดื่มเยอะยิ่งดี หรือไม่?
2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว?
3. น้ำที่ดื่มเป็น น้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น?
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น เช้า กลาง หรือเย็น?
5. ปกติดื่มน้ำประเภทไหน เช่น น้ำอัดลม ชา กาแฟ ฯลฯ?
ต่อไปก็ เฉลยพร้อมอธิบายนะค๊า
1. เป็นความเชื่อที่ผิดค่ะ ทุกอย่างต่างมีทั้งคุณและโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมัน การดื่มน้ำมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีก เดี๋ยวจะมีสูตรให้คำนวนการดื่มน้ำให้เหมาะกับปริมาณในแต่ละวันนะคะ
2. คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว ว่าแต่ คุณจะทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่า?
น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ
แต่ปัสสาวะเป็นเส้นทางหลักค่ะ คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกายอย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด นอกจากนี้อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว (แก้วละ 200 มล.) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคนเสมอไป คุณหมอเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย
สูตรคือ
(น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตร เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้
ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) / 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวัน
ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะไหลเวียนไม่สะดวก ร่างกายก็จะขับของเสียได้ยาก ขณะเดียวกัน สารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือนก็แหงละ น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดล่ะ? แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้อง พอดีๆ
3. น้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่างกายกระเพาะเมื่อเจอของเย็นๆเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะและลำไส้ ลำไส้ของคุณก็จะดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆค่ะ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้ แต่ก่อนเราก็ไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ไปทุกที่ก็ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติกๆ กินกัน จนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉยๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลยค่ะ
4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้วเนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ? ใครที่ชอบทานข้าวไป จิบน้ำไปประมาณว่ากินข้าวเสร็จหมดน้ำไปสองแก้ว สำหรับข้อนี้ จัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลย เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุดค่ะคนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลย เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็นคืออาหารไม่ย่อย หมักหมม และพิษก็ถูกดูดเข้าเส้นเลือด เพราะฉะนั้นสิ่งที่คุณควรทำก็คือ
ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลย 2-5 แก้ว เพื่อขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะ ที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควร ก่อนอาหารอย่างน้อยๆ 15 นาที ส่วนระหว่างทานอาหาร และหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้ว น้ำในที่นี้หมายรวมถึงน้ำซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะคะ และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆหาขวดน้ำแก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันแหละค่ะ ถ้ากินน้ำครั้งละมากๆผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึมก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว
อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำ นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วย โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลายเช่น ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม ฯลฯ
มีสองเหตุผลค่ะ
หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึม สารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน พร้อมสารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อยอาหารด้วย
เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไปก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน
ข้อสุดท้ายแล้ว! (พิมพ์ไป เสี่ยวสันหลังไป ฮ่าๆ ว่างๆนอนพิมพ์ตอนดูคนอวดผีคนเดียว กรรม TwT)
5. เป็นไงบ้างคะ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังหรอก มารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อ
ทานน้ำอะไรกันคะ? บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ค่ะ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร อีกอย่างน้ำอัดลมเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสีย ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข้าไปท้องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เหมือนกับเสียเงินไปซื้อยาพิษกินเข้าไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ
พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันค่ะ ไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขาย แต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้นระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม. เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย
ขอขอบคุณความรู้ดีๆจาก http://www.oknation.net/blog/rukbankerd/2010/07/06/entry-1
กระทู้นี้ยาวเป็นบ้า
แต่ถ้าอ่านจบก็ดีต่อสุขภาพนะคะ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Confidentiality เมื่อ 2013-5-9 00:34
ว่าด้วยการดื่มน้ำที่ถูกต้อง!
[IMG]