ก็...ไม่ได้เขียนมาซะนาน ฝึกบรือฝีมือเสียหน่อยคงไม่เสียหาย
นี้ก็เป็นเรื่องสั้นนะ ตอนเดียวจบ Oneshot ฮาๆ
ก็เป็นแนว...ชีวิตละมั้ง ไม่ได้ตั้งใจจะสอนหรือด่าใครนะ >w<
บ้างประโยคอาจจะรุนแรงไปหน่อย ถ้าล่วงเกินหรือทำร้ายจิตใจก็ขออภัยด้วย
อ่านติชมกันได้ แค่ช่วยใช้คำสุภาพหน่อยนะ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
“นี้เราทำอะไร…กันอยู่นะ”ผมพูดออกมาอย่างเหม่อลอยในขณะที่กำลังเดินลงจากบันไดชั้น3ของโรงเรียน จุดมุ่งหมายในชีวิตก็มีอยู่หรอกนะแต่ไม่รู้ทำไมมันถึงรู้สึกว่างเปล่าแบบนี้…
“เฮ้ย!! ทำหน้าเครียดอะไรอยู่เล่า!!”ว่าแล้วหลังของผมก็ถูกกระแทกด้วยฝ่ามือจากการทักทายของเพื่อนซี้ ชายหน้าเล็กมีสิวตะปุ่มตะป่ำเต็มไปหมดรูปร่างสูงเรียว ดูกังๆแก้งๆอย่างไรชอบกลเป็นเพื่อนสนิทที่หาไม่ได้ของผมชื่อ เจมส์ถึงจะดูนิ่งซะเป็นส่วนใหญ่ก็เถอะ
“วันนี้เล่นแรงไปหน่อยนะ…”ผมว่าด้วยสีหน้าตึงเครียดทำเอาเจมส์ตกใจไม่น้อย
“อ้าว…โทษทีๆ ม๊ะ!งั้นต้องมาจับมือให้อภัยกันๆ”ว่าแล้วมันก็ดึงมือผมไปจับแล้วก็เขย่าอย่างสนุกสนานส่วนผมก็ทำหน้าเบื่อโลกจนมันเองก็สงสัย “อ้าว ทำหน้าแบบนั้นเป็นอะไรละ?”
“ก็ป่าวหรอก แล้ววันนี้จะไปร้านป่าว?”ผมหันไปถามมันครู่หนึ่งก็เห็นมันยืนครุ่นคิดด้วยท่าทางที่ดูจริงจังจนเกินไป
“วันนี้มีภารกิจวะ… เดี๋ยวสักพักนายกก็จะส่งเฮลิคอปเตอร์มารับแล้ว”
“งั้นหรอ…น่าเสียดายนะ”ผมว่าแล้วเดินจากมันมาทันทีฟังจากน้ำเสียง คำพูดกับประโยคก็คงจะรู้กันดีอยู่ว่ามันอำผมเล่น
“ไม่มีอารมณ์ขันเลยนะ…”
“ก็ไม่นิ…”ผมว่าด้วยท่าทีที่สุขุมขึ้นและสงสัยจะเริ่มทำให้เจมส์มันรู้สึกอึดอัดจนนิ่งไป“แล้วสรุปจะไปไม?”ผมถามมันอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ
“ก็ไปได้อยู่หรอกแต่วันนี้ไม่ค่อยจะอยากไปเลยวะ”เจมส์ยกนิ้วชี้มาเกาปลายคางเล็กน้อยเป็นนิสัยประจำตัวของหมอนี้อยู่แล้ว เมื่อมันรู้สึกลังเลไม่แน่ใจที่จะตอบมักจะยกมือมาเกาค้างสงสัยเป็นเพราะดูการ์ตูนที่มีบุคลิกแบบนั้นมากเกินไปแล้วทำตามจนติดเป็นนิสัยถ้าเป็นคนปกติคงจะยกมือเกาหัวหรืออะไรประมาณนั้น
“ถ้าไม่อยากก็ไม่ต้องไปหรอก…”ผมว่าและเดินโค้งไปตามระเบียงทางเดินชั้น 2 เพื่อจะไปเรียนในคาบสุดท้ายก่อนพักกินเข้าความสัมพันธ์ของผมกับเจมส์เรียกได้ว่าแน่นแฟ้นกันมาก ผมกับมันไปไหนไปกันตลอดจนเลิกเรียนถึงจะได้แยกจากกันถึงแม้เพื่อนในห้องจะมีอยู่เยอะแต่ผมรู้สึกถูกชะตากับมันมากที่สุดแล้ว หมอนี้ก็เป็นคนดีรักเพื่อนขนาดหนักถึงจะเป็นเรื่องเงินๆทองๆหรือเรื่องหยุมหยิมก็ตามเห็นมันพูดมากอย่างงี้แต่พออยู่กับเพื่อนในห้องมันกลับเงียบกริบ ไม่พูดไม่จาดูขรึมไปเลยละ
“คาบต่อไปเรียนอะไรวะ ‘ไมค์’ ” ไมค์คือชื่อของผมเองผมคิดอยู่ครู่หนึ่งก็แหล่หางตาไปมองมัน
“คณิตศาสตร์”สิ้นประโยคเพื่อนซี้ของผมก็ถึงกับถอนหายใจลากยาวคงไม่แปลก คณิตศาสตร์เป็นวิชาที่คนส่วนมากไม่ชอบสักเท่าไรแต่สำหรับผมก็ไม่ได้เกลียดอะไรเดินมาได้ระยะหนึ่งผมก็โค้งเข้าห้องที่เต็มไปด้วยความสับสน ชุลมุนวุ่นวายจากเด็กนักเรียนที่พูดคุย วิ่งเล่น เขียนกระดานดำซึ่งก็นับเป็นเรื่องปกติหากอาจารย์ยังไม่มาผมก้าวเท้าเข้าธรณีประตูด้วยอารมณ์ที่นิ่งเฉยเยือกเย็นเหมือนพวกปล่อยวางอะไรประมาณนั้นกับเพื่อนผมที่เมื่อเข้าห้องมาทั้งสีหน้า แววตาเปลี่ยนไปเป็นคนละคนสงสัยกำลังเข้าสู่โหมดโลกส่วนตัวที่แม้จะเป็นผมก็ยังเท่าเทียบกับคนอื่นคือ พูด3 ตอบ 1 นิ่งๆไม่ค่อยพูด
“เฮ้ย…ว่าไงคู่รักใหม่ปลามัน”ว่าแล้วเพื่อนในห้องของผมก็เดินเข้ามากอดคอผมด้วยสีหน้ายิ้มแย้มอย่างมี เลศนัย“วันนี้ตัดสินใจหรือยังว่าจะพากันไปเดทที่ไหน?”ถึงจะเป็นคำพูดที่คนปกติฟังคงดูเจ็บแสบแต่สำหรับผมเรื่องพรรค์นี้มันปลงไปแล้ว
“ก็ไม่นิ…”ผมตอบออกไปทั้งๆที่ไม่ได้มองหน้าเพื่อนมันด้วยซ้ำผมก็ไม่ได้เกลียดคนแบบนี้หรอกน่า ก็เข้าใจว่าพยายามทำให้ห้องมันครึกครื้นแต่มาเล่นแซวกันงี้ทุกทีที่เจอหน้าก็ไม่ไหว
“เฮ้ย…จะจริงหรือวะเห็นเดินไปหนุงหนิงสองคนบ่อยๆ ชอบมันหรือไง?”ว่าแล้วมันก็เปลี่ยนท่ามีเอาศอกสะกิดแขนผมพลางทำสีหน้าเยอยันจนเริ่มไม่สบอารมณ์
“ไร้สาระน่า…”ผมรีบผลักมันออกก่อนที่ปรอทผมจะแตกคงเป็นเพราะสีหน้าของผมด้วยจึงทำให้ข้าศึกแตกพ่ายยอมจำนนท์และเดินหนีไปเพื่อไปหยอกล้อคนอื่นต่อ“น่าเบื่อจริงๆ”คำพูดของผมลอยๆที่ดังออกมาหมายจะให้เพื่อนเจมส์ได้ยินแล้วคุยโต้ตอบกันบ้างแต่มันก็ทำหูทวนลมนั่งนิ่งๆเล่นปากกาอยู่นั้นเห็นอย่างนั้นผมก็พลอยเบื่อด้วยเลยยกมือขึ้นเท้าคางมองเพื่อนที่ขีดเขียนกระดานหยอกล้อกัน
ครู่หนึ่งอาจารย์ประจำวิชาก็เข้ามาและทุกอย่างก็กลับมาสงบทุกคนล้วนเรียนอย่างกึ่งหลับกึ่งตื่นเนื่องด้วยเพราะไม่เข้าใจก็ดี ไม่ฟังก็ดีง่วงก็ดีจนทำให้วิชานี้ผ่านไปอย่างเชื่องช้า
กรี๊งๆ ๆ ๆ ๆ
เสียงออดเลิกวิชาดังขึ้นเหล่านักเรียนจึงรวมใจกันเฮด้วยความรู้สึกเหมือนถูกปลดปล่อยจากช่วงเวลาที่ยาวนานสักพักหนึ่งครูก็ปล่อยพวกเราไปรับประทานอาหารตามตาราง
“จะกินอะไรละวันนี้…”ผมหันไปถามเจมส์ที่ดูเหมือนจะยังไม่สางตื่นเท่าที่ควรตาสะลึมสะลือเหม่อลอยของมันทำเอาผมหนักใจเล็กน้อย
“ข้าวราดแกง…”ปกติของหมอนี้ก็ชอบกินข้าวราดแกงเป็นเมนูหลักอยู่แล้วผมจึงไม่ได้คิดอะไรและเดินตรงไปโรงอาหารทันที
เมื่อซื้อเสร็จก็จัดแจงกันหาที่นั่ง แล้วรับประทานอย่างไม่รีบร้อนเหมือนกับเจมส์ที่กินอย่างช้าๆแต่ทุกครั้งมันมักจะหมดก่อนผมโดยไม่ทราบสาเหตุทั้งๆที่ตอนมองจานข้าวมันยังเหลือเยอะกว่าผมแท้ๆ แต่มันก็กินหมดก่อนผมทุกครั้ง
“กินน้ำอะไร?”แล้วก็เป็นเหมือนเดิม หลังกินข้าวเสร็จมันก็มักจะต่อด้วยน้ำทันทีผมก็ไม่รู้มันไปติดมาจากใคร
“เออ…เชิญคุณไปซื้อเถอะยังไม่หิววะ…”ผมตอบปฏิเสธมันไปด้วยความเกรงใจทั้งๆที่รู้ว่าความคิดเห็นของผมมันไม่มีความหมายเจมส์เมื่อได้ยินก็ลุกและเดินไปที่ร้านขายน้ำ-ขนมว่าแล้วมันก็เดินกลับมาสองมือถือน้ำอัดลม 2 แก้วผมเองก็ไม่เข้าใจหมอนี้มันไม่เข้าใจภาษาไทยหรืออย่างไรแล้วมันก็มักจะเป็นแบบนี้ตลอดจนตอนนี้ก็ 1 ปีกว่าแล้วที่ผมรู้จักกับเจมส์ตั้งแต่เข้าม.4 มาก็เป็นอย่างที่ผมได้บอกไปก่อนหน้านี้ว่ามันมีมนุษย์สัมพันธ์ดี“บอกว่าไม่กินแท้ๆยังจะซื้อมาให้อีกนะ…”ผมว่าแบบอึดอัดด้วยความเกรงใจอย่างสุดซึ้ง
“ไม่เป็นไรหรอกเดี๋ยวตอนจบม.6 กรูเรียกเก็บทีเดียว”
“เออ…ขอบใจ”ผมหาช่องขอบใจมันอย่างอ้อมๆด้วยน้ำเสียงขำแบบกลบเกลื่อนมันมักจะเป็นแบบนี้ตลอดพวกเราสองคนรักกันชนิดที่ว่าแทบจะกลายเป็นคู่เกย์กันเลยทีเดียวโดยที่ความสัมพันธ์นั้นก็ได้ขาดลง…และกลับกันอย่างสิ้นเชิงหลังจากเหตุการณ์วันนั้น
ต่อมาอีก2วันผมกับเจมส์พากันไปเล่นเกมที่ร้านหนึ่งซึ่งอยู่ห้างจากโรงเรียนไปไม่เท่าไรนักปกติก็มาเล่นกันที่นี้อยู่แล้วเลยไม่ได้คิดอะไร แต่วันนี้ดูเหมือนเจมส์มันจะมือขึ้นเลยอยู่เล่นกันจนดึก
ปัง! ประตูถูกเปิดดังสนั่นเหล่านักเรียนนับสิบกรูกันเข้ามาในร้านด้วยสีหน้าดึงดันเมื่อผมดูการแต่งตัวและอักษรที่ปักตรงเสื้อก็รีบหันหลังกลับทันทีพวกมันเป็นคู่อริโรงเรียนผมมาช้านานนับตั้งแต่รุ่นก่อนๆซึ่งคงมีอิทธิพลมาจากการตีกันของวัยรุ่นผมเองก็ไม่แน่ใจถึงจุดประสงค์ของการมีปัญหากันระหว่างทั้งสองโรงเรียนเหมือนกันแต่ข่าวที่ได้ยินมาบ่อยๆหนักถึงขั้นตีกันตายรวมปีนึงก็หลายศพเลยสถานการณ์ตอนนี้นับว่าค่อนข้างอันตรายเลยทีเดียวเพราะพวกมันอุสาข้ามถิ่นมาอยู่แถวหน้าโรงเรียนแบบนี้คงไม่ได้พากันมาตัวเปล่าๆแน่
“เฮ้ย…”ผมสะกิดบอกเจมส์ที่นั่งตัวเกรงเป็นท่อนไม้ด้วยความกลัวหรือตกใจผมเองก็ไม่รู้มันหันมามองผมอย่างกระวนกระวาย “ใจเย็นๆไว้รอมันเข้ามาในร้านจนหมดก่อนแล้วค่อยวิ่งออกไปแล้วกัน”ผมว่าและดูเหมือนเจมส์จะเข้าใจมันนั่งตัวเกรงและเล่นเกมอย่างลนลานวิ่งไปไหนมาไหนไม่รู้ ถึงอาจจะดูคิดไปเองแต่ก็คงไม่คุ้มเสี่ยงถ้าจะเดินดุ่ยๆออกจากร้านไปตอนนี้
“ตรงนั้นมีเครื่องอยู่วะ ไปเล่นกัน!”คำตะโกนเสียงโหวกเหวกโวยวายเหมือนจะบอกว่า ‘นี้คือถิ่นกรูใครข้องใจก็ลุกออกมา’นั้นทำให้เจมส์สะดุ้งเฮือกด้วยความกลัว
“ใจเย็นๆไว้ รอให้สัญญาณแล้วรีบวิ่งออกไปเลยนะ”พอดีจุดที่ผมกับเจมส์นั่งเป็นจุดที่หันหลังให้มันพอดีหรือก็คือตรงหน้าประตูนั้นเองนับได้ว่าตอนนี้พวกผมอยู่ใกล้มันในระยะเผาขนจนรู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว สักพักหนึ่งพวกมันก็เริ่มเคลื่อนไหวและเดินเข้าไปข้างในร้าน
จังหวะนั้นเองที่ผมหันไปสะกิดเจมส์ให้มันรู้สึกตัวมันมองมาทางผมด้วยสีหน้ากลัดกลุ้มหวาดกลัวแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่ผมจะมาใส่กับสีหน้าหรืออารมณ์ของมันเลยผมใช้หางตาแหล่ไปมองพวกมันเมื่อมั่นใจในระยะแล้วว่าถ้าหากลุกวิ่งออกไปมันจะตามมาไม่ทันที่จริงถ้าผมรอมันนั่งก่อนก็คงจะดีหรือลุกทำเฉยๆเดินไปคิดตัง แต่ว่าผมควรรีบฉวยโอกาสที่มันเผลอหนีซะตอนนี้จะดีกว่า… ว่าแล้วผมก็ลุกพรวดออกมาและพยายามดิ่งไปที่ประตูอย่างเบาเงียบที่สุด
ตึค! เสียงกระแทกกับลิ้นชักคีย์บอร์ดดังสนั่นอย่างที่ผมคิดเจมส์รนรานลุกตามผมมาจนหน้าขากระแทกเข้ากับลิ้นชักอย่างแรงแล้วพวกมันก็หันมองทันที่สมองของมันจะคำนวณวิเคราะห์
“เฮ้ย!! ”หนึ่งในพวกนั้นตะโกนออกมาทำให้เพื่อนๆของมันได้สติผมรีบคว้ามือของเจมส์แล้วเปิดประตูออก แต่ทว่าเหมือนหนีเสือปักจระเข้พวกมันเข้ามาในร้านยังไม่หมด…ยังเหลือพวกที่นั่งสูบบุหรี่ข้างนอกอีกกลุ่มหนึ่งด้วยสายตาพวกมันค่อยๆเลื่อนมองจากหัวจรดเท้า แต่ผมก็คงไม่ยอมให้มันมองจนจับได้รีบพุ่งตัวผ่านพวกมันออกไปทันที
หมับ!! แขนผมถูกรั้งไว้เจมส์เพื่อนซี้ผมโดนจับตัวได้ทันการและมันก็ดูช็อคทำอะไรไม่ถูกผมพยายามดึงร่างมันกลับมาแต่ร่างของเจมส์ก็ถูกมือรั้งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆแน่นอนขืนเป็นแบบนี้ผมจะโดนพวกมันจับตัวไปด้วย
“ขอโทษทีนะ…”
พรึบ!! ผมสะบัดมือออกจากเจมส์ทิ้งทันทีแล้ววิ่งหนีไปอย่างไม่แลหันกลับมาผมก้มหน้าก้มตาวิ่งโดยไม่สนใจคำพูดร้องขอร้องเพื่อนสนิทที่หาไม่ได้เลยสักนิด
“เดี๋ยวก่อน ไมค์!!ช่วยด้วย!!!”
‘ยกโทษให้ด้วย…’ สิ้นความคิดนั้นเสียงของเจมส์ก็หายไป…
--------------------------------------------------------------------------------------
เมื่อผมกลับมาถึงบ้านที่เป็นแบบตึกแถวตามซอยซึ่งเห็นได้ทั่วๆไปสีหน้าซีดเซียวและกลุ่มใจอย่างหนักของผมกำลังนึกถึงเพื่อนที่โดนรุมทำร้ายร่างกายจนอาจถึงแก่ชีวิตได้… ในคืนนั้นเสียงของพ่อแม่พี่น้องไม่ได้เข้าหูผมเลยสักนิด ในใจคิดเพียงเรื่องสำนึกผิดในสิ่งที่ทำลงไปและคิดหาวิธีกับคำขอโทษกับเพื่อนซี้ของผม
‘…นายคงเข้าใจฉันสินะ…เจมส์…’
วันต่อมา
ผมได้รับข่าวจากเพื่อนในห้องว่า ‘เจมส์ถูกโรงเรียนคู่อริทำร้ายร่างกายจนบาดเจ็บสาหัสมีพลเมืองเข้ามาช่วยห้ามไว้ได้ทันการ เมื่อส่งโรงพยาบาลแพทย์ก็สรุปได้ว่า ‘ตามร่างกายมีรอยฟกช่ำกับรอยถูกของมีคมบาดเต็มตัว สมองได้รับการกระทบกระเทือนทำให้มีเลือดคลั่งในสมองแต่ก็ช่วยได้ทันการตอนนี้พ้นขีดอันตรายแล้ว’’แต่เท่าที่ดูอาการแล้วมันคงต้องพักรักษาตัวนานอีกหลายเดือน
ในเย็นวันนั้นผมตัดสินใจไปเยี่ยมไข้มันที่โรงพยาบาลเพื่อดูสภาพของเขาแต่เมื่อไปถึงหน้าโรงพยาบาลก็นึกขึ้นมาได้ว่าเจมส์พึ่งเข้ารับการรักษามาคงจะไปเยี่ยมมันไม่ได้เมื่อคิดได้เช่นนั้นก็ตัดสินใจเดินกลับบ้านที่จริงแล้วผมสามารถเข้าไปดูอาการมันได้แต่ในใจเบื้องลึกผมไม่รู้จะทำหน้าทำตัวอย่างไรถ้าเจอกับพ่อแม่ของเขา…
1 เดือนต่อมาที่ปราศจากเพื่อนซี้ที่อยู่เขียงข้างกันทุกวันที่ผมต้องมาถูกซักถามถึงความรู้สึกและคำแสดงความเศร้าโศกเสียใจที่ฟังจนน่ารำคาญผมตัดสินใจไปเยี่ยมเจมส์ที่ยังคงอยู่ในโรงพยาบาล แต่ตอนนี้อาการของเขาดีขึ้นมากแล้วและที่สำคัญคือสามารถเยี่ยมไข้ได้อีกด้วยถึงจะเป็นเพียงเวลาไม่นานก็เถอะ
ผมไปเยี่ยมมันที่โรงพยาบาล ถามที่อยู่ห้องและรายละเอียดจากพนักงานโดยยืนยันเป็นเพื่อนของเขาถึงจะดูจากสีหน้าและแววตาที่จ้องจากหัวจรดเท้าจนดูไม่น่าเชื่อถือแต่เขาก็ให้ผมเข้าพบกับเจมส์จนได้เขาอยู่ห้องพักหมู่ที่ชั้น 3 ห้อง 3024 ซึ่งเมื่อผมขึ้นลิฟต์แล้วมาก็เกิดอาการอัดอึดจนแทบจะเข่าอ่อน ความรู้สึกกดดันบวกกับรู้สึกสำนักผิดคำขอโทษ การทำตัว การทักทาย ทุกอย่างผุดขึ้นมาในหัวจนแทบจะประสาทแตกผมรู้สึกกระสับกระสายมากอยากจะเดินหนีออกไปจากจุดนี้เสียแต่ด้วยความเป็นเพื่อนซี้คงทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะมันจะทำให้เป็นการหนีหน้าไปผมมาหยุดตรงหน้าห้องของเขาพลางเริ่มสูดหายใจถี่รั่ว หัวใจเต้นแรงสูบฉีดเลือดไปทั่วร่างกายจนรู้สึกร้อนไปหมดสะสมจนกลายเป็นความเครียดมากมาย ผมไม่รู้จะเดินเข้าไปด้วยสีหน้าอะไรผมไม่รู้จะทักทายเขาอย่างไรก่อน ผมไม่รู้ว่าจะขอโทษเขายังไงผมไม่รู้จะทำอะไรทั้งนั้นในตอนนี้
ตึค! ตุบ!ประตูถูกเปิดออก หญิงสาวคนหนึ่งที่กำลังเดินออกมาจากห้องก้มหน้าก้มตาและเดินชนร่างผมอย่างจัง
เธอเงยหน้ามามองผมครู่หนึ่งทำให้เห็นใบหน้าที่คมกริบคิ้วที่เล็กดำเรียว ตากลมสีดำ ริมฝีปากสีชมพู จมูกเล็กยาว สีผิวขาวอมชมพูผมดำเงายาวสละสลวย สัดส่วนผอมเล็กเรียวบาง เรียกได้ว่าเซ็กซี่เลยในสายตาผม “ขอโทษค่ะ…” เธอว่าขึ้นพร้อมก้มหน้าลงด้วยท่าทางเขินอาย ผมมองเธออย่างลุ่มหลงท่าทางกับกิริยาของเธอดูไร้เดียงสาน่ารักอย่างบอกไม่ถูก “ขอทาง…ไปหน่อยได้ไมค่ะ…”เธอว่าทั้งๆที่ยังก้มหน้าอยู่ดวงตาสั่นไหวมองซ้ายมองขวาไปมา
“เอ๊… ขอโทษครับ…”ผมว่าพร้อมกระโดดตัวเองออกจากประตูจนชนเข้ากับชายที่เดินผ่านมาเขาจ้องหน้าผมด้วยสีหน้าดูไม่สบอารมณ์ “ขอโทษด้วยครับๆ”ผมก้มขอขมาอย่างร้อนรนเพราะทำอะไรไม่ถูกก่อนเขาจะจ้องมองด้วยหางตาแล้วเดินจากไปเมื่อเขาเดินผ่านไปผมก็รู้สึกโล่งอกและนึกถึงเรื่องของผู้หญิงคนนั้นแต่เมื่อผมหันมาเธอก็หายไปแล้ว ในระยะสายตาผมรอบ8ทิศเธอได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยหรือปะปนไปกับฝูงคนผมเองก็ไม่อาจรู้ แต่แล้วเจตจำนงของการมาที่นี้ก็ลอยขึ้นมาในหัว‘เราไม่ได้มาที่นี้เพื่อจีบสาวสักหน่อย…’ ว่าแล้วผมก็ก้มหน้าเดินเข้าไปข้างใน
เจมส์ที่นั่งติดหน้าต่างมุมดีที่สุดของห้องก็หันมามองผมตามตัวเขามีผ้าผันแผลเต็มไปหมดแขนขวาและขาซ้ายถูกเข้าเฝือก ถึงจะผ่านมา 1เดือนอาการของเขาก็คงต้องพักรักษาตัวอีกสักระยะเมื่อผมเห็นสภาพของเขาแล้วผมยิ่งรู้สึกกดดันไปใหญ่ ไม่รู้จะพูดอะไรขึ้นก่อนดี
“สวัสดี…”น้ำเสียงที่ดังออกมาแต่ไม่ใช่จากผมแต่เป็นฝั่งเจมส์เขาเขาดูเยือกเย็นจนผมรู้สึกได้ว่าเขาดูไม่ชอบกับการมาของผม…
“คือ…คือเรื่อง…”
“อืม…งั้นหรอ…”เขาว่าแล้วก็หันออกไปมองหน้าต่างจนผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกเมิน
“…นายคงเข้าใจฉันสินะ…”ผมพูดเสียงสั่น เจมส์แหล่ตามามองผมซึ่งก็เผลอเงยหน้าที่สบตาเขาทันจะสะดุ้งแล้วกลับมาก้มหน้าใหม่
“…เราขอร้องนาย…”น้ำเสียงที่แผ่วเบาดังออกมาสั่นเครือทำให้ผมต้องเงยหน้ามามองอีกครั้งเจมส์ที่มองหน้าต่างก็ค่อยๆเลื่อนตาลงเหมือนกำลังนึกภาพในอดีตอันเจ็บปวด “…ขอร้องให้นายช่วย…”กามคบกันแน่นจนนูนออกมานัยน์ตาเริ่มแดงก่ำ“…แต่ถึงอย่างนั้น นายก็ทิ้งเราที่ต้องอยู่ในวงล้อมนั้น!!!ปล่อยให้ต้องโดนทำร้ายโดยไม่หันมามองเราเลยสักนิด!!”ผมรู้สึกอึ้งและเจ็บอย่างบอกไม่ถูกมันเป็นประโยคที่ตอกย้ำตัวผมลงไปจนผมรู้สึกผิดและพยายามจะแก้ตัว
“…คือ…คือว่า…”
“มืงออกไปเถอะ…อย่าให้กรูต้องเครียดไปกว่านี้เลย…”ถูกตัดบทอย่างสิ้นเชิง ประโยคนั้นผมแทบเข่าอ่อน ไร้ซึ่งคำโต้ใดๆไร้ซึ่งคำจะแก้ตัว ไร้ซึ่งความรู้สึกดีๆที่มีให้กัน ไร้แล้วซึ่งความเป็นเพื่อน…ผมมองเจมส์ด้วยสีหน้าที่ยังคงตกตะลึง น้ำตาของเขาไหลเอ่อจนผมรู้สึกเจ็บปวดอย่างถึงที่สุดผมก้มหน้าเดินออกจากห้องทรามกลางผู้คนมากมายภายในนั้น
เมื่อปิดประตูลงขาผมก็อ่อนล้าจนต้องรูดตัวลงนั่งภาพความทรงจำของผมที่มีกับเขา ช่วงเวลาที่สนุกสนานกับใบหน้าที่ยิ้มแยมความทรงจำที่ดีๆ กำลังลอยขึ้นมา น้ำตาไหลอาบแก้ม ผมไม่อาจทนต่อความรู้สึกนี้ได้อีกต่อไปแล้วความผิดที่ผมได้ทำลงไปมันสาหัสเกินกว่าจะเยียวยาได้… มันได้ทำลายความสัมพันธ์ของผมกับเขาจนมลายสิ้น
ผมเดินออกมาจากโรงพยาบาลด้วยดวงตาที่แดงและเสียงสะอึกสะอื้นทำให้ผู้คนจ้องมองผมด้วยความสงสัยผมรู้สึกสังเวชตัวเองอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกอยากหายไปจากโลกอยากตายโดยลืมเรื่องต่างๆ ถ้าตอนนั้นหัวผมคิดทันคงกระโดนให้รถชนไปแล้ว
ผมกลับมาบ้านด้วยร่างกายที่ดูเหมือนไร้วิญญาณเดินขึ้นห้องโดยไม่สนใจเสียงเรียกทักของคนรอบข้างแล้วล้มตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนล้าพรั่นภาพของเจมส์ก็ปรากฏขึ้นมาในสมองทำให้น้ำตาผมเริ่มไหลอีกครั้งมือกำแน่นด้วยความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสความรู้สึกเครียดและอึดอัดมันบีบขันจนผมประสาทแตก
“ว๊ากกกกกกกกกกกกกกกกก”ผมตะโกนลั่นบ้านจนพ่อแม่พี่น้องและคนในบ้านต้องรีบวิ่งมาดูด้วยความตกใจผมชกกระจกพลางนึกถึงในเย็นวันนั้น วันที่ผมหันหลังให้กับเพื่อนที่วิงวอนกับผมให้ผมได้เหลียวหลังกลับไป ให้ผมได้เอื้อมมือของผมดึงตัวเขาออกมา ให้ผมช่วยเขา…
“ทำอะไรนะลูก!!”แม่ว่าด้วยสีหน้าตื่นตกใจพร้อมกับพ่อที่วิ่งเข้ามาคว้าตัวผมออกจากระจกนั้นในมือผมอาบไปด้วยโลหิตสีแดงสดจากการถูกกีดบาด ผมดิ้นสะบัดสุดแรงด้วยอารมณ์ที่สับสนจนพลั่งมือเหวี่ยงไปโดนน้องสาวที่อยู่ข้างๆเธอล้มลงหัวกระแทกกับโต๊ะจนหมดสติ
“แกทำอะไรของแกนะห๊ะ!!”พ่อของผมเริ่มฟิวส์ขาด เขาจับดึงแขนแล้วกดร่างของผมลงพื้น“ตั้งสติหน่อยเซ่!!”ภายในบ้านเต็มไปด้วยความชุลมุนไปหมดฝั่งแม่และพี่ชายก็ช่วยกันเขย่าตัวน้องสาวที่อายุเพียง 8 ปีให้เธอได้สติส่วนพ่อของผมก็พยายามดึงและกดร่างของผมไม่ให้ขยับไปไหนได้
เมื่อขยับไปไหนไม่ได้สติก็เริ่มจะกลับมาทีละนิดๆเสียงร่ำไห้ของแม่เข้าหูผมทีละน้อยๆจนผมหันคอไปดู น้องสาวที่หมดสติเลือดอาบใบหน้าทำให้ผมผวา
“ใครก็ได้…เรียกรถพยาบาลที!!!”แม่ตะโกนเสียงดังก่อนที่พี่ชายผมจะลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกงแล้ววิ่งออกไปข้างนอกส่วนพ่อที่เห็นผมเย็นลงก็ค่อยๆปล่อยแขนผมออกช้าๆเมื่อผมเริ่มถูกปล่อยก็วิ่งกรูไปหาน้องอย่างรวดเร็วพลางเริ่มเขย่าตัวเธอ แม่ที่ร่ำไห้อยู่ก็หันมามองผมด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป
เพลี้ยะ! หน้าของผมถูกตบอย่างแรงจนหันสะบัดแก้มชาแดงทันที่ผมจะหันกลับมามองแม่ด้วยแววตาที่สงสัย
“ผีอะไรเข้าแกวะ!!”คำพูดหยาบคายที่ผมพึ่งจะได้ยินจากแม่เป็นครั้งแรกทำเอาผมหวาดกลัวอย่างถึงที่สุดผมก้มหน้าลงสลดใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แม่เมื่อเห็นผมเป็นเช่นนั้นก็ก้มลงไปกอดเขย่าตัวลูกสาวอันเป็นที่รักจนทิ้งให้ผมต้องนั่งดูน้องด้วยความอับอายและเศร้าโศก
“แม่!! รถพยาบาลมาแล้ว!!!”พี่ที่วิ่งเข้ามาแหกปากตะโกนทำให้แม่รีบอุ้มลูกสาวที่ไม่ได้สติวิ่งไปที่รถพยาบาลทันทีทุกคนรีบวิ่งตามแม่ไปเพื่อดูอาการของน้องสาวด้วยหัวใจที่ลุ้นระทึกแล้วขาที่ใหญ่และกำยำก็ก้าวผ่านมาหยุดที่หน้าผมพ่อมองผมด้วยแววตาดูเหมือนขาดความไว้เนื้อเชื่อใจ เหมือนขาดความไว้ใจกันในพ่อลูกก่อนที่เขาจะออกจากห้องแล้วปิดประตูไป
ผมนั่งนิ่งในห้อง5x5ก่อนจะลุกขึ้นยืนมองไปที่ประตูครู่หนึ่งก็หันกลับมาเปิดเครื่องคอมที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ… ในหัวผมว่างเปล่าไม่มีความนึกคิดหรือสิ่งที่อยากจะทำเลยในตอนนี้นอกจากจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นไปซะ…
แต่ว่า…การหนีไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาสำหรับสถานการณ์นี้…ผมไม่อาจสนุกสนานกับเกมที่เล่นไปได้เลยที่จริงมันไม่ใช่เวลามาเล่นซะด้วยซ้ำในตอนที่น้องสาวได้เข้าโรงพยาบาลโดยไม่ทราบถึงชะตากรรมเพราะผมนั้น…
“โธ่โว๊ย…”ผมกำหมัดขบฟันแน่นพลางทุบคีย์บอร์ดอย่างอ่อนแรง“เพราะเรา…เป็นเพราะเรา…ทั้งเจมส์ทั้งน้องเลยต้องมาเป็นแบบนี้…เป็นเพราะเรา…”หัวเริ่มหนักแล้วโน้มไปข้างหน้ากระแทกกับโต๊ะจนรู้สึกเจ็บแต่นั้นก็เป็นสิ่งที่ผมต้องการ…
ตึค ตึค ตึค! ผมโคกหัวกับโต๊ะอีกสองสามครั้งก่อนจะลุกขึ้นไปล้มตัวลงเตียงในเวลาแบบนี้ผมไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทั้งกิน เล่นหรือแม้แต่การนอน… ทุกครั้งที่ผมหลับตาจะมีภาพของเจมส์และน้องสาวผุดขึ้นมาทำเอาผมนอนไม่หลับผมร้องไห้ครั้งแล้วครั้งเล่าร้องไห้ทั้งคืนในวันนั้นเพราะพ่อกับแม่ก็ยังไม่กลับจากโรงพยาบาล
“มันไม่เหลืออะไรแล้ว ชีวิตนี้…มันจบลงแล้ว…เพราะเรามัน…อ่อนแอขี้ขลาด…แม้แต่เพื่อนยังปกป้องไม่ได้อยากระบายแต่ก็ทำให้น้องสาวต้องรับลูกหลงไปด้วย…เรามัน…”ผมรู้สึกเจ็บปวดและมืด 8 ด้านผมอยากลืมเรื่องเหล่านี้ไปเสีย ความรู้สึกนี้มันเจ็บปวดเกินจะทนแล้วมันไม่เหมือนกับการโดนหักอกหรืออะไรแบบนั้น มันเจ็บฝั่งเข้าไปในความรู้สึกว่าแล้วผมก็ยกมือขวาของตนเองขึ้น มือที่เต็มไปด้วยเลือดซึ่งแห้งและแตกแล้วก็เป็นมือคู่นี้ที่เราได้สะบั้นสายสัมพันธ์ของเพื่อนที่หาไม่ได้แล้วก็เป็นมือคู่นี้ที่ได้ทำร้ายน้องสาวของตนจนได้เข้าโรงพยาบาล…
พึบ!! ผมลุกพรวดออกมาจากเตียงด้วยความรู้สึกสาปแช่งมือขวานี้…ใช่!...มือขวานี้แหละที่พรากทุกอย่างไปจากเราว่าแล้วผมก็เดินลงมาที่ห้องครัวหยิบมีดอีโต้ออกมามือขวาที่วางอยู่บนเขียงกำลังสั่นด้วยความเจ็บปวดซึ่งจะถูกมีดตัดให้ขาดเป็นสองท่อนผมไม่อยากเห็นภาพตัวเองในตอนนี้เอาเสียเลย ผมหยิบมีดออกมาส่องดูเงาตัวเองในนั้นใบหน้าที่แสยะยิ้มเหมือนเห็นแสงสว่างของความหวังจอมปลอมที่สร้างขึ้นมันทำให้ผมรู้สึกสะอิดสะเอียนเมื่อนึกถึง ผมค่อยๆง้างมือซ้ายที่ถือมีดขึ้นเลยหัวไปสายตาที่จ้องมองมือขวาของตนอย่างเอาเป็นเอาตายคงทำให้ใครหลายๆคนที่ได้เห็นคงรู้สึกสมเพชเวทนาผมมากแต่แล้วมือซ้ายที่หยุดไม่ได้ก็ได้หวดลงอย่างแรง
ปึค!!!
“อ๊ากกกกกกกกกกกกกก”ผมกรีดร้องลั่นร่างกายสั่นไหวไปหมดแต่แล้วก็เริ่มสะอึกก่อนที่ตัวจะอ่อนโรยพิงกับอ้างล้างจาน “เรามัน…ขี้ขลาด”มีดที่ปัดลงระหว่างนิ้วชี้กับนิ้วกลางทำให้ร่างของผมล้มลงนั่งกับพื้นแล้วร้องไห้ดูปวกเปียก
แอ๊ด… ปัง!เสียงประตูเปิดและปิดดังขึ้นตามจังหวะ ผมก้าวเดินออกจากห้องด้วยสีหน้าที่เศร้าโศกไร้ทิศทางและจุดหมาย ผมไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ผมจะทำตัวยังไง ไม่รู้ว่าจะเจออะไรไม่รู้แม้กระทั้งตอนนี้ว่าต้องทำยังไงกับชีวิตด้วยซ้ำ
ผมเดินเฉื่อยชาล่องลอยไม่สนใจสิ่งรอบข้างแม้เสียงนินทาของผู้ที่เรียกตัวเองว่า“คน”และผมรู้สึกชินกับมันเมื่อผ่านไประยะหนึ่ง แต่ดูเหมือนผมจะเมินมันมากกว่าจู่ๆแสงสว่างที่สะท้อนดวงตาผมทำเอาตื่นจากภวังค์หันมอง
ชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่ริมทางเดินหนวดเคราหยิกยาวเสื้อผ้าฉีกขาดมอมแมม ร่างกายดูผอมแห้งแต่ก็ยังพอมีเนื้อหนังก้มหน้าก้มตาทำอะไรสักอย่างที่ผมเรียกว่า“สิ่งประดิษฐ์” เพราะมันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน มันเป็นแผ่นโลหะอะไรสักอย่างที่เรืองแสงสีเหลืองเป็นรูปร่างซึ่งดูเหมือนจะยังไม่สมบรูณ์เสียเท่าไรผมรู้สึกสนใจในส่วนของการเรืองแสงเป็นพิเศษจนลืมเลือนความเศร้าโศกนั้นไป
ผมเดินมาหยุดดูเขาครู่หนึ่งในขณะที่คนอื่นต่างเดินมองผ่านไปซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่สนใจเท่าไรนัก
“น้า…น้าครับ –น้าทำอะไรอยู่หรอ?”
“…”ไม่มีการตอบกลับจากชายลึกลับที่ก้มหน้าก้มตาทำเป็นไม่ได้ยินหรือไม่เห็นทำให้ผมขยับกายเข้าไปใกล้และสะกิดเขาด้วยความสนใจในสิ่งประดิษฐ์จนเขายอมเงยขึ้นมาดวงตาสีน้ำตาลจ้องมองมาที่ผมทำให้ผมรับรู้ทันทีว่าชายคนนี้ไม่ได้ ‘บ้า’ หรืออะไรแบบนั้นเลย เขาดูมีความรู้สึกรับรู้และมีความคิดในแววตาที่มองมา
“น้าทำอะไรหรอ?”
พรึบ! เขาลุกขึ้นและเดินจากผมไปอย่างรวดเร็วจนผมเองก็สะดุ้งขนาดคนข้างทางยังเดินหนีเราทั้งๆที่เราแค่ตั้งใจจะถามแท้ๆนี่เราดูน่ากลัวขนาดนั้นเชียวหรอ? และแล้วผมก็สัมผัสได้ถึงสายตาที่จับจ้องมาด้วยความเหยียดหยามฝูงคนที่เดินผ่านมองผมด้วยหางตาและยิ้มเยาะขบขัน บ้างก็ซุบซิบนินทาบ้างก็กดโทรศัพท์บอกเหล่าโซเชี่ยวด้วยความสนุกสนาน
‘…พวกสันด_นเห็นเรื่องของคนอื่นเป็นเรื่องตลกไปหมดหยิบเรื่องต่ำต้อยของคนอื่นมาพูดเพื่อทำให้ตัวเองดูสูงขึ้น ระยำ!’ ผมอยากจะตะโกนออกมาเสียจริงถ้าไม่ติดในเรื่องความเกรงใจต่อคนแปลกหน้าและชื่อเสียงของคนในครอบครัว… ที่ตอนนี้อยู่ดูอาการน้องสาวในโรงพยาบาล
ผมถอนหายใจและเดินตรงออกไปอย่างเหม่อลอยอีกครั้งผมเดินเรียบทางเดินไปเรื่อยๆกระทั้งผมเห็นแสงสว่างสีเหลืองในป่าลึกมันเป็นแสงสว่างเล็กน้อยในป่ามืดทมิฬซึ่งยากจะสังเกตเห็นผมเดินตามแสงเข้าไปในป่าเรียบทางเดินจนผู้คนที่เห็นต่างพากันสงสัย
‘สารเรืองแสง…’ผมคิดพลางปัดกิ่งไม้ที่ขวางทางออกค่อยๆเห็นแสงสว่างทีละนิดๆ และแล้วสิ่งที่ผมเห็นก็ทำให้ผมตะลึง
พระบรมฉายาลักษณ์ของในหลวงพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชที่สว่างไสวในความมืดมิดแขวนแบบปฏิทินผมนิ่งดูมันครู่หนึ่งก็เห็นชายฉกรรจ์เมื่อครู่ที่ผมเจอกำลังทาสารเรืองแสงในรูปนึ่งอยู่เมื่อชะโงกหน้ามองก็เห็นว่าที่กองเกลื่อนพื้นล้วนเป็นรูปในหลวงทั้งสิ้น
“น้า…ทำอะไรอยู่นะ?”
“…เปล่าแค่ทำในสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็นค่ามัน”
“น้าหมายถึงรูปในหลวงหรอ…”
“ทุกรูปที่นายเห็นคือสิ่งที่ผู้คนไม่ต้องการแล้ว มันคือขยะไร้ค่าและไม่สำคัญในเส้นทางที่แสงส่องสว่างผู้คนล้วนมองเพียงเส้นทางข้างหน้าจนมองข้ามเงาที่อยู่ด้านหลัง”
“แล้ว…สิ่งที่น่าทำคือ…”
“ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ โดยไม่เดือดร้อนผู้อื่น…”ชายฉกรรจ์พูดจาสอนสำนวนดูเป็นผู้ดีผิดกับสถานะของตนเองผมเองก็ไม่คิดว่าคนข้างทางที่ไร้ซึ่งหน้าตาทางสังคมจะเห็นค่าของรูปในหลวงมากกว่าที่พวกเราซึ่งมีมันอยู่ติดตัวตลอดเวลายังไม่เห็นค่าของมันใช่…ทุกเหรียญบาททุกแบงค์ทุกใบล้วนมีรูปพระเจ้าอยู่หัวอยู่ทั้งสิ้น พระองค์ทรงสถิตอยู่กับประชาชนของพระองค์ตลอดเวลาแต่เมื่อกาลเวลาผ่านพ้นไปผู้คนเริ่มลืมเลือนและไม่เห็นค่าของมันเพียงคำพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรที่อยู่ในแบงค์ยี่สิบบาทเราเองก็ไม่เคยอ่านมัน
ผมหย่อนตัวลงนั่งยองมองดูชายฉกรรจ์ที่ยังคงก้มหน้าก้มตาทำสิ่งที่ตัวเองชอบโดยไม่สนใจผมด้วยความอึดอัดคับแค้นใจอยากระบายออกให้ใครสักคนฟังผมจึงพูดออกไปให้กับชายที่ผมไม่รู้จัก
“น้า…ถ้าเกิดว่าน้ามีเพื่อนสนิทที่หาไม่ได้คนหนึ่งซึ่งขอร้องให้น้าช่วยแต่น้ากลับทอดทิ้งเขาจนความสัมพันธ์ของความเป็นเพื่อนต้องพังลง น้าจะทำยังไงหรอ…แล้วถ้าน้าเผลอลงมือทำร้ายน้องสาวของตัวเองจนต้องเข้าโรงพยาบาลน้าจะทำยังไง…”
“หรอ…แล้วตัวเขาเป็นคนยังไงละ…”
“ตัวเขานะหรอ…เป็นคนขี้ขลาดตาขาว เห็นแก่ตัวและยัง…อ่อนแอด้วย…”
“สิ่งเหล่านั้น มันไม่สำคัญหรอ?”
“สำคัญสิ!!”ผมขึ้นเสียงทันทีแต่ท่าทางของชายฉกรรจ์กลับดูเยือกเย็นยิ่งขึ้น
“งั้นเขาจะมัวรออะไรอยู่…ถ้าหากสิ่งเหล่านั้นสำคัญสำหรับเขาแล้วยังมีอะไรที่ต้องลังเลที่จะปกป้องไว้ละ”ผมอึ้งกับคำพูดของเขาไปครู่หนึ่งใช่…ผมมัวรออะไรอยู่?
“เป็นเพราะเขาอ่อนแอ…ละมั้ง”
“จงอย่าอ่อนแอในเวลาสำคัญ จำไว้ให้ดี–และเพราะคนเราล้มเพื่อที่จะรู้จักยืนขึ้นมิเช่นนั้นสิ่งสำคัญเหล่านั้นจะค่อยๆหายไป เขาอยากให้เป็นแบบนั้นงั้นหรอ…”ชายฉกรรจ์หันมาทางผมแต่ด้วยความมือมิดผมจึงมิอาจมองเห็นใบหน้าของเขาได้
“แล้วน้าจะให้เขาทำยังไงละ…”
“เข้มแข็งขึ้นสิ เผชิญหน้ากับความจริงอย่าได้หันหลังหนี…”
“มันไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก! …เขาได้เผชิญหน้ากับมันแล้ว…สิ่งที่เขาได้รับมาคือความเจ็บปวด…ความเจ็บปวดที่เกินจะรับไหว”ผมก้มหน้าลงนึกถึงภาพภายในห้องพยาบาลนั้นพลางกำมือแน่น
“แต่เขาก็รับมันมาได้จนถึงตอนนี้ไม่ใช่หรอ? หรือเขาจะให้มันจบลงแบบนี้…”ชายฉกรรจ์พูดโต้กลับมา ตัวผมกำมือแน่นขึ้นไปอีกเราไม่อยากให้มันจบลงแบบนี้…แต่จะให้เราทำยังไง?จะให้เราทำยังไงละ!?
“ไม่อยากให้จบลงแบบนี้หรอก… แต่จะให้เขาทำลงได้ยังไง จะให้ไปเผชิญหน้าได้ยังไง…”
“ขอโทษสิ ไปขอโทษเขาเหล่านั้นที่นายได้ทำร้ายและทอดทิ้งไป”
“แค่คำเดียวเนี้ยนะ!?”
“ถึงจะคำเดียวแต่แฝงความหมายไว้เป็นร้อยนะ…”ผมนิ่งพูดไม่ออกจริงๆกับคำโต้ของชายฉกรรจ์ คำขอโทษงั้นหรอแค่คำเดียวแค่นี้จะแก้ทุกอย่างได้อย่างนั้นหรอ? เดี๋ยวสิ…เราเป็นคนผิดงั้นหรอ?
“…เขาไม่ได้ผิดนิ!คนพวกนั้นต่างหากที่ผิด พวกมันมาทำร้ายเพื่อนของเขาเองนะ!”
“แต่คนที่ทอดทิ้งคือเขาไม่ใช่หรอ… ใช้เวลาน้อย ๆ ในการคิดว่า"ใคร" เป็นคนถูก แต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า "อะไร"คือสิ่งที่ถูก ในหลวงท่านก็ตรัสแบบนั้น”คำพระราชดำรัชของในหลวงที่ผมไม่เคยได้ยินทำเอาผมอึ้ง“หากเป็นสิ่งที่ต้องปกป้องจริงๆแล้ว แม้ต้องละทิ้งทุกสิ่ง…ก็ต้องปกป้องไว้ให้ได้นั้นแหละคือสิ่งสำคัญ – นายก็รู้ตัวแล้วนิว่าจะพูดอะไร”
ผมลุกขึ้นยืนอย่างยืดอกก่อนจะกำหมัดแน่นความรู้สึกที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นนั้นคงทำให้เขาดีใจไม่น้อย ‘…จริงอย่างที่เขาว่า…ของสำคัญของเราเราก็ต้องปกป้องเอาไว้สิ… แล้วเราจะมามัวกลัวอะไรอยู่?’
ผมแอบยิ้มที่มุมปากพลางมองไปที่รูปของในหลวงก่อนจะหันกลับมามองน้าชายฉกรรจ์อีกครั้ง“…ผมว่าตอนนี้เขาคนนั้นคงได้เวลาไปแล้วละ…”
“ดี…จงใช้ความมุ่งมั่นนั้นแสดงให้พวกเขาเห็นซะสิ”
“ครับ! ขอบคุณครับ!”ผมพนมมือก้มหัวเล็กน้อยก่อนจะเดินจากชายฉกรรจ์มาจะว่าไปผมมันก็บ้าจริงๆที่เดินตามเข้าไปในป่าทึบแบบนั้นทำให้ตอนออกมาทุกคนมองผมด้วยสายตาที่สงสัยประหลาดใจผมรีบกลับไปที่ห้องทำแผลให้กับมือขวาของตนเองด้วยความเจ็บปวดจากน้ำยาฆ่าเชื้อจนน้ำตาแทบไหลจากนั้นก็ขึ้นไปเอาโทรศัพท์และโทรหาพี่ทันที
“พี่…พี่อยู่โรงพยาบาลอะไรน่ะ!?”
……………………………………………………………………………
หลายนาทีผ่านไปผมก็มาถึงห้องในโรงพยาบาลที่น้องสาวผมกำลังพักฟื้นอยู่แต่ด้วยความรีบร้อนในการมาทำให้ผมไม่ทันได้คิดเพื่อไว้พ่อกับแม่ที่เห็นผมมาต่างดูตกตะลึงและไม่ไว้ใจ ผมเดินดิ่งไปที่น้องเป็นอันดับแรกดูเหมือนเธอจะยังหมดสติอยู่ ผมลูบแก้มเธอด้วยความเอ็นดูใบหน้าของเธอที่หลับสนิทนั้นเป็นภาพที่ผมไม่เคยได้สังเกตดูมันเธอดูน่ารักและไร้เดียงสาในเวลาหลับมากถึงเวลาตื่นจะคนละเรื่องกันก็เถอะ
“แกจะมาทำไม…”แม่พูดขึ้นด้วยความระแวงอย่างเห็นได้ชัดผมหันหน้ามองเธอครู่หนึ่งก็เดินไปหาและหยุดตรงหน้าเขา
“…คือผม…คือผม…”ผมพูดไม่ออกมันอัดอั่นอยู่ในอกจนรู้สึกอึดอัดอยากหันหลังหนีไปเสียแต่ทำแบบนั้นมันก็ไม่ต่างกับเมื่อก่อนนะสิ! ‘พูดสิ…พูดออกไปว่าขอโทษ พูดสิ!! พูดไปเลย!!!’
“ถ้าไม่มีอะไรก็ออ…”
“เดี๋ยวก่อนสิเธอ ลูกมันจะพูดอะไรบางอย่างนะฟังมันมั่งสิ…”คำพูดพ่อที่เหมือนรอลุ้นและมองมาที่ผมเหมือนเปิดโอกาสให้ทำเอาผมมีกำลังใจขึ้นมาในทันที
“ผมขอโทษครับแม่!! เป็นเพราะผมอ่อนแอที่ควบคุมตัวเองไม่ได้ ทำให้น้องต้องมาเจ็บตัว มันเป็นความผิดของผมคนเดียวแต่ว่า…ผม…”แม่เดินมาที่ผมสีหน้าแม่ดูเปลี่ยนไป เธอดูดีใจและยิ้มแย้มกว่าเก่า
“คนที่เธอต้องขอโทษไม่ใช่ฉันหรอกนะ…”แม่หันไปมองน้องที่นอนอยู่บนเตียงเธอพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะจับมือผมไว้และพามาแตะบนมือของน้องมือที่เรียวยาวดูบอบบาง ร่างของน้องสาวที่ยังคงสลบไสลอยู่บนเตียงทำเอาผมใจสั่นไม่น้อยผมกุมมือเธอไว้ก่อนจะนั่งลงยกขึ้นเอามือของเธอมาแตะไว้ที่หน้าผากของผม
“พี่ขอโทษนะ…เพราะพี่มัวแต่กลัวเรื่องของเพื่อนกลัวที่จะสูญเสียเพื่อนคนสำคัญจนทำให้น้องต้องมาเจ็บตัว พี่ขอโทษ…”จู่ๆมือของผมก็ถูกกำแน่นผมเงยหน้ามองน้องสาวที่จ้องมองผมอยู่ เธอน้ำตาคลอและยิ้มดูดีใจ
“พี่ของหนูกลับมาแล้ว…-- หนึ่งเดือนที่หายไป พี่ของหนูกลับมาแล้ว…”เธอยิ้มอย่างดีใจทำให้ผมนึกถึงเดือนก่อนหนึ่งเดือนที่เจมส์เข้าโรงพยาบาล ผมไม่กิน ไม่พูด ไม่เรียน ไม่ทำอะไรเลยแม้แต่อยู่บนโต๊ะข้าวที่กินอย่างไร้วิญญาณผมมัวแต่คิดเรื่องของตัวเองจนไม่สนใจคนใกล้ตัวที่เขาห่วงใยเรา…เรามันแย่ที่สุด!
“พี่ขอโทษนะที่ทำให้เป็นห่วง…พี่…ขอโทษ…”ผมก้มหน้าลงร้องไห้ด้วยความดีใจก่อนที่มืออีกข้างของน้องจะแตะบนมือผมที่สั่นไหว
“คะ…พี่ไม่ได้อยู่คนเดียวหรอกนะ…พี่ยังมีคุณพ่อกับคุณแม่อยู่นะ…”
“น้องพูดถูกแล้วละลูก…”แม่เดินมาบีบไหล่ผมแต่ผมกลับรู้สึกว่ามันอบอุ่น…ใช่…เราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวยังมีครอบครัวของเราที่ยังอยู่เคียงข้างกับเราเสมอ…ไม่ว่าเราจะเป็นอะไร
หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลับมาเป็นปกติผมสามารถพูดคุยกับแม่ได้อย่างยืดอก ส่วนพ่อก็นั่งดูผมตั้งแต่แรกจนจบถึงจะไม่พูดอะไรแต่จากสีหน้าก็รู้ว่าดีใจอยู่เหมือนกันส่วนพี่ชายของผมก็ยังคงยืนยิ้มแซวผมเล่นเป็นปกติ ผมได้สิ่งสำคัญกลับมาอย่างนึงแล้ว… ที่เหลือก็มีแค่…
………………………………………………………………………………
3 วันต่อมาหลังจากที่ผมรักษามือขวาที่ถนัดจนสามารถกลับมาเขียนได้แล้วก็กลับมาเรียนตามปกติซึ่งพอหมดคาบสุดท้าย ผมรีบทำเวรความสะอาดแวะซื้อของฝากเล็กน้อยและดิ่งไปที่โรงพยาบาลทันทีโรงพยาบาลที่เจมส์รักษาตัวอยู่ ผมไปหยุดหน้าห้องของเขาเพราะคิดถึงคราวก่อนที่ผมได้ถูกปฏิเสธและถูกตัดความสัมพันธ์นั้น…ครั้งนั้นผมเป็นฝ่ายถอยเองแต่ครั้งนี้ผมจะไม่หนีมันอีกแล้ว!
ครึก!! ผมเปิดประตูออกอย่างยืดอกก้าวเดินเข้ามาในห้องพลางมองไปที่เจมส์ดูเขาประหลาดใจในการมาของผมอยู่ไม่น้อย
“…นายจะกลับมาอีกทำไม…”
“เพราะเราเป็นเพื่อนกันไงละ!?”
“เพื่อนหรอ? เราสองคนไม่ไ…”
“เราขอโทษ!!?”ผมชิงพูดขึ้นมาก่อนทำให้เจมส์ดูอึ้งไป“เราขอโทษที่เราทิ้งนายไปในตอนนั้น แต่เราจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว! เราสำนึกและเสียใจแต่เราก็ไม่อยากให้มันจบลงแบบนี้!!”ผมว่าแล้วก็เดินเข้าไปใกล้ๆมันวางกระเช้าผลไม้ไว้บนโต๊ะและนั่งลงตรงเก้าอี้ที่ใกล้กับเตียงมันเสร็จแล้วผมก็จะคว้ามือขวามันมาแต่มันก็ชักออกไป
“จะทำอะไรนะ?”
“จับมือให้อภัยไม่ใช่หรอ”สิ้นประโยคผมเจมส์ก็อึ้งไปเล็กน้อย ผมพยายามจับมือกับเขาแต่ก็ถูกสะบัดออก แต่ว่าในครั้งนี้ผมจะไม่ยอมหันหลังหนีอีกแน่ผมยื่นมือออกไปจะคว้าอีกครั้งเจมส์ยกมือขึ้นหลบผมและเมื่อผมพยายามจะคว้าอีกเขาก็เหวี่ยงฟาดมือผมจนผมเองก็สะดุ้ง
“พอเถอะ…มืงกลับไปได้แล้ว”เขาจ้องตาผมด้วยความรู้สึกขุ่นเขือง
“ไม่! วันนี้:Xจะไม่กลับจนกว่าจะคืนดีกับมืงได้!!”ว่าแล้วผมก็พยายามคว้ามือของเขาอีก คราวนี้เขาสะบัดมือผมออกแรงกว่าเก่าแต่ผมก็ไม่ยอมแพ้พยายามจับอีกครั้งและผมก็จับมือเขาได้สำเร็จเจมส์พยายามสะบัดมือผมทิ้งแต่ผมไม่ยอมกลับบีบแน่นไม่ให้หลุดจากมือเขาจนเขาอ่อนแรงลงมือที่สั่นและเริ่มกำตอบแรงของผมทำเอาผมตกใจเล็กน้อย
“เราไม่…ให้อภัย…นายหรอก”เจมส์ก้มหน้าลงเล็กน้อยทำให้ผมยืดอกและยิ้มที่มุมปาก
“อ้า…ขอแค่มาเยี่ยมไข้แกได้ทุกวันแค่นั้นก็พอ”ผมยิ้มอย่างไมตรีและดูท่าที่ของเจมส์ที่ไม่สบตาผม
“เออ…แค่นั้นก็ได้…”เจมส์หันมายิ้มตอบเล็กน้อยทำให้ผมโล่งอกถึงแม้เรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้นเจมส์จะไม่ให้อภัยผม แต่ผมจะพิสูจน์ตัวเองให้เขายอมรับอีกครั้งและผมคงจะไม่ทิ้งเขาอีกเป็นครั้งที่สองเพราะเขาเป็นเพื่อนคนสำคัญของผม “มืงจะจับมือกรูอีกนานไม…มองกันทั้งห้องหาว่าเป็นคู่เกย์กันแล้วนะ!?”เจมส์พูดขึ้นซึ่งเมื่อผมมองทุกคนในห้องก็หันหน้าหลบและซุบซิบกันอย่างสนุกสนาน
“เฮ้ย… ไม่ใช่นะ!?”
“บ้า…จะอายไปทำไมละ…”เจมส์ทำท่าทางเหมือนผู้หญิงดูเอาชวนขนลุกไม่น้อยแต่ผมก็อุ่นใจที่เจมส์กลับมาเหมือนเดิมเมื่อผมมองไปรอบๆห้องอีกครั้งก็เห็นหญิงสาวคนนั้น คนที่เดินชนผมตรงประตูครั้งก่อนเธอเหมือนจะมาเยี่ยมญาติของเธอที่ดูจะเป็นแม่ ทั้งคู่ดูสดใสร่าเริงสนุกสนานจนผมเองก็แอบยิ้ม “เฮ้ยๆ…เมินกันแบบนี้เลยหรอ? หืม?สนใจหรือไงแก”เจมส์แซวผมทำเอาผมทำตัวไม่ถูก
“เฮ้ย!? บ้า!!ป่าวสักหน่อย”
“เรอะ!!? งั้นตูลุยนะ”
“ใส่เฝือกขนาดนี้ยังจะกล้าจีบอีกเรอะ!?”
“หึ! เฝือกแค่เนี้ยไม่อาจปิดกั้นความรู้สึกของเราได้หรอก”เจมส์หลับตาเล็กน้อยทำท่าทางเก๊กหล่อชวนอ้วกให้ผมได้ดู
“เออ…คุณคะ…”เสียงหญิงสาวที่ดังขึ้นมาทำให้ผมกับเจมส์หันไปมอง หญิงสาวที่ตกเป็นเป่ากลับเดินมาทักทายก่อนทำเอาผมและเจมส์ตกอกตกใจ
“เออ…ครับ”ผมกับเจมส์หันมาพูดพร้อมกันด้วยความงุนงง
“ใช่…คุณจริงๆด้วยที่เดินชนตอนนั้นฉันขอโทษด้วยนะคะ!!”เธอว่าและก้มขอโทษจนผมเกรงใจอย่างบอกไม่ถูก
“ม…ไม่เป็นไรครับแค่เดินชนกันเฉยๆไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้…”
“ไม่หรอกคะ ฉันเห็นว่าคุณถอยไปชนคนอื่นอีก แต่ฉันกลับวิ่งหนีคุณออกมาเพราะกลัวว่าจะโดนด่าต้องขอโทษด้วยจริงๆนะคะ!!”
“…เออ…มันไม่ถึงขนา…”
“โอ๊ย…รบกวนคนไข้เขาจะนอน…ทั้งสองคนช่วยออกไปคุยข้างนอกได้ไมครับ”เจมส์เพื่อนผมแซวทันทีเมื่อผมหันไปมองมันก็ขยิบตาให้และพอผมหันกลับมามองเธอเธอก็หันไปหาผู้เป็นญาติก่อนที่เขาจะพยักหน้าเล็กน้อยเธอเดินเข้าไปคุยก่อนจะเดินก้มหน้ามาหาผม
“แม่บอกให้เราออกไปคุยกันข้างนอกนะ…”เธอว่าด้วยท่าทางเขินอายก่อนจะจับเสื้อผมแล้วดึงออกไปจากห้องเจมส์ที่เห็นก็แอบยิ้มชูนิ้วโป้งให้เป็นสัญญาณแต่ผมกลับรู้สึกกลัวแบบแปลกๆ
หลังจากที่เดินออกมาจากห้องก็ปิดประตูไป เราสองคนนิ่งเงียบไปขยับไปครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะเริ่มโต้ตอบก่อน
“เราไปคุยข้างระเบียงดีกว่านะ!?”เธอเสนอความคิดเห็นแต่ผมก็ไม่ได้ขัดแย้งอะไรเพราะไม่รู้ด้วยว่าทำไมเราต้องออกมาคุยกันข้างนอกแบบเป็นความลับทั้งๆที่พึ่งรู้จักเมื่อเดินมาถึงตรงระเบียง ความสงสัยผมก็เกินจะห้ามใจ
“ทำไมเราต้องมาคุยกันลับๆด้วยครับ?”
“…ไม่ลับนิคะข้างในนั้นมันห้องผู้ป่วยต้องให้เขาได้--พักผ่อน”เมื่อเธอมองผมก็กระตุกจนผมเองก็มึนงงเหมือนเธอจะสะดุ้งที่ผมเดินใกล้เข้ามา
“แล้ว…มีอะไรหรอครับถึงเรียกออกมาคุยสองต่อสอง”ผมไปจี้ใจเธอหรือป่าวก็ไม่รู้แต่ดูเหมือนเธอจะไม่กล้าสบตาผมจนดูน่าหงุดหงิด
“คุณคนนั้น…”เธอพูดตะกุกตะกะผมดูเธอครู่หนึ่งก็รู้ทันทีว่าเธอหมายถึง
“เจมส์”
“คะ เจมส์--คนๆนั้นเป็นคนสำคัญสินะคะ”เธอหันมาถามผมผมคิดไตร่ตรองครู่หนึ่งก็อืดอกอย่างเต็มภาคภูมิ
“ครับ! เขาเป็นคนสำคัญสำหรับผมเพราะเขาเป็นเพื่อนที่หาไม่ได้…”
“อ้าว…คุณสองคนไม่ได้เป็นแฟนกันหรอคะ?”เมื่อผมคิดประมวลประโยคเสร็จก็ถึงกับสะดุ้งรีบตอบปฏิเสธทันที
“ไม่ใช่ครับๆ เราเป็นเพื่อนกันรู้จักก่อนตอนอยู่ม.4 นะครับ!?”เธอทำหน้าดูประหลาดใจในขณะที่ผมรีบปฏิเสธอย่างร้อนรนว่าแล้วเชียวว่าทุกคนต้องหาว่าเราเป็นเกย์!
“อย่างนั้นสินะคะ ฉันเห็นคุณสองคนจับมือกันก็เลย—ต้องขออภัยด้วยคะ!!?”เธอก้มขอขมาเป็นพิธีจนผมตกใจ
“เอ๋…ไม่ต้องทำขนาดนั้นก็ได้ครับผมชินแล้วละกับเรื่องแบบนี้”เมื่อสิ้นประโยคเธอเงยหน้ามามองผมจนผมรู้สึกอายเราเงียบกันไปสักพักเพราะเริ่มหมดธุระกันก่อนที่เธอจะขึ้นเรื่องใหม่
“คุณเข้มแข็งจังนะคะ…แม่ฉันเล่าเหตุการณ์ต่างๆให้ฟังแล้วละคะ วันแรกที่คุณเดินเข้ามาคุณถูกเพื่อนของคุณปฏิเสธไป—ขนาดฉันฟังก็ยังตกใจนะคะเพื่อนคนสำคัญพูดบอกตัดความสัมพันธ์กันแบบนั้นเป็นฉันคงไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรไปหลายเดือนเลยแล้วพอมาวันนี้คุณก็กลับมาพร้อมกับความมุ่งมั่น เด็ดเดี่ยวแตกต่างจากวันที่เราเจอกัน วันนั้นคุณดูโศกเศร้า หวาดกลัวแตกต่างกันอย่างลิบลับเลยนะคะ”เธอยิ้มพูดอธิบายจนผมก็ยังอึ้งกับตัวเองเธอหันมาหาผมพร้อมกับแววตาที่จริงจัง “คุณรู้ได้ไงคะว่าเขาจะตอบคืนดีกับคุณเขาอาจจะปฏิเสธจนต้องมองกันไม่ติดเลยก็ได้นะคะ”ผมนิ่งไปเพราะความแน่วแน่ของเธอทำเอาผมตกใจผมไม่คิดว่าจะมีใครอยากรู้เรื่องแบบนี้เลยสักนิด
“…ก็ ไม่รู้สิครับเอ่อ…อาจจะเป็น สัญชาตญาณมั้งครับ?”
“สัญชาตญาณ?”เธอเอียงคอเลิกคิ้วเชิงสงสัย
“ก็…ถ้าหากเขาจะปฏิเสธผมจริงๆคงจะเอามือไว้อีกฝั่ง…แล้วละมั้ง แบบนั้นผมก็คงจะคว้ามือเขามาไม่ได้นะฮาฮา”ตัวผมก็ยิ่งไม่ถูกกับการอธิบายซะด้วยสิทำเอาผมบอกไม่ถูกจริงๆยิ่งเป็นเรื่องแบบนี้เสียด้วย
“อืม…งั้นหรอคะ”เธอยิ้มเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย
‘นี้ยังจะเข้าใจอีกหรอ!?’
“คุณนี้…โง่จังเลยนะคะถ้าเกิดเขาปฏิเสธขึ้นมาคุณก็คงต้องสูญเสียสิ่งสำคัญไปแน่…”เธอพูดด้วยท่าที่ยิ้มเยาะจนผมเองก็อดไม่ได้ไม่รู้จักแท้ๆว่ามาโง่แบบนี้มันก็เกินไปแล้ว!
“นี้คุ…”
“คุณชื่ออะไรคะ?”เธอชิงถามขึ้นมาก่อนทำให้ผมต้องชะงักและกลืนคำเหล่านั้นต้องไหล่ลงคอ
“ไมค์ครับ”ผมตอบพลางเบือนหน้าหนีด้วยความไม่สบอารมณ์ ว่าแล้วเชียว หญิงเงียบเนี้ยน่ากลัวกว่าที่เห็นจริงๆ
“งั้นหรอคะ…ชั้นชื่อเมย์นะคะชื่อโหลติดอันดับเลยหวังว่าจะจำกันได้…”
“เดี๋ยวก่อน เมื่อกี้เธอว่าฉั…”
“คุณไมค์ ถึงคุณจะโง่…แต่ฉันก็ชอบคนโง่แบบคุณนะคะ”
“!!?”
------------------------------------------------------จบ----------------------------------------------------------------------
หาเจอมา เพลงเพราะดีเลยเอามาเป็นเพลงจบ
ส่วนนี้แปลเนอะ! มั่วหรือป่าวเราก็ไม่รู้
จบไปแล้วเนอะหากผิดพลาดประการใดก็ชี้แนะได้ จะได้เอาไปแก้ไข
รูปนิดหน่อยๆ
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย satano666o เมื่อ 2013-1-17 22:13
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย satano666o เมื่อ 2013-1-18 01:45
[Oneshot] มือขวาที่แปดเปื้อน
[IMG]