ปืนสั้น และปืนกลเบา (Pistol & SMG)
M1911A1
ปืนเวอร์ชั่น : M1911A1
บริษัท : COLT
ประเทศ : USA
กระสุน : .45ACP
เเม็กกาซีน : 7 นัด
ระบบการยิง : SEMI-AUTO
น้ำหนัก : 1.08 Kg
ฟังก์ชัน : กล้อง ZOOM ระยะใกล้ถึงไกล , กระบอกเก็บเสียง , ศูนย์เลเซอร์ ,ไฟฉาย
บริษัท : COLT
ประเทศ : USA
กระสุน : .45ACP
เเม็กกาซีน : 7 นัด
ระบบการยิง : SEMI-AUTO
น้ำหนัก : 1.08 Kg
ฟังก์ชัน : กล้อง ZOOM ระยะใกล้ถึงไกล , กระบอกเก็บเสียง , ศูนย์เลเซอร์ ,ไฟฉาย
ประวัติ
ปืนพก M1911 ของบริษัท COLT สัญชาติอเมริกา ปืนในภาพเป็นซีรี่ย์ 80 ปืนรุ่น M1911 ถือว่าเป็นปืนที่ถูกสร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนคนเขาเรียกว่าเป็นปืนสงครามร้ายแรง ปืน M1911 มีชื่อเสียงและตำนานดังมายาวนานจนถึง 100 ปีกว่าได้ จนปัจจุบันปืนนี้ก็ได้ถูกแพร่หลายไปหลายบริษัทปืนเลยทีเดียวในการสร้างปืนโคลนให้เหมือน M1911 มันมีหลายรุ่น หลายซี่รี่ย์หลายบริษัทมากที่ผลิตปืนแบบนี้ เช่น บริษัท KIMBER , LLAMA , PARA ORDNANCE เป็นต้น ซึ่งบางหลายบริษัทต่างก็สร้างเลียนแบบปืน M1911 แล้วดัดแปลงลงส่วนที่ดีแปลกใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกให้ต่างจากบริษัทอื่น เป็นปืนที่นิยมแก่นักกีฬายิงปืนโดยเฉพาะ จนปัจจุบันปืนนี้ก็ยังไม่ตกยุคเพราะหลายบริษัทพัฒนามันอยู่เรื่อยๆ จนเป็นที่รู้จักมากขึ้น
รูปทรงดั้งเดิมของปืนแบบ 1911 นั้น ตั้งใจให้เป็นปืนทหารใช้ออกรบ การออกแบบต้องมีความบึกบึน แข็งแรง ทนทาน ซึ่งมีผลกับรูปแบบและขนาดของปืน แต่ด้วยความที่ออกแบบมาเมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว คนสมัยนั้นจะทำอะไรก็ต้องมีเส้นสายที่อ่อนช้อยปนอยู่ ในสายตาความคิดของเขาเสมอ ดังนั้น แม้ 1911 จะเป็นปืนสงคราม แต่รูปแบบโดยรวม ก็ยังมีเส้นโค้งมนพองาม คือเส้นตรงตามสมัยนิยมและความจำเป็นในการผลิต/การทำงาน เส้นโค้งลดความแข็งของการมอง และเป็นส่วนที่ให้มือจับได้พอเหมาะพอเจาะ
ปืนของบริษัท COLT รุ่น M1911 ส่วนใหญ่จะทำจากเเสตนเลส เป็นปืนต่อสู้ที่มีความสมบุกสมบันมาก ระบบความปลอดภัยถือว่าดี คุมปืนง่ายแล้วไม่ยากเกินไป แรงสะท้อนก็นุ่มนวล ศูนย์เล็งก็ประณีตใช้ได้ มีความคล่องตัวและความถนัดในการจับถือสูงมาก โครงปืนทำออกมาประณีตสวยงามใช้ได้เหมือนกัน มีความแม่นยำสูงเนื่องจากใช้กระสุน .45ACP ความแม่นยำของกระสุนจะมากกว่า 9MM พลังทำลายก็ถือว่าสูงเอาการ เพราะมีหลักการในถ่ายโอนพลังงานเป็นจลใส่เป้าหมายได้ดี เป้าหมายที่โดนยิงอาจจุกได้ กระสุน .45ACP ก็คือ กระสุน 11MM ที่เมืองไทยเข้าเรียกกันนั้นเอง แต่ปืนรุ่นนี้เสียอย่างหนึ่งบรรจุกระสุนน้อย
รูปทรงดั้งเดิมของปืนแบบ 1911 นั้น ตั้งใจให้เป็นปืนทหารใช้ออกรบ การออกแบบต้องมีความบึกบึน แข็งแรง ทนทาน ซึ่งมีผลกับรูปแบบและขนาดของปืน แต่ด้วยความที่ออกแบบมาเมื่อหนึ่งร้อยปีที่แล้ว คนสมัยนั้นจะทำอะไรก็ต้องมีเส้นสายที่อ่อนช้อยปนอยู่ ในสายตาความคิดของเขาเสมอ ดังนั้น แม้ 1911 จะเป็นปืนสงคราม แต่รูปแบบโดยรวม ก็ยังมีเส้นโค้งมนพองาม คือเส้นตรงตามสมัยนิยมและความจำเป็นในการผลิต/การทำงาน เส้นโค้งลดความแข็งของการมอง และเป็นส่วนที่ให้มือจับได้พอเหมาะพอเจาะ
ปืนของบริษัท COLT รุ่น M1911 ส่วนใหญ่จะทำจากเเสตนเลส เป็นปืนต่อสู้ที่มีความสมบุกสมบันมาก ระบบความปลอดภัยถือว่าดี คุมปืนง่ายแล้วไม่ยากเกินไป แรงสะท้อนก็นุ่มนวล ศูนย์เล็งก็ประณีตใช้ได้ มีความคล่องตัวและความถนัดในการจับถือสูงมาก โครงปืนทำออกมาประณีตสวยงามใช้ได้เหมือนกัน มีความแม่นยำสูงเนื่องจากใช้กระสุน .45ACP ความแม่นยำของกระสุนจะมากกว่า 9MM พลังทำลายก็ถือว่าสูงเอาการ เพราะมีหลักการในถ่ายโอนพลังงานเป็นจลใส่เป้าหมายได้ดี เป้าหมายที่โดนยิงอาจจุกได้ กระสุน .45ACP ก็คือ กระสุน 11MM ที่เมืองไทยเข้าเรียกกันนั้นเอง แต่ปืนรุ่นนี้เสียอย่างหนึ่งบรรจุกระสุนน้อย
LUGER P08
ปืนเวอร์ชั่น : GOLD LUGER P08
บริษัท : LUGER
ประเทศ : GERMANY
กระสุน : 7.65 MM , 9 x 19 MM PARABELLUM
เเม็กกาซีน : 7/8/25 นัด
ระบบปฏิบัติการ : SINGLE ACTION
ระบบการยิง : SEMI AUTO
น้ำหนัก : 0.8 Kg - 1.1 Kg
ฟังก์ชัน : รังกระสุนรูปทาก +25นัด
ประวัติ
ปืนนี้จริงๆ เป็นปืน P08 เวอร์ชั่นปืนทองคำของบริษัท LUGER สัญชาติเยอรมัน ใช้กระสุน 9 MM กับ 7.65 MM เป็นปืนพกที่มีความสวยงามและมีเอกลักษณ์ทางด้านศิลปะสูง ด้วยลวดลายแกะสลักภาพปืนอย่างสวยงามประณีต โครงปืนหน้าจะทำจากทองคำเยอะ รูปร่างสวยน่าจับน่าชมน่าสัมผัสมาก มีความคลาสสิคมากๆ ความรุนแรงอยู่ในระดับพอใช้ถึงปานกลาง
P08 เป็นปืนที่ได้รับความนิยมมากแล้วถูกสร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ จนในปัจจุบันก็ยังเห็นมีขายตามร้านขายอาวุธบางแห่งหลายร้าน แล้วดัดแปลงให้เท่และทันสมัยขึ้นกว่าเมื่อก่อน แถมยังถูกหลายประเทศนำไปลอกเลียนแบบ
บริษัท : LUGER
ประเทศ : GERMANY
กระสุน : 7.65 MM , 9 x 19 MM PARABELLUM
เเม็กกาซีน : 7/8/25 นัด
ระบบปฏิบัติการ : SINGLE ACTION
ระบบการยิง : SEMI AUTO
น้ำหนัก : 0.8 Kg - 1.1 Kg
ฟังก์ชัน : รังกระสุนรูปทาก +25นัด
ประวัติ
ปืนนี้จริงๆ เป็นปืน P08 เวอร์ชั่นปืนทองคำของบริษัท LUGER สัญชาติเยอรมัน ใช้กระสุน 9 MM กับ 7.65 MM เป็นปืนพกที่มีความสวยงามและมีเอกลักษณ์ทางด้านศิลปะสูง ด้วยลวดลายแกะสลักภาพปืนอย่างสวยงามประณีต โครงปืนหน้าจะทำจากทองคำเยอะ รูปร่างสวยน่าจับน่าชมน่าสัมผัสมาก มีความคลาสสิคมากๆ ความรุนแรงอยู่ในระดับพอใช้ถึงปานกลาง
P08 เป็นปืนที่ได้รับความนิยมมากแล้วถูกสร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ได้ จนในปัจจุบันก็ยังเห็นมีขายตามร้านขายอาวุธบางแห่งหลายร้าน แล้วดัดแปลงให้เท่และทันสมัยขึ้นกว่าเมื่อก่อน แถมยังถูกหลายประเทศนำไปลอกเลียนแบบ
แถมปืน P08 ยังมีแม็กกาซีนบรรจุกระสุนเป็นรูปหอยทากซึ่งบรรจุกระสุนได้ 25 นัด
Webley Revolver MK 4
ปืนเวอร์ชั่น : WEBLEY MK VI
บริษัท : W&S
ประเทศ : GREAT BRITAIN
กระสุน : .455 WEBLEY
บรรจุกระสุน : 6 นัด
น้ำหนัก : 1 Kg
ระบบปฏิบัตการ : DOUBLE ACTION
ระบบการยิง : SEMI-AUTO
อัตราการยิง : 20-30 RPM
ระยะหวังผล : 40 เมตร
ระยะยิงไกลสุด : 290 เมตร
ฟังก์ชัน : ศูนย์เลเซอร์
ประวัติ
ปืน พกลูกโม่ประจำตัวของทหารอังกฤษมีใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ประจำการปี 1915-1947 มี นน.ที่เบามากใช้ง่ายไม่ต้องใช้การฝึกอะไรมากเป็นที่นิยมมากและยังคงถูกใช้ใน บางส่วนของโลกอยู่ ผู้ออกแบบ Webley and Scott = W&S สัญชาติอังกฤษ
Webley เป็นปืนลูกโม่หักคอใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1-2 ขนาด.455 ถ้าใครที่มีบรรพบุรุษเป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่1น่าจะมีในบ้านนะครับ อานุภาพของกระสุน .455 WEBLEY ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำอยู่ในเรื่องแรงปะทะของกระสุนเพียงแค่ 300 จุล
บริษัท : W&S
ประเทศ : GREAT BRITAIN
กระสุน : .455 WEBLEY
บรรจุกระสุน : 6 นัด
น้ำหนัก : 1 Kg
ระบบปฏิบัตการ : DOUBLE ACTION
ระบบการยิง : SEMI-AUTO
อัตราการยิง : 20-30 RPM
ระยะหวังผล : 40 เมตร
ระยะยิงไกลสุด : 290 เมตร
ฟังก์ชัน : ศูนย์เลเซอร์
ประวัติ
ปืน พกลูกโม่ประจำตัวของทหารอังกฤษมีใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ประจำการปี 1915-1947 มี นน.ที่เบามากใช้ง่ายไม่ต้องใช้การฝึกอะไรมากเป็นที่นิยมมากและยังคงถูกใช้ใน บางส่วนของโลกอยู่ ผู้ออกแบบ Webley and Scott = W&S สัญชาติอังกฤษ
Webley เป็นปืนลูกโม่หักคอใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 1-2 ขนาด.455 ถ้าใครที่มีบรรพบุรุษเป็นทหารในสงครามโลกครั้งที่1น่าจะมีในบ้านนะครับ อานุภาพของกระสุน .455 WEBLEY ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำอยู่ในเรื่องแรงปะทะของกระสุนเพียงแค่ 300 จุล
Tokarev TT-33
ประเภท : Semi-automatic Pistol
ผู้ใช้ : โซเวียต
ประจำการปี : 1930-1951
จำนวนผลิต : ประมาณ1,700,000 กระบอก
หนัก : 840 g.
ยาว : ลำกล้องยาว196/166 mm.
ขนาดกระสุน : 7.62x54 mm.
บรรจุ : 8 นัด Box Magazine
ระบบการทำงาน : Single action
ฝ่าย : เยอรมัน (นาซี)
ประวัติ
ปืนพกประจำกายมาตรฐานของทหารกองทัพแดงปืนชนิดนี้ได้รับการพัฒนามาจากปืน M1911 ของสหรัฐโดยตัดแปลงทำให้มันใช้งานได้ดีขึ้นง่ายขึ้นและทนทานมากขึ้น
WALTHER P38
๙ มม.พาลาเบลลั่ม ผลิตในปี ค.ศ. ๑๙๓๙ โดย บ.วัฟเฟ่นฟาบริค. คาร์ล วอลเธอร์ ซึ่งเป็นบริษัทแรกที่ผลิตปืนออโต้ระบบดับเบิลแอคชั่น โดยเลือกระบบขัดกลอนหน่วงเวลา แบบ “Locked Block” หรือ วอลเธอร์ บล็อก แอคชั่น มาใช้กับ WALTHER P38 นับเป็นปืนที่ได้รับผลิตออกมามากรุ่นหนึ่งทีเดียว โดยผลิต ในปี ค.ศ. ๑๙๔๐-๑๙๔๕ ขึ้นมาใช้ในสงครามโลกครั้งที่สองครั้งแรก ถึง ๔๗๕,๐๐๐ กระบอก และผลิตโดยโรงอื่นอีก ๕๗๕,๐๐๐ กระบอก เพื่อให้ทันกับการสั่งเข้าใช้งาน ปัจจุบันเป็นปืนที่หาได้ยากมาก
M3A1
ประเภท : Submachine Gun (SMG)
ผู้ใช้ : สหรัฐฯ
ประจำการปี : 1942-1994
จำนวนผลิตประมาณ : 2,000,000 กระบอก
หนัก : 3.7 kg.
ยาว : 570 mm.stock retracted, 745 mm.stock extended
ลำกล้องยาว : 203mm.
ขนาดกระสุน : .45 ACP.
บรรจุ : 30 นัด Detachable Box Magazine
ระบบการทำงาน : Blowback
อัตรายิง : 400-450 นัด/นาที
ระยะหวังผล : ~50 m
ประวัติ
ปืนกลมือ M3 หรือชื่อเล่นที่ทหารสหรัฐฯเรียกก็คือ Grease Gun ระบบปฏิบัติการแบบ Blowback ในการยิง ความจุ 30 นัด/แมกกาซีน
ปืนกล M3 เป็นปืนที่นิยมใช้กันในหน่วยพลร่ม หน่วย Ranger ,Green Beret และทหารนาวิกโยธินของฝ่ายสหรัฐฯรวมทั้งหน่วย SAS ของอังกฤษ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามเกาหลี และสงครามเวียดนาม ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยปืนกลมือ UZI และ H&K MP5-SD เนื่องจากมีความสะดวกต่อการพกพาและมีความแม่นยำที่สูงกว่า
ปืนกล M3 เป็นปืนที่นิยมใช้กันในหน่วยพลร่ม หน่วย Ranger ,Green Beret และทหารนาวิกโยธินของฝ่ายสหรัฐฯรวมทั้งหน่วย SAS ของอังกฤษ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามเกาหลี และสงครามเวียดนาม ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยปืนกลมือ UZI และ H&K MP5-SD เนื่องจากมีความสะดวกต่อการพกพาและมีความแม่นยำที่สูงกว่า
THOMPSON M1
ปืนเวอร์ชั่น : THOMPSON M1
บริษัท : AUTO-ORDNANCE
ประเทศ : USA
กระสุน : .45 ACP
บรรจุกระสุน : 20-30 นัด
น้ำหนัก : 4.8 Kg
ระบบปฏิบัติการ : BLOWBACK , FRICTION LOCK
ระบบการยิง : FULL AUTO
อัตราการยิง : 700 RPM
ระยะหวังผล : 75 เมตร
ระยะยิงไกลสุด : 150 เมตร
ฟังก์ชัน : ศูนย์เลเซอร์ , ไฟฉาย
บริษัท : AUTO-ORDNANCE
ประเทศ : USA
กระสุน : .45 ACP
บรรจุกระสุน : 20-30 นัด
น้ำหนัก : 4.8 Kg
ระบบปฏิบัติการ : BLOWBACK , FRICTION LOCK
ระบบการยิง : FULL AUTO
อัตราการยิง : 700 RPM
ระยะหวังผล : 75 เมตร
ระยะยิงไกลสุด : 150 เมตร
ฟังก์ชัน : ศูนย์เลเซอร์ , ไฟฉาย
ประวัติ
ปืนกลมือ THOMPSON M1 หรือเรียกชื่อหนึ่งว่า TOMMY GUN , CHOPPER , CHICAGO TYPEWRITER , CHICAGO PIANO นั้นเอง สัญชาติอเมริกา ผู้ผลิตโดย JOHN T. THOMPSON ปืนกลพวกทอมสันจะมีหลายฉายามาก ถูกผลิตมาก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะเกิดทำให้กองทัพในตอนนั้นไม่สนใจในการใช้ในช่วงแรกปืนนี้ถูกใช้ในกลุ่ม มาเฟียแต่พอสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นทางกองทัพจึงนำมันมาใช้มันเป็นปืนที่ นน. เบามีการยิงกระสุนได้เร็วแต่ความแม่นยำไม่มากและมีการส่ายของลำกล้องสูงมาก เวลายิงเร็วๆ เป็นปืนที่ทหารนิยมใช้ในสงครามโลกครั้งที่ 2 มากที่สุด จำนวนผลิต ประมาณ 2,000,000 กระบอก ปืนทอมสันนั้นจะนิยมใช้ไปตามหลายหน่วยงานและกองทัพมากในสมัยก่อน อานุภาพของมันที่ใช้กระสุน .45 ACP ก็ถือว่าสูงมากเอาการเลย อำนาจในการถ่ายโอนพลังงานใส่เป้าหมายถือว่าเยี่ยมมากคนธรรมดาโดนยิงด้วย กระสุน .45 แค่ 1-2 นัดก็นอนตายแล้ว ซึ่งเหนือกว่ากระสุน 9 MM นั้นเอง ซึ่งถือว่าอำนาจในการหยุดยั้งอยู่ในเกณฑ์ดีเชียวล่ะ ส่วนความทนทานถือว่าเป็นเยี่ยมใช้ได้ ลุยน้ำได้เหมือนพวกปืน M1 GARAND กับ M1903 นั้นเอง ที่ไว้ใช้ในสงครามบนน้ำเลยก็ว่าได้
THOMPSON M1927
ปืนเวอร์ชั่น : THOMPSON M1927
บริษัท : AUTO-ORDNANCE
ประเทศ : USA
กระสุน : .45 ACP
พลังทำลาย : สูง
บรรจุกระสุน : 20/30/50/100/120 นัด
น้ำหนัก : 4.9 Kg
ระบบปฏิบัตการ : BLOWBACK
ระบบการยิง : FULL AUTO
อัตราการยิง : 700 RPM
ระยะหวังผล : 75 เมตร
ระยะยิงไกลสุด : 150 เมตร
ฟังก์ชัน : ศูนย์เลเซอร์ , ไฟฉาย , DRUM MAGAZINE
ปืนเวอร์ชั่น : THOMPSON M1927
บริษัท : AUTO-ORDNANCE
ประเทศ : USA
กระสุน : .45 ACP
พลังทำลาย : สูง
บรรจุกระสุน : 20/30/50/100/120 นัด
น้ำหนัก : 4.9 Kg
ระบบปฏิบัตการ : BLOWBACK
ระบบการยิง : FULL AUTO
อัตราการยิง : 700 RPM
ระยะหวังผล : 75 เมตร
ระยะยิงไกลสุด : 150 เมตร
ฟังก์ชัน : ศูนย์เลเซอร์ , ไฟฉาย , DRUM MAGAZINE
ประวัติ
เป็น ปืนกลมือทอมป์สัน รุ่น M1927 ผลิตเมื่อปี 1927 เป็นรุ่นที่พัฒนามาก่อน M1928 ตลับกระสุนของรุ่น M1927 เพิ่งจะมีการพัฒนาในภายหลัง สามารถบรรจุกระสุนได้ 100-120 นัด
นิยมเรียกตลับกระสุนนี้ว่า DRUM MAGAZINE
ในยุคแรกที่ กระสุนขนาด .45 ACP ได้ถือกำเนิดขึ้นมา กระสุน .45 เมื่อนำมาจะมีปัญหาเรื่องการเสียรูปทรงของกระสุน ทำให้การบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิงมีปัญหามาก
จนในที่สุดนาย John T. Thompson ก็ได้แก้ปัญหานี่ได้และออกแบบและประดิษฐ์ปืนกลมือขึ้นมานั่นคือ "ปืนกลมือ Thompson Submachinegun หรือ M1928"
ปืนกลทอมป์สันใช้ กระสุนขนาด .45 ACP ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ Friction lock (รุ่นแรก) และ Blowback-operated (ในรุ่น M1/M1A1) ความจุ 20-30 นัดสำหรับแมกกาซีนธรรมดา
และ 50-100 นัดสำหรับแมกกาซีนแบบ Drum ครับ เป็นปืนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากอำนาจการหยุดยั้งที่ไว้ใจได้ของกระสุนขนาด .45
ซึ่งมีอานุภาพในการหยุดยั้งเป้าหมายสูงพวกทหารญี่ปุ่นโดนกระสุนขนาด .45 เข้าไป 1-2 นัด ถึงกับล้มลงไปนอนเลยคับ และการถอดล้างที่ทำได้ง่ายด้วย
แต่มันก็มีข้อด้อยด้วยคือความแม่นยำที่ลดลงไปมากเมื่อยิงในระยะเกิน 50 หลาขึ้นไป ซึ่งปืนกลมือทุกกระบอกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เจอเหมือนกันหมด
ปืนกล THOMPSON เคยผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเเล้ว รวมไปถึง สงครามบอสเนีย สงครามจีน สงครามเวียดนาม สงครามอินโดจีน สงครามเกาหลี อารหับ อิสราเอล
ศึกเคยผ่านศึกสงครามหลายประเทศมาเเล้วนับไม่ถ้วยเจ้ากล THOMPSON กะบอกนี้นั้นเอง
เป็น ปืนกลมือทอมป์สัน รุ่น M1927 ผลิตเมื่อปี 1927 เป็นรุ่นที่พัฒนามาก่อน M1928 ตลับกระสุนของรุ่น M1927 เพิ่งจะมีการพัฒนาในภายหลัง สามารถบรรจุกระสุนได้ 100-120 นัด
นิยมเรียกตลับกระสุนนี้ว่า DRUM MAGAZINE
ในยุคแรกที่ กระสุนขนาด .45 ACP ได้ถือกำเนิดขึ้นมา กระสุน .45 เมื่อนำมาจะมีปัญหาเรื่องการเสียรูปทรงของกระสุน ทำให้การบรรจุกระสุนเข้ารังเพลิงมีปัญหามาก
จนในที่สุดนาย John T. Thompson ก็ได้แก้ปัญหานี่ได้และออกแบบและประดิษฐ์ปืนกลมือขึ้นมานั่นคือ "ปืนกลมือ Thompson Submachinegun หรือ M1928"
ปืนกลทอมป์สันใช้ กระสุนขนาด .45 ACP ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ Friction lock (รุ่นแรก) และ Blowback-operated (ในรุ่น M1/M1A1) ความจุ 20-30 นัดสำหรับแมกกาซีนธรรมดา
และ 50-100 นัดสำหรับแมกกาซีนแบบ Drum ครับ เป็นปืนที่ได้รับความนิยมอย่างมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เนื่องจากอำนาจการหยุดยั้งที่ไว้ใจได้ของกระสุนขนาด .45
ซึ่งมีอานุภาพในการหยุดยั้งเป้าหมายสูงพวกทหารญี่ปุ่นโดนกระสุนขนาด .45 เข้าไป 1-2 นัด ถึงกับล้มลงไปนอนเลยคับ และการถอดล้างที่ทำได้ง่ายด้วย
แต่มันก็มีข้อด้อยด้วยคือความแม่นยำที่ลดลงไปมากเมื่อยิงในระยะเกิน 50 หลาขึ้นไป ซึ่งปืนกลมือทุกกระบอกในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เจอเหมือนกันหมด
ปืนกล THOMPSON เคยผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ 2 มาเเล้ว รวมไปถึง สงครามบอสเนีย สงครามจีน สงครามเวียดนาม สงครามอินโดจีน สงครามเกาหลี อารหับ อิสราเอล
ศึกเคยผ่านศึกสงครามหลายประเทศมาเเล้วนับไม่ถ้วยเจ้ากล THOMPSON กะบอกนี้นั้นเอง
Sten gun
ประเภท : Submachine Gun (SMG)
ผู้ใช้ : อังกฤษ
ประจำการปี : 1941-1960
ผู้ออกแบบ : Major Reginald V. Shepherd Harold J. Turpin
หนัก : 3.18 kg.
ยาว/ลำกล้องยาว : 760/196mm.
ขนาดกระสุน : 9 mm. Luger Parabellum
บรรจุ : 32 นัด Detachable Box Magazine
ระบบการทำงาน : Blowback
อัตรายิง : ~500นัด/นาที
ระยะหวังผล : 64 m.
ประวัติ
ปืนกลมือที่กองทัพอังกฤษใตลอดสงครามโลกครั้งที่2ไปจนถึงสงครามเวียดนามด้วยที่มันมีลักษณะเล็ก นน. เบากระทัดรัดใช้ง่ายมันจึงเป็นที่นิยมอย่างรวดเร็ว
PPSH-41
ประเภท : Submachine Gun (SMG)
ผู้ใช้ : โซเวียต
ประจำการปี : 1941-ปัจจุบัน
ผู้ออกแบบ : Georgii Shpagin
จำนวนผลิต : ประมาณ 6,000,000 กระบอก
หนัก : 3.63 kg.
ยาว : ลำกล้องยาว843/269mm.
ขนาดกระสุน : 7.62x25 mm.
บรรจุ -71นัด Drum Magazine
-35 นัด Box Magazine
ระบบการทำงาน : Blowback
อัตรายิง : 900นัด/นาที
ระยะหวังผล : ~200 m.
ประวัติ
ปืนกลมือของกองทัพบกโซเวียตมีอัตราการยิงต่อเนื่องสูงมากบรรจุกระสุนได้เยอะมากความแม่นยำต่ำไม่เหมาะกับการยิงระยะไกลแต่เหมาะกับการต่อสู้ระยะประชิดและใช้ในหลายประเทศเช่นเวียดนามเหนือหรือเกาหลีเหนือ
MP 40
ประเภท : ปืนกลมือ
ถิ่นกำเนิด : นาซีเยอรมัน
ระยะเวลาประจำการ : 1939-1945
ใช้ในสงคราม : สงครามโลกครั้งที่สอง
ผู้ออกแบบ : Heinrich Vollmer
ออกแบบในปี : 1938
ผู้ผลิต : Erma Werke
ผลิตในปี : 1940-1945
จำนวนที่ผลิตออกมา : ประมาณ1ล้านกระบอก
น้ำหนัก : 4 KG(8.8 lb)
ความยาว : 833 mm 630 mm (เมื่อพับพานท้าย)
ความยาวลำกล้อง : 251 mm
ขนาดกระสุน : 9x19mm Parabellum
การทำงาน : blowback, open bolt(ขออนุญาตใช้คำทับศัพท์เนื้องจากไม่รู้จาแปลว่าไรดี)
การลั่นกระสุน : 500นัดต่อนาที
ความเร็วกระสุน ประมาณ : 380 m/s (1,247 ft/s)
ระยะหวังผล : 100 m
ระยะสูงสุด : 200 m
ระบบการป้อนกระสุน : ซองกระสุนขนาด 32 นัด
ถิ่นกำเนิด : นาซีเยอรมัน
ระยะเวลาประจำการ : 1939-1945
ใช้ในสงคราม : สงครามโลกครั้งที่สอง
ผู้ออกแบบ : Heinrich Vollmer
ออกแบบในปี : 1938
ผู้ผลิต : Erma Werke
ผลิตในปี : 1940-1945
จำนวนที่ผลิตออกมา : ประมาณ1ล้านกระบอก
น้ำหนัก : 4 KG(8.8 lb)
ความยาว : 833 mm 630 mm (เมื่อพับพานท้าย)
ความยาวลำกล้อง : 251 mm
ขนาดกระสุน : 9x19mm Parabellum
การทำงาน : blowback, open bolt(ขออนุญาตใช้คำทับศัพท์เนื้องจากไม่รู้จาแปลว่าไรดี)
การลั่นกระสุน : 500นัดต่อนาที
ความเร็วกระสุน ประมาณ : 380 m/s (1,247 ft/s)
ระยะหวังผล : 100 m
ระยะสูงสุด : 200 m
ระบบการป้อนกระสุน : ซองกระสุนขนาด 32 นัด
ประวัติ
คงจะไม่ผิดนักถ้าหากจะกล่าวว่าปืนกลมือ Maschinenpistole MP 40 (schmeisser) เป็นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สอง มันถูกผลิตออกมาโดยบริษัท เออร์ม่า (Erma) มากกว่า 1,000,000 กระบอก จนถึงปี 1945 ซึ่งเป็นปีสุดท้ายของสงครามโลกครั้งที่สอง ด้วยความที่ผลิตง่าย ตามความต้องการของกองทัพเยอรมันที่ต้องการปืนที่มีระบบการผลิตที่ไม่ซับซ้อน ไม่ต้องใช้คนงานที่มีความสามารถพิเศษ ก็สามารถประกอบปืนรุ่นนี้ได้ ตัวปืน MP 40 เป็นเหล็กและพลาสติคแข็ง ไม่มีส่วนใดเป็นไม้ บำรุงรักษาง่าย ต้นแบบของมันคือ MP 38 ซึ่งผลิตขึ้นมาในปี 1938 ก่อนสงครามโลกครั้งที่สองจะเปิดฉากขึ้นเพียงเล็กน้อย และพัฒนามาเรื่อยๆ จนกลายเป็น MP 40 และได้รับสมญาว่า ชมิสเซอร์ (Schmeisser)
ปืนกลรุ่นนี้ใช้กระสุนขนาด 9 มม. ส่งกระสุนด้วยซองกระสุนบรรจุกระสุน 32 นัด อัตราความเร็วในการยิง 500 นัดต่อนาที เป็นปืนที่ทหารเยอรมันใช้ในระยะประชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารของหน่วย เอส เอส มักนิยมใช้ปืน MP 40 เป็นอาวุธประจำกาย รวมทั้งทหารประจำรถถัง หรือหน่วยยานเกราะ ตลอดจนหน่วยพลร่ม ก็ใช้อาวุธชนิดนี้เป็นอาวุธประจำกาย เพราะไม่ยาวเกะกะ มีความคล่องตัวสูง บรรจุกระสุนได้มาก บำรุงรักษาง่าย และมีความทนทาน ไม่แต่เฉพาะทหารเยอรมันเท่านั้นที่ชมชอบปืนรุ่นนี้ ทหารพันธมิตร และทหารรัสเซียก็มักจะนำไปใช้ เมื่อยึดมันมาได้จากทหารเยอรมัน ปืน MP40 นั้นก็มีข้อเสียเหมือนกันครับ นั่นก็คือมันไม่มีวัสดุครอบลำกล้อง ทำให้เกิดปัญหาลำกล้องร้อนจนจับไม่ได้หลังจากที่ยิงไปแล้วระยะหนึ่ง
และอีกข้อเสียก็คือระยะยิงหวังผลที่สั้นเพียง100เมตร ซึ่งหากเทียบกับปืนคู่แข่งของโซเวียตอย่างPPSch-41, PPS-43แล้วจะทำให้มันเป็นรองอยู่บ้าง
ปืนกลรุ่นนี้ใช้กระสุนขนาด 9 มม. ส่งกระสุนด้วยซองกระสุนบรรจุกระสุน 32 นัด อัตราความเร็วในการยิง 500 นัดต่อนาที เป็นปืนที่ทหารเยอรมันใช้ในระยะประชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารของหน่วย เอส เอส มักนิยมใช้ปืน MP 40 เป็นอาวุธประจำกาย รวมทั้งทหารประจำรถถัง หรือหน่วยยานเกราะ ตลอดจนหน่วยพลร่ม ก็ใช้อาวุธชนิดนี้เป็นอาวุธประจำกาย เพราะไม่ยาวเกะกะ มีความคล่องตัวสูง บรรจุกระสุนได้มาก บำรุงรักษาง่าย และมีความทนทาน ไม่แต่เฉพาะทหารเยอรมันเท่านั้นที่ชมชอบปืนรุ่นนี้ ทหารพันธมิตร และทหารรัสเซียก็มักจะนำไปใช้ เมื่อยึดมันมาได้จากทหารเยอรมัน ปืน MP40 นั้นก็มีข้อเสียเหมือนกันครับ นั่นก็คือมันไม่มีวัสดุครอบลำกล้อง ทำให้เกิดปัญหาลำกล้องร้อนจนจับไม่ได้หลังจากที่ยิงไปแล้วระยะหนึ่ง
และอีกข้อเสียก็คือระยะยิงหวังผลที่สั้นเพียง100เมตร ซึ่งหากเทียบกับปืนคู่แข่งของโซเวียตอย่างPPSch-41, PPS-43แล้วจะทำให้มันเป็นรองอยู่บ้าง
ปืนไรเฟิร์ล และปืนสไนเปอร์ไรเฟิร์ล (Rifle & Sniper Rifle)Kar98k ปืนเวอร์ชั่น : Kar98K
บริษัท : Mauser
ประเทศ : GERMANY
กระสุน : 7.92x57mm IS
แรงปะทะกระสุน : 4000-5000 จุล
พลังทำลาย : สูง
ปีประจำการ : 1935
เเม็กกาซีน : 5 นัด
ระบบปฏิบัติการ : manually operated, rotating bolt , Bolt-action
ระบบการยิง : bolt action
น้ำหนัก : 3.9 kg - 4.1 kg
ระยะหวังผล : 500-800 เมตรประวัติ ปืนไรเฟิล Bolt Action ชื่อว่า "Mauser Karabiner98k" หรือ "Kar98K" เป็นปืนไรเฟิลคาร์ไบน์ครับ ใช้กระสุนขนาด 7.92x57 mm. หรือ 8 mm. MAUSER นั่นละ ขนาดเดียวกับปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ Gewehr 43 ความจุ 5+1 นัดครับ ใช้คลิปกระสุนในการบรรจุ เป็นปืนไรเฟิลที่กองทัพเยอรมันไว้ใจมากในเรื่องความแม่นยำ และความรุนแรงที่สูงกว่าปืนไรเฟิลของฝ่ายพันธมิตรในเวลานั้น และเป็นที่นิยมมากในการนำมาติดตั้งกล้องเล็งขนาด 4X เพื่อใช้ในภารกิจซุ่มยิงปืนไรเฟิลกระบอกนี้นั้น จะนิยมใช้กับพวกทหารนาซีของฝ่ายเยอรมันกัน มันเป็นปืนไรเฟิลที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพสูงมากทั้งความแม่นยำที่สูงมาก และใช้กระสุนไรเฟิลที่มีอำนาจในการสังหารหยุดยั้งที่ดีเยี่ยมมากนั้นเอง แล้วรวมไปถึง แรงสะท้อนที่คุมง่ายและไม่ถีบมากๆของเจ้า KAR98 นั้นเอง และการดึงคั้นรั้งก่อนยิงที่รวดเร็วทันใจ และเป็นปืนที่มีความเที่ยงตรงสูงมากนั้นเอง และการบรรจุกระสุนของมันที่รวดเร็วทันใจของเจ้าปืนกระบอกนี้นั้นเอง ทำให้มันเป็นปืนที่ใช้ผ่านในสนามรบในสงครามหลายประเทศ หลายพื้นที่มากๆนั้นเอง M1918 Browning Automatic Rifle หรือ BAR
ปืนเวอร์ชั่น : BAR M1918
ประเทศ : USA
ผลิตปี : 1918
ปีประจำการกองทัพ : 1918-1960
ประเภทปืน : AUTOMATIC RIFLEปีผลิต : 1905
รบในสงคราม : สงครามโลกครั้งที่ 1-2 , สงครามจีน , สงครามเกาหลี
บรรจุกระสุน : 20 นัด
ระบบปฏิบัติการ : GAS OPERATED , OPEN BOLT
ระบบการยิง : FULL AUTO
อัตราการยิง : 450-650 RPM
น้ำหนัก : 7.2 Kg. - 8.8 Kg.
ระยะหวังผล : 100–1400 เมตร
ระยะยิงไกลสุด : 550 เมตร
ความสามารถพิเศษ : อำนาจในการทะลุทะลวงที่สูงขึ้น ยิงทะลุกระจก ยิงทะลุต้นไม้ได้
ฟังก์ชั่น : ติดตั้งกับยานพาหนะต่างๆกระสุน : .30-06 SPRINGFIELD
เเรงปะทะกระสุน : 3500-4500 จุล
กระสุน : 7.92x57mm Mauser
แรงปะทะกระสุน : 4000-5000 จุล
กระสุน : 7.65x53mm Belgian Mauser
แรงปะทะกระสุน : 3000-3400 จุล
กระสุน : 7x57mm Mauser
แรงปะทะกระสุน : 2500 จุล
กระสุน : 6.5x55mm
แรงปะทะกระสุน : 2900-3100 จุล
กระสุน : .303 British
แรงปะทะกระสุน : 3200-3600 จุล
กระสุน : 7.62x51mm NATO
แรงปะทะกระสุน : 3300-4100 จุล
ประวัติ ปืน ไรเฟิลอัตโนมัติ BAR (BAR : Browning Automatic Rifle) ใช้กระสุนขนาด .30-06 เหมือนปืน M1 Garand และปืน Springfield'03 ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ Gas-operated, open bolt ความจุ 20 นัด/แมกกาซีน อัตราการยิง 450-550 นัด
จะ สังเกตได้ว่าปืนไรเฟิลหลายรุ่นของฝ่ายสหรัฐอเมริกา จะใช้กระสุนขนาดเดียวกันหมดคือขนาด .30-06 เนื่องจากเป็นนโยบายในการลดความยุ่งยากในการขนส่งเสบียงและยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของฝ่ายพลาธิการ จนถึงปีค.ศ.1950 กระสุน .30-06 จึงถูกแทนที่ด้วยกระสุนขนาด .308 (7.62X51 mm. NATO) ของ Winchester แทน พร้อมกับนำปืนไรเฟิล M14 เข้ามาเป็นอาวุธประจำกายแทนที่ปืน M1 Garand ,M1 Carbine และ BAR
แต่กระสุนไรเฟิล .30-06 มีข้อเสียตรงที่อำนาจในการหยุดยั้งข้าศึกต่ำไปหน่อย กระสุนมันพุ่งทะลุผ่านเป้าหมายไปอย่างเดียวแต่ไม่ถ่ายโอนพลังงานจลใส่เป้าหมาย ในสมัยสงคราม มันจึงเป็นกระสุนไรเฟิลที่เหมาะสมสำหรับเก็บกวาดศัตรูจากระยะไกลซะมากกว่า นั้นเอง
ปืน BAR มีข้อเสียทั้งเรื่อกน้ำหนักที่หนักมากเอาเรื่อง แรงถีบที่มากเอาเรื่องด้วยเช่นกัน และแถมยังบรรจุกระสุนได้น้อยอีก แต่มันก็เป็นปืนที่ยิงรัวได้เร็วใช้ได้ แต่มันจะส่ายเอามากๆเลย
ถ้า คุณไปใช้ปืนกล BAR รุ่นอื่นๆ อย่างรุ่น wz.1928 ล่ะก็ปืนจะยิ่งถีบยิ่งกว่านี้อีก แต่แน่นอนอานุภาพของเจ้าปืนกล BAR ก็มากพอจะเอาไปใช้ทำลายสอยเครื่องบินใบพัดในสมัยสงครามได้บ้าง ถ้าคุณยิงแม่นและยิงนิ่งมากพอ
M1 CARBINE
ปืนเวอร์ชั่น : M1 CARBINE
บริษัท : Military contractors Commercial copies
ประเทศ : USA
กระสุน : .30 US Carbine (7.62x33 mm)
แรงปะทะกระสุน : 1,190 จุล
พลังทำลาย : ปานกลาง
ปีประจำการ : 1942-1960
เเม็กกาซีน : 15-30 นัด
ระบบปฏิบัติการ : Gas-operated, rotating bolt
ระบบการยิง : SEMI AUTO RIFLE
น้ำหนัก : 2.36 kg
ปืนรุ่นอื่นๆ : M1A1, M1A3, M2, M3
ประวัติ
ปืน M1 Carbine กองทัพไทยเรียกว่า "ปืนสั้นบรรจุเอง แบบ 87 (ปสบ.87)" เข้าประจำการในปีพ.ศ. 2487
ปืน M1 Carbine เคยใช้รบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม มาก่อนปืนนี้จะมีแรงสะท้อนค่อนข้างถีบพอควรแล้วทำมาจากไม้และเหล็กด้วย แต่น้ำหนักพอถือวิ่งพกพาได้อานุภาพหยุดยั้งค่อนข้างดีใช้ได้ ลุยน้ำ ลุยโคลน ลุยฝุ่นได้แล้วกัน ยิงซ้ำนัดได้ค่อนข้างเร็ว มีความทนทานสูงปืนสมัยโบราณส่วนใหญ่จะทนทานกว่าสมัยใหม่
รุ่น M1 จะยิงแบบกึ่งอัตโนมัติ ส่วนรุ่น M2 , M3 จะยิงแบบ FULL AUTO อัตราการรัว 850–900 นัด/นาทีM1 Carbine กระสุนไม่ใหญ่ไม่โตขนาดแค่ 0.30 นิ้ว แต่อานุภาพรุนแรงกว่ากระสุน .357 Magnum
M1 GARAND ปืนเวอร์ชั่น : M1 GARAND
บริษัท : Springfield Armory, Winchester Repeating Arms Company, Harrington & Richardson Co., International Harvester, Breda, Beretta, Inc.
ประเทศ : USAปีประจำการ : 1936–1963
เเม็กกาซีน : 8 นัด
ระบบปฏิบัติการ: Gas-operated, rotating bolt
ระบบการยิง : SEMI AUTO RIFLE
น้ำหนัก : 4.32 kg
ระยะหวังผล : 500 หลากระสุน : .30-06 (7.62x63 mm)
แรงปะทะกระสุน : 3800-4500 จุล
กระสุน : 7.62x51mm NATO
แรงปะทะกระสุน : 3300-4100 จุลประวัติ
ปืน M1 Garand กองทัพไทยเรียกว่า "ปืนเล็กยาวบรรจุเองแบบ 88 (ปลย.88 หรือ ปลยบ.88)" เข้าประจำการในปีพ.ศ. 2488
ปืน M1 Garand เอ้างั้นแถมไปเลย ใช้กระสุน .30-06 ระบบการยิงเซมิออโต้ ความจุ 8 นัดต่อคลิป ร่องเกลียว 4 เกลียวเวียนขวา มีความพิเศษตรงที่พอยิงจนกระสุนหมด ปืนจะดีดคลิปออกมาเสียงดัง ปิ๊ง! ออกแบบโดยนาย John C.Garand ครับ
ปืน M1 Garand ได้รับการพัฒนาต่อมาจนออกมาเป็นปืนไรเฟิลอัตโนมัติด้วยคือปืน M14 ครับ และเป็นปืนรุ่นแรกที่ได้ใช้กับกระสุนใหม่ คือ .308 Winchester หรือ 7.62x51 mm. NATO ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในช่วงสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม สงครามโลกครั้งที่ 2
ปืน M1 GARAND จะบรรจุกระสุนเป็นคลิปกระสุนบรรจุไว้บนตัวปืน เหมือนพวกปืน SKS ประมาณนั้น ปืนนี้จะมีข้อเสียตรงเรื่องน้ำหนักพอควรทำให้เคลื่อนที่ในการยิงได้ช้า
รวมไปถึงอาการสั่นค้างขณะเล็งปืนด้วยนั้นเอง ใช้กระสุนที่มีอำนาจหยุดยั้งสูงดี โดยเฉพาะกระสุน .308 WIN
เรื่องความแม่นยำถือดีมากสำหรับปืนนี้ ข้อเสียก็ตรงที่เรื่องน้ำหนักปืน แต่เรื่องความทนทานพอจะดูคล้ายๆ M1 CARBINE แต่เรื่องแรงถีบจะมากไปหน่อยเพราะใช้กระสุนที่แรงกว่า .30 CARBINE ไปมากนัก นิยมใช้กับพลทหารเหมือนกัน
MP44 Type : Assault rifle
Place of origin : Nazi Germany
In service : July 1944–May 1945 (Nazi Germany)
Wars World War II, appeared in other conflicts around the world
Designed : 1943
Manufacturer : C. G. Haenel Waffen und Fahrradfabrik
Number built : 425,977
Specifications
Weight : 5.22 kg (11.5 lb)
Length : 940 mm (37.0 in)
Barrel length : 419 mm (16.5 in)
Cartridge : 7.92x33mm Kurz
Action : Gas-operated, tilting bolt
Rate of fire : 500-600 rounds/min
Muzzle velocity : 685 m/s (2,247 ft/s)
Effective range : 300 m
Feed system : 30-round detachable box magazine ประวัติ
Stg44 (Sturmgewehr 44)หรือในภาษาอังกิตก็ Assault Rifle 1944
ถูกพัฒนามาจากMP43(Machine Pistol 43) พัฒนาในปี1943(ตามเลขลงท้าย)
ในช่วงแรก ฮิตเลอร์ต้องการอาวุธประจำกายทหารราบที่มีระยะยิงไกลกว่า 2,000 หลา(เหตุผลที่นิยมKar9จึงไม่สนใจที่จะให้ผลิตปืนเอ็ม พี 43 ขึ้น แต่อัลเบิร์ต สเปียร์ รัฐมนตรีกระทรวงอาวุธของนาซีเยอรมันในขณะนั้น เห็นว่าเยอรมันมีความต้องการปืนรุ่นนี้เป็นอย่างมาก จึงทำการผลิตปืนรุ่นนี้ขึ้น โดยที่ฮิตเลอร์ไม่รู้ และส่งออกไปให้ทหารเยอรมันในแนวรบด้านรัสเซียได้ทดลองใช้ ปรากฏว่า ทหารราบเยอรมันต่างพอใจในสมรรถนะของปืนรุ่นนี้ ถึงขนาดที่ผู้บัญชาการกองพลของเยอรมันบางกองพล ได้พูดกับฮิตเลอร์ถึงประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมของปืนกลมือ MP43 ความจริงเลยปรากฏต่อฮิตเลอร์ว่า ปืนรุ่นนี้ได้ถูกผลิตออกมาแล้ว แต่ฮิตเลอร์ไม่พอใจในการกระทำของรัฐมนตรีโดยกระทำอย่างพลการจึงทำให้ไม่พอใจถึงถูกปฎิเสธไป
อย่างไรก็ตาม ฮิตเลอร์ก็ได้รับการโน้มน้าวจากฝ่ายเสนาธิการของเขาว่า ปืนกล MP43 มีประสิทธิภาพมาก และเป็นที่ต้องการของทหารในแนวหน้า ทำให้ฮิตเลอร์ เปลี่ยนใจ และสั่งให้ผลิตปืนMP43 ออกมาใช้อย่างเต็มที่ โดยมอบหมายให้โรงงาน 3 โรงงานรับผิดชอบในการผลิต ตลอดจนมีการปรับเปลี่ยนภายในเล็กน้อย และเปลี่ยนชื่อเป็นปืน Stg44 (Sturmgewehr 44) สายการผลิตของปืนรุ่นนี้มีอยู่จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1945 ถือว่าอยู่ได้ไม่นานถ้าเทียบกับMP40
แต่อย่างน้อย เมื่อจบสงคราม รัสเซียได้แบบของStg44ไป และนำไปพัฒนาไปเป็นของตัวเองแล้วใช้ชื่อAK47
ซึ่งก่อนจะใช้ชื่อเป็นStg44 ก็ใช้ชื่อเป็นMP44มาก่อน
สังเกตจากการออกแบบที่อิงระบบปืนกลมือนั่นคือตัวเลือกระบบ แทนที่จะเป็น safe-semi-auto แบบปืนที่เราคุ้นๆกัน
แต่Stg44 จะเป็น safe-auto-semi ซึ้งการเลือกระบบแบบนี้ยังตกมาถึงลูกหลานอย่างAK47อีกด้วย
FG42 ประเภท Automatic Rifle
ผู้ใช้ เยอรมัน
ประจำการปี 1942-1945
ผู้ออกแบบ Louis Stange
จำนวนผลิต 2,000 กระบอก(Model I), 4,397(Army)
หนัก 4.5 kg.(รุ่น Model I), 4.9 kg. (รุ่น Model II)
ยาว 937 mm..(รุ่น Model I), 1,060mm. (รุ่น Model II)
ลำกล้องยาว 502mm.
ขนาดกระสุน 7.62x57 mm.
บรรจุ 10,20 นัดDetachable Box Magazine
อัตรายิง 900นัด/นาที (รุ่น Model I) ,600นัด/นาที (รุ่น Model II)
ระยะหวังผล ~500 m. ประวัติ
ปืนไรเฟิลอเนกประสงค์เป็นปืนที่มีความแม่นยำสูงและมีพลังการทำลายสูงมาก
และยังสามารถยิงแบบอัตโนมัติได้และยังติดกล้องเล็งมาด้วย
ปืน FG42 (Fallschirmjägergewehr-42 หรือ Paratrooper's rifle, Model 1942) ใช้กระสุนขนาด 7.92x57 mm. แบบเดียวกับปืน Kar98K เป็นปืนไรเฟิลอัตโนมัติ ความจุ 10/20 นัดต่อแมกกาซีน ปัจจุบันถูกนำมาดัดแปลงพร้อมกับปืนกล MG42 โดยกองทัพสหรัฐอเมริกา กลายเป็นปืนกล M60 ในปัจจุบัน
AVS-36 ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติที่ใช้รูปแบบการทำงานด้วยแก๊สที่มีให้เห็นอย่างครั้งแรกในปี ค.ศ. 1938 AVS-36 ไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลายเนื่องจากแรงถีบที่รุนแรงและการใช้งานที่ยุ่งยาก จึงผลิตออกมาเพียง 65,800 กระบอกเท่านั้น
M1903 Springfield rifle ปืนเวอร์ชั่น : M1903
บริษัท : SPRINGFIELD
ประเทศ : USA
กระสุน : .30-06 SPRINGFIELD
บรรจุกระสุน : 5 นัด
ระบบปฏิบัติการ : MANUALLY OPERATED , ROTATING BOLT
ระบบการยิง : BOLT ACTION
ระยะหวังผล : 200 เมตร
น้ำหนัก : 3.9 Kg
ฟังก์ชัน : กล้อง ZOOM ระยะไกล ประวัติ
ปืนไรเฟิลรุ่น M1903 สัญชาติอเมริกา ผลิตมาจากบริษัท SPRINGFIELD ปืนไรเฟิลที่ถูกใช้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 -2 ปืนนี้มีรูปร่างจะคล้ายๆ ปืน M1 GARAND ซึ่งเป็นปืนที่ใช้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เหมือนกัน ปืนนี้มีระยะหวังผล 200 หลา จากระยะยิงไกลสุดที่ 500 หลา มีความแม่นยำที่สูงมากๆ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ปืนนี้จะใช้โดยพลแม่นปืนส่วนใหญ่ ใช้กระสุนขนาด .30-06 SPRINGFIELD ซึ่งเป็นกระสุนของบริษัท SPRINGFIELD โดยเฉพาะเลย พลังทำลายก็ถือว่าสูงมากกว่ากระสุน 7.62 x 51 NATO ของปืน MR7 อีก โดยกระสุนของมันมีแรงปะทะประมาณ 3261-3793 จุล ซึ่งแรงมากๆ ระบบการยิงแบบ BOLT ACTION ต้องดึงคันรั้งทุกครั้งก่อนยิงแต่ละนัด แถมยังบรรจุกระสุนน้อย เพียงแค่ 5 นัด ปืนนี้ยังถือว่าเก่าแก่มาก บรรจุกระสุนเป็นคลิปกระสุนบรรจุไว้บนตัวปืน Lee Enfield ประเภท : Service Rifleผู้ใช้ : อังกฤษประจำการปี : 1907-ปัจจุบัน (ใช้ในการฝึก)ผู้ออกแบบ : James Paris Leeจำนวนผลิต : ประมาณ 7,500,000 กระบอกหนัก : 3.9 kg.ยาว : 1,130 mm.ขนาดกระสุน : .303 cal.บรรจุ : 10 นัด Stripper Clip 2 Clipระบบการทำงาน : Bolt-actionอัตรายิง : 20-30 นัด/นาทีระยะหวังผล : 914 m. ไกลสุด 1828 m.ประวัติ ปืนไรเฟิลประจำกองทัพบกอังกฤษมีใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่1จนถึงปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่เป็นไรเฟิลลูกเลื่อนเหมือนของเยอรมัน ปืนไรเฟิลประจำกองทัพบกอังกฤษมีใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่1จนถึงปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่เป็นไรเฟิลลูกเลื่อนเหมือนของเยอรมันแต่บรรจุกระสุนได้มากกว่าคือ10นัดโดยตลับกระสุนจะแบ่งเป็น2ตลับๆละ5นัดใช้กระสุนขนาด .303 British Mosin Nagant ประเภท : Service Rifleผู้ใช้ : โซเวียตประจำการปี : 1891-1998ผู้ออกแบบ : Cap.Sergei Mosinจำนวนผลิต : ประมาณ 37,000,000 กระบอกหนัก : 4.05 kg.ยาว : 131.8 cm.ขนาดกระสุน : 7.62x54R.บรรจุ : 5 นัด Stripper Clipระบบการทำงาน : Bolt-actionอัตรายิง : 15นัด/นาทีระยะหวังผล : 548.64 m. ไกลสุด 1828.8 m. ประวัติ ปืนไรเฟิลของทหารกองทัพแดงมีความแม่นยำสูงมากในการยิงระยะไกลแต่มีอัตราการยิงต่อเนื่องต่ำทำให้ลำบากในการต่อสู้ระยะประชิดใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ถึงปลายปี1998 Samozaryadnaya Vintovka Tokareva SVT-40 ประเภท : Rifleผู้ใช้ : โซเวียตประจำการปี : 1941-1945จำนวนผลิต : ประมาณ1,600,000 กระบอกหนัก : 3.85 kg.ยาว : ลำกล้องยาว1,226/610mm.ขนาดกระสุน : 7.62x54 mm.บรรจุ : 10 นัด Detachable Box Magazineระบบการทำงาน : Gas operatedอัตรายิง : 840นัด/นาทีระยะหวังผล : 500 m. ประวัติ ปืนไรเฟิลชนิดนี้เป็นการอัพเกรดขนานใหญ่ของปืนไรเฟิลประจำกายของกองทัพแดงถึงแม้ว่าทหารจะไม่ได้รับการฝึกให้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพแต่ทหารนาซีก็ยอมรับในฐานะอาวุธที่มีความแม่นยำและพลังการทำลายสูง Gewehr 43
ประเภท : Semi-Automatic Rifle
ผู้ใช้ : เยอรมัน
หนัก : 4.1 kg.
ยาว : ลำกล้องยาว1,130/546mm.
ขนาดกระสุน : 7.92x57 mm. Mauser
บรรจุ : 10 นัดDetachable Box Magazine
ระบบการทำงาน : Gas-operated
ระยะหวังผล : 400 m. ประวัติ
ในช่วงต้นสงครามเยอรมันได้ผลิตปืน Gewehr 41 มา
แต่ไม่ได้รับความนิยมเพราะมีความยุ่งยากในการบรรจุกระสุนและเชื่อถือไม่ค่อยได้
หลังจากที่ได้ยึดปืน SVT-40ของโซเวียตมาได้
วิศวกรของเยอรมันได้สังเกตุการโหลดกระสุนด้วยแก๊สที่ดีเยี่ยมของ SVT-40
ทำให้พวกเขาได้นำระบบนั้นมาออกแบบ Gewehr 43
ทำให้มันโหลดกระสุนได้ง่ายและมีความแม่นยำสูงด้วย ปืนกลหนักและปืนอื่นๆ (Machine Gun & ปืนอื่นๆ)Ruchnoy Pulemyot Degtyaryova Pekhotnyi 28 ประเภท : Light Machine Gunผู้ใช้ : โซเวียตประจำการปี : 1928-1960ผู้ออกแบบ : Vasily Degtyarevหนัก : 9.12 kg.ยาว : ลำกล้องยาว1,270/604.5mm.ขนาดกระสุน : 7.62x54R.บรรจุ : 49 นัด(47 in practice)ระบบการทำงาน : Gas-Operatedอัตรายิง : 500-600นัด/นาทีระยะหวังผล : ~800 m. ประวัติ ปืนกลรุ่นนี้ถือเป็นยอดในเรื่องความเรียบง่ายและง่ายต่อการบำรุงรักษาแต่ขาตั้งของมันจะหักได้ง่ายถ้าถืออย่างไม่ระมัดระวังแต่มันก็เป็นปืนที่มีประสิทธิภาพมากในความแม่นยำและมีพลังการยิงสูง GSH-6-23M ปืนเวอร์ชั่น : GSH-6-23M
ประเทศ : SOVIET
ประเภทปืน : GATLING GUN
กระสุน : 23 x 115 MM
เเรงปะทะกระสุน : 40000-50000 JOULE
บรรจุกระสุน : หรือบรรจุกระสุนจากสายพานที่ต่อออกมาจากกระเป๋าสะพายขนาด 2,500 นัด
ระบบปฏิบัติการ : GAS OPERATED
ระบบการยิง : FULL AUTO
อัตราการยิง : 10000 RPM
ความเร็วปากกระบอก : 715 เมตร/นาที
น้ำหนัก : 73 Kg.
ความสามารถพิเศษ : เจาะเกราะ ยิงทะลุรถถังได้ ปืนกระบอกนี้ ปืนใหญ่อากาศ ขนาด 23 มม. GSh-6-23M .......อัตราพ่นกระสุน 10000 นัด / นาที MG 42ผู้ผลิต : ประเทศเยอรมัน
ความยาวของปืน : 1,220 มม.
ลำกล้องยาว : 533 มม.
น้ำหนักปืนเปล่า : 11.6 กก.
กระสุนขนาด : 7.92x57 Mauser
บรรจุ : สายกระสุน สายละ 50 นัด double drum magazineจุ75
ระยะยิงไกล : 2000 ม.
อัตราการยิง : 1200-1500 นัด/นาที
ระยะหวังผลประมาณ : 1000 เมตร
ทำงานโดยระบบ : Short-recoil operated
ระบบการ : Semi-automaticและFull-automatic
พัฒนาโดยบริษัท : Metall und Lackierwarenfabrik Johannes Grossfuss AG
โรงงานที่ผลิต : Grossfuss, Mauser-Werke, Gustloff-Werke ประวัติปืนกล Machinengewehr MG 42 หรือปืนกลสแปนเดา (Spandau) นี้ เกิดขึ้นจากแนวความคิดของกองทัพเยอรมัน ที่ต้องการปืนกลที่มีประสิทธิภาพสูง มีสายการผลิตที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ผู้ที่รับแนวคิดนี้ไปทำให้เป็นความจริงคือ Dr. Grunow ผู้ซึ่งเป็นนักอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงของเยอรมัน ในการผลิตแบบสายการผลิตจำนวนมาก ผลที่ได้ก็คือ ปืนกลที่ได้ชื่อว่า เป็นปืนกลที่ดีที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สองชนิดหนึ่ง
ปืนกล MG 42 นำเอาปืนกลแบบ MG 34 มาประกอบใหม่ ใช้หลักการเดิม คือการผสมผสานระหว่างแรงสะท้อนของกระสุน และระบบแก๊ส ปืนกล MG 42 ใช้ระบบส่งกระสุนขนาด 7.92 มม. เหมือนปืนกล MG 34 คือใช้ได้ทั้งการใช้สายกระสุนขนาด 50 นัด และกล่องบรรจุกระสุนที่เรียกว่า ดรัม (Drum) ซึ่งดรัมนี้มสองแบบ คือ แบบดรัมเดียว และสองดรัมติดกัน มีอัตราการยิง 1200 นัดต่อนาที ระยะยิงไกลถึง 2,000 ม. หรือ 2 กม.
ปืนกล MG 42 มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในกองทัพเยอรมัน แม้ว่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับการสั่นของตัวปืน ขณะทำการยิง ส่งผลถึงความแม่นยำของการยิงก็ตาม มันถูกใช้อย่างแพร่หลายจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง และกลายเป็นต้นแบบของปืนกลยุคใหม่อย่างเช่น ปืนกล M 60 ของกองทัพสหรัฐอเมริกา
ส่วนใหญ่มักยิงเป็นชุด ชุดละไม่เกิน 50 นัด มากกว่าใช้ยิงกราด เพราะว่ายิงเร็วมาก ทำให้นอกจากกระสุนจะหมดเร็วแล้วยังทำให้ปืน Overheat ได้ง่าย (ทหารเยอรมันกลัว MG42 ร้อน มากกว่ากระสุนหมด) แต่ก็แก้ได้ด้วยการเปลี่ยนลำกล้องที่ทำได้อย่างรวดเร็ว (ประมาณ 10-15 วิ) MG34 ผู้ผลิต : ประเทศเยอรมัน
ความยาวของปืน : 1,220 มม.
ลำกล้องยาว : 628 มม.
น้ำหนักปืนเปล่า : 12.1 กก.
กระสุนขนาด : 7.92 มม.
บรรจุสายกระสุน : สายละ 50 นัด
ระยะยิง : ไกล2000 ม.
ประวัติ
ปืนกล Machinengewehr MG 34 นี้ บางคนจัดให้เป็นปืนกลเบา (Light machine gun) แต่บางตำราก็จัดให้เป็นปืนกลหนัก (Heavy machine gun) ปืนกลรุ่นี้ผลิตโดย Louis Stange จากบริษัท Rhinemetall และบริษัท Mauser ของเยอรมันในคราวเดียวกัน ซึ่งการถือกำเนิดปืนกล MG 34 ในปี 1934 นี้ ถือเป็นการก่อกำเนิดของอาวุธปืนกลสมัยใหม่ ในกองทัพเยอรมันเลยทีเดียว
การทำงานของปืนกล MG 34 นี้ ใช้การทำงานผสมผสานระหว่าง การใช้แรงสะท้อนถอยหลังของดินปืน และแก๊ส ในการยิงแต่ละครั้ง นับเป็นการผสมผสาน ที่ไม่ค่อยจะมีใช้กัน ในระบบการยิงของปืนกลในยุคสมัยนั้น และถือเป็นความสำเร็จอันยอดเยี่ยมของการประดิษฐ์ระบบการยิงด้วยวิธีนี้ของ Louis ผู้ผลิตปืนกล MG 34
ปืนกล MG 34 ใช้ระบบส่งกระสุนขนาด 7.92 มม. ได้ทั้งการใช้สายกระสุน และกล่องบรรจุกระสุนที่เรียกว่า ดรัม (Drum) ซึ่งดรัมนี้มีสองแบบ คือ แบบดรัมเดียว และสองดรัมติดกัน มีอัตราการยิง 800-900 นัดต่อนาที ระยะยิงไกลถึง 2,000 ม. หรือ 2 กม.
ปืนกล MG 34 มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในกองทัพเยอรมัน แม้ว่าปืนกลรุ่นใหม่อย่าง MG 42 จะเกิดขึ้นมาในปี 1942 และมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า MG 34 แต่ MG 34 ก็เป็นปืนกลที่ทหารเยอรมันยังคงใช้อยู่ทุกแนวรบ จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง USSR M1941
รุ่น : USSR M1941 50mm
ชนิด : เครื่องยิงลูกระเบิด
ความยาว : 63 cm
น้ำหนัก : 9.3 kg
ระยะหวังผล : 800 ม.
องศาแนวตั้ง : + 40 or + 75 องศา
องศาแนวขวาง : 9 or 16 องศา
กระสุน : 50mm
น้ำหนักกระสุน : 0.85 kg German leGrw 36
รุ่น : German leGrw 36
ชนิด : เครื่องยิงลูกระเบิด
น้ำหนัก : 14 kg
ความยาว : 465 mm
องศาแนวขวาง : 33องศา
องศาแนวตั้ง : 42 องศา to 90 องศา
กระสุน : 50 mm
ระยะหวังผล : 510 ม. Bazooka M1A1
ประเภท : Recoilless Rocket Antitank Weaponผู้ใช้ : สหรัฐฯผู้ออกแบบ : กองทัพบกสหรัฐประจำการปี : 1942-ปัจจุบัน (ในบางประเทศ)หนัก : 6.8 kg.ยาว 137 cm.ขนาดลำกล้อง : 66 mm.บรรจุ : 1 นัดระยะหวังผล : ไกลสุด 365 m. ใกล้สุด 135 m. ข้อมูลของปืน เครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง Bazooka ของกองทัพสหรัฐฯ แรกเริ่มเดิมทีนาย Henry Mohaupt ได้ประดิษฐ์ระเบิดต่อสู้รถถังแบบใช้ดินโพรงขึ้นมา
ซึ่งมีอำนาจการเจาะเกราะได้ลึกถึง 100 มม.หรือประมาณ 4 นิ้ว แต่เนื่องจากมันมีน้ำหนักมากจนนำไปใช้การได้ลำบากก็เลยไม่เป็นที่นิยมมากนัก
จนต่อมาพ.อ.Leslie A. Skinner และร.ท.Edward G. Uhl ก็ได้นำระเบิดแบบนี้มาปรับปรุงใช้กับเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถังที่ประดิษฐ์ขึ้นมา
และมีการเรียกคจตถ.รุ่นนี้ว่า Rocket Launcher, M1A1 ซึ่งมีลำกล้องกว้าง 2.36 นิ้วและยาว 54 นิ้ว หัวรบบรรจุดินโพรงหนัก 1.59 กก.
ระยะหวังผล 150 หลา ทำการยิงด้วยการประทับบ่า ใช้การจุดชนวนด้วยระบบ Magneto โดยใช้แบตเตอรีขนาด 1.5 V จำนวน 2 ก้อน
และก็ได้มีการพัฒนารุ่นต่างๆต่อมาอีกหลายรุ่น มาจนถึงปัจจุบัน PIAT (Projector Infantry, Anti-Tank)
ประเภท : Recoilless Rocket Antitank Weaponผู้ใช้ : อังกฤษประจำการปี : 1942-1950ผู้ออกแบบ : ICI Ltd., various othersหนัก : 14.4 kg.ยาว : 990 mm.ขนาดกระสุน : Infantry Projector, AT, Mk 3/Lบรรจุ : 1 นัดระยะหวังผล : 110 m. ไกลสุด 320 m.ข้อมูลปืนต่อสู้รถถังของกองทัพบกอังกฤษไม่เป็นที่นิยมมากนักเนื่องจากมี นน. มากความแม่นยำต่ำระยะหว้งผลไม่ไกลมากนักและมีความยุ่งยากในการยิงทหารจึงนิยมใช้ปืนM1A1 Bazookaมากกว่า
Panzerfaust อาวุธทุกฝ่ายนาซีใช้ต่อต้านรถถังโดยการยิงลูกระเบิดใส่รถถังหรือยานหุ้มเกราะ
มีอำนาจในการทำลายสูงแต่ไม่เหมาะกับการยิงใส่บุคคล
และสามารถยิงได้แค่ครั้งเดียว
แต่ปืนนี้ก็เป็นต้นแบบให้ปืนต่อสู้รถถังแบบ RPG-2 หรือ RPG-7
ซึ่งเป็นเครื่องยิงจรวดประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งเช่นเดียวกับจรวด LAW M72 (LAW : Light Anti-tank Weapon) ที่ยังมีใช้ในปัจจุบัน โดย Panzerfaust นั้นมีน้ำหนักหัวรบ (Warhead) 3 กก. โดยในหัวรบจะบรรจุดินโพรง (Shaped Charge) และดินระเบิดแรงสูงไว้ 800 กรัมมีอำนาจทะลุทะลวงแผ่นเหล็กได้ลึกถึง 200 มม. ส่วนท่อยิง (Tube) จะบรรจุดินดำไว้เพื่อใช้ขับดันจรวด มีระยะพิสัยทำการยิงสูงสุด 250 เมตร (Panzerfaust 250) Panzerchrek ปืน Raketenpanzerbuchse(Panzerchrek)
เมื่อเยอรมันสามารถยึดปืนบาซูก้าจากอเมริกาได้ในศึกที่ตูนีเซีย ในปี 1943
วิศวกรของเยอรมันก็วิเคราะห์และลอกแบบปืนบาซูก้า โดยทันที่
ในไม่ช้าเยอรมันก็มีปืนต่อสู้รถถังก็คือRaketenpanzerbuchse 43
มันมีชื่อเล่นๆว่าPanzerchrekโดยจะยิงจรวดขนาด3.46นิ้ว
และมีระยะหวังผลกว่า 160 หลา
จากนั้นมันก็เป็นฝันร้ายของเหล่าผู้บังคับรถถังฝ่ายพันธมิตร
จนต้องมีการเสริมเกราะเพื่อที่จะรับมือกับมัน M2 FLAMETHROWER
ปืนเวอร์ชั่น : M2 FLAMETHROWER
ประเทศ : USA
ปีประจำการในกองทัพ : 1943
กระสุน : 2 (2 gal) Gasoline tanks (fuel) , 1 Nitrogen tank (propellant)
น้ำหนัก : 19.5 kg. , 30.8 kg.
ระยะหวังผล : 20 เมตร
ระยะยิงไกลสุด : 40 เมตร
ปืนรุ่นอื่นๆ : M2A1-7
ประวัติ
เป็นปืนพ่นไฟที่บรรจุถังน้ำมันแก็สโซลีน 2 แกลอน กับ ถังไนโตรเจน อีก 1 ซึ่งมีน้ำหนักที่หนักมาก แทบจะต้องเดินยิงเลยล่ะ จะนิยมใช้กับพวกทหารอเมริกันนั้นเองไว้ใช้ปราบปรามข้าศึก และเผาผลาญเป้าหมายให้สิ้นซาก และใช้เผาผลาญพวกต้นไม้ ตามหญ้าต่างๆ รวมไปถึงฟางข้าวได้ด้วยมันมีอุณหภูมิความร้อนในการทำลายเผาผลาญสูงถึง 1000 องศาเซลเซียส เลยทีเดียวซึ่งสามารถเผาข้าศึกจนไหม้เกรียมได้อย่างสบายเลยล่ะด้วยระยะยิงหวังผลถึง 20 เมตร ด้วยสิ ข้าศึกคงจะหนีจากการโดนยิงได้ยากแน่ๆ ถึงจะหลบก็แทบจะหลบยากเลยล่ะ
เคยผ่านการใช้รบในสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม มาแล้ว
M1919 ปืนเวอร์ชั่น : M1919
ประเทศ : USA
ปีประจำการ : 1919–1970
เเม็กกาซีน : 250 นัด , หรือบรรจุกระสุนจากสายพานที่ต่อออกมาจากกระเป๋าสะพายขนาด 2,500 นัด
ระบบปฏิบัติการ : Recoil-operated/short-recoil operation
ระบบการยิง : FULL AUTO
อัตราการยิง : 400–600 RPM
น้ำหนัก : 14 kg - 15 kg
ระยะหวังผล : 1400 เมตรกระสุน : .30-06 (7.62x63 mm)
แรงปะทะกระสุน : 3800-4500 จุล
กระสุน : 7.62x51mm NATO
แรงปะทะกระสุน : 3300-4100 จุล
กระสุน : .303 British
แรงปะทะกระสุน : 3200-3600 จุล
กระสุน : 7.92x57mm Mauser
แรงปะทะกระสุน : 4000-5000 จุลประวัติ ปืน กลเบา Browning .30 Caliber M1919 ใช้สายกระสุนขนาด .30-06 ในการทำการยิง ใช้ระบบ Recoil-operated ในการทำการยิง โหมดยิงช้ายิงได้ 400/นาที ยิงเร็ว 600/นาที มีญาติคือปืนกลหนัก Browning M2HB หรือปืนกล 93 นั่นละครับ แต่รุ่นนี้ใช้กระสุนขนาด 12.7 มม.หรือ .50 BMG ใช้สายกระสุนในการบรรจุและทำการยิงครับ M2HB ปืนเวอร์ชั่น : M2HB
ประเทศ : USA
ผลิตปี : 1918
ปีประจาการกองทัพ : 1921-1933
ประเภทปืน : HEAVY MACHINE GUN
กระสุน : .50 BMG
เเรงปะทะกระสุน : 20000 JOULE
บรรจุกระสุน : บรรจุกระสุนจากสายพานที่ต่อออกมาจากกระเป๋าสะพายขนาด 2,500 นัด
ระบบปฏิบัติการ : SHORT RECOIL OPERATED
ระบบการยิง : FULL AUTO
M2HB = อัตราการยิง : 450-600 RPM
M2 AIRCRAFT GUN = อัตราการยิง : 750-850 RPM
น้ำหนัก : 38 Kg. - 58 Kg.
ความสามารถพิเศษ : เจาะเกราะ ยิงทะลุรถถังได้
ฟังก์ชั่น : ติดตั้งกับยานพาหนะต่างๆ เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินเจท รถยนต์ทหาร ป้อมทหาร
ปืนรุ่นอื่นๆ : M2 AIRCRAFT GUN , M1921 , M2 , M3 , M2B , M2B-QCB , M2 E-50ประวัติ
ปืน กลหนัก Browning M2HB หรือปืนกล 93 ใช้กระสุนขนาด 12.7 มม.หรือ .50 BMG นิยมใช้ติดตั้งบนรถถังหรือรถจี๊ป เนื่องจากเป็นปืนกลอเนกประสงค์สามารถใช้ยิงต่อสู้อากาศยานหรือทำลายล้างข้า ศึกบนภาคพื้นดินได้สบายมาก เข้าประจำการตั้งแต่ปีพ.ศ. 2493
ป.ล. ปืนกล 93 ในภาพเป็นแบบลำกล้องคู่ เวลายิงจะมีเสียงที่ดังมากแถมความแม่นยำก็ต่ำมาก เอาไว้ยิง:Xกระสุนอย่างเดียว
Browning M2HB ปืนกลหนัก ใช้กระสุนขนาด .50 BMG หรือ 12.7 มม. ปืนนี่อเมริกาเอาไว้ถล่มรถถัง หรือสอยเครื่องบิน
Bren LMG ประเภท : Light machine gunผู้ใช้ : อังกฤษประจำการปี : 1938-1958หนัก : 10.35kg.ยาว : ลำกล้องยาว1,156/653mm.ขนาดกระสุน : .303 calบรรจุ -30 นัด Detachable Box Magazine -100 นัด Pan Magazineระบบการทำงาน : Gas-operatedอัตรายิง : 500-520นัด/นาทีระยะหวังผล : 550 m. ประวัติ ปืนกลสนับสนุนชั้นยอดของกองทัพบกอังกฤษถึงแม้ว่ามันจะมีขนาดใหญ่โตทำให้ความคล่องตัวน้อยลงแต่ในการนอนยิงมันจะมีความแม่นยำสูงมาก
M-2 Browning machine gun ประเภท : Machine Gun (MG)ผู้ใช้ : สหรัฐฯปีประจำการ : 1932-ปัจจุบันหนัก : 38kg.ยาว/ลำกล้องยาว : 1,650/1,140mm.ขนาดกระสุน : .50BMGระบบการทำงาน : Recoil Operationอัตรายิง : 550 นัด/นาทีระยะหวังผล : 1,800 m.ฝ่าย : อังกฤษ ข้อมูลปืนกลชนิดนี้ถูกคิดขึ้นเพื่อมาแทนปืนกลแบบ Vickersในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งท1ปืนกลชนิดนี้จะติดอยู่กับยานพาหนะซะเป็นส่วนมากเนื่องจากมี นน. มากในการขนย้ายจึงทำได้ลำบากแต่มีพลังการทำลายสูงมากตอนนี้สาระเต็มอิ่มพอแล้วก็ลากันไปก่อนนะครับสวัสดีครับ
Credit:Bossbaz
บริษัท : Mauser
ประเทศ : GERMANY
กระสุน : 7.92x57mm IS
แรงปะทะกระสุน : 4000-5000 จุล
พลังทำลาย : สูง
ปีประจำการ : 1935
เเม็กกาซีน : 5 นัด
ระบบปฏิบัติการ : manually operated, rotating bolt , Bolt-action
ระบบการยิง : bolt action
น้ำหนัก : 3.9 kg - 4.1 kg
ระยะหวังผล : 500-800 เมตรประวัติ ปืนไรเฟิล Bolt Action ชื่อว่า "Mauser Karabiner98k" หรือ "Kar98K" เป็นปืนไรเฟิลคาร์ไบน์ครับ ใช้กระสุนขนาด 7.92x57 mm. หรือ 8 mm. MAUSER นั่นละ ขนาดเดียวกับปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติ Gewehr 43 ความจุ 5+1 นัดครับ ใช้คลิปกระสุนในการบรรจุ เป็นปืนไรเฟิลที่กองทัพเยอรมันไว้ใจมากในเรื่องความแม่นยำ และความรุนแรงที่สูงกว่าปืนไรเฟิลของฝ่ายพันธมิตรในเวลานั้น และเป็นที่นิยมมากในการนำมาติดตั้งกล้องเล็งขนาด 4X เพื่อใช้ในภารกิจซุ่มยิงปืนไรเฟิลกระบอกนี้นั้น จะนิยมใช้กับพวกทหารนาซีของฝ่ายเยอรมันกัน มันเป็นปืนไรเฟิลที่มีประสิทธิภาพและคุณภาพสูงมากทั้งความแม่นยำที่สูงมาก และใช้กระสุนไรเฟิลที่มีอำนาจในการสังหารหยุดยั้งที่ดีเยี่ยมมากนั้นเอง แล้วรวมไปถึง แรงสะท้อนที่คุมง่ายและไม่ถีบมากๆของเจ้า KAR98 นั้นเอง และการดึงคั้นรั้งก่อนยิงที่รวดเร็วทันใจ และเป็นปืนที่มีความเที่ยงตรงสูงมากนั้นเอง และการบรรจุกระสุนของมันที่รวดเร็วทันใจของเจ้าปืนกระบอกนี้นั้นเอง ทำให้มันเป็นปืนที่ใช้ผ่านในสนามรบในสงครามหลายประเทศ หลายพื้นที่มากๆนั้นเอง M1918 Browning Automatic Rifle หรือ BAR
ปืนเวอร์ชั่น : BAR M1918
ประเทศ : USA
ผลิตปี : 1918
ปีประจำการกองทัพ : 1918-1960
ประเภทปืน : AUTOMATIC RIFLEปีผลิต : 1905
รบในสงคราม : สงครามโลกครั้งที่ 1-2 , สงครามจีน , สงครามเกาหลี
บรรจุกระสุน : 20 นัด
ระบบปฏิบัติการ : GAS OPERATED , OPEN BOLT
ระบบการยิง : FULL AUTO
อัตราการยิง : 450-650 RPM
น้ำหนัก : 7.2 Kg. - 8.8 Kg.
ระยะหวังผล : 100–1400 เมตร
ระยะยิงไกลสุด : 550 เมตร
ความสามารถพิเศษ : อำนาจในการทะลุทะลวงที่สูงขึ้น ยิงทะลุกระจก ยิงทะลุต้นไม้ได้
ฟังก์ชั่น : ติดตั้งกับยานพาหนะต่างๆกระสุน : .30-06 SPRINGFIELD
เเรงปะทะกระสุน : 3500-4500 จุล
กระสุน : 7.92x57mm Mauser
แรงปะทะกระสุน : 4000-5000 จุล
กระสุน : 7.65x53mm Belgian Mauser
แรงปะทะกระสุน : 3000-3400 จุล
กระสุน : 7x57mm Mauser
แรงปะทะกระสุน : 2500 จุล
กระสุน : 6.5x55mm
แรงปะทะกระสุน : 2900-3100 จุล
กระสุน : .303 British
แรงปะทะกระสุน : 3200-3600 จุล
กระสุน : 7.62x51mm NATO
แรงปะทะกระสุน : 3300-4100 จุล
ประวัติ ปืน ไรเฟิลอัตโนมัติ BAR (BAR : Browning Automatic Rifle) ใช้กระสุนขนาด .30-06 เหมือนปืน M1 Garand และปืน Springfield'03 ใช้ระบบปฏิบัติการแบบ Gas-operated, open bolt ความจุ 20 นัด/แมกกาซีน อัตราการยิง 450-550 นัด
จะ สังเกตได้ว่าปืนไรเฟิลหลายรุ่นของฝ่ายสหรัฐอเมริกา จะใช้กระสุนขนาดเดียวกันหมดคือขนาด .30-06 เนื่องจากเป็นนโยบายในการลดความยุ่งยากในการขนส่งเสบียงและยุทโธปกรณ์ต่างๆ ของฝ่ายพลาธิการ จนถึงปีค.ศ.1950 กระสุน .30-06 จึงถูกแทนที่ด้วยกระสุนขนาด .308 (7.62X51 mm. NATO) ของ Winchester แทน พร้อมกับนำปืนไรเฟิล M14 เข้ามาเป็นอาวุธประจำกายแทนที่ปืน M1 Garand ,M1 Carbine และ BAR
แต่กระสุนไรเฟิล .30-06 มีข้อเสียตรงที่อำนาจในการหยุดยั้งข้าศึกต่ำไปหน่อย กระสุนมันพุ่งทะลุผ่านเป้าหมายไปอย่างเดียวแต่ไม่ถ่ายโอนพลังงานจลใส่เป้าหมาย ในสมัยสงคราม มันจึงเป็นกระสุนไรเฟิลที่เหมาะสมสำหรับเก็บกวาดศัตรูจากระยะไกลซะมากกว่า นั้นเอง
ปืน BAR มีข้อเสียทั้งเรื่อกน้ำหนักที่หนักมากเอาเรื่อง แรงถีบที่มากเอาเรื่องด้วยเช่นกัน และแถมยังบรรจุกระสุนได้น้อยอีก แต่มันก็เป็นปืนที่ยิงรัวได้เร็วใช้ได้ แต่มันจะส่ายเอามากๆเลย
ถ้า คุณไปใช้ปืนกล BAR รุ่นอื่นๆ อย่างรุ่น wz.1928 ล่ะก็ปืนจะยิ่งถีบยิ่งกว่านี้อีก แต่แน่นอนอานุภาพของเจ้าปืนกล BAR ก็มากพอจะเอาไปใช้ทำลายสอยเครื่องบินใบพัดในสมัยสงครามได้บ้าง ถ้าคุณยิงแม่นและยิงนิ่งมากพอ
M1 CARBINE
ปืนเวอร์ชั่น : M1 CARBINE
บริษัท : Military contractors Commercial copies
ประเทศ : USA
กระสุน : .30 US Carbine (7.62x33 mm)
แรงปะทะกระสุน : 1,190 จุล
พลังทำลาย : ปานกลาง
ปีประจำการ : 1942-1960
เเม็กกาซีน : 15-30 นัด
ระบบปฏิบัติการ : Gas-operated, rotating bolt
ระบบการยิง : SEMI AUTO RIFLE
น้ำหนัก : 2.36 kg
ปืนรุ่นอื่นๆ : M1A1, M1A3, M2, M3
ประวัติ
ปืน M1 Carbine กองทัพไทยเรียกว่า "ปืนสั้นบรรจุเอง แบบ 87 (ปสบ.87)" เข้าประจำการในปีพ.ศ. 2487
ปืน M1 Carbine เคยใช้รบในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม มาก่อนปืนนี้จะมีแรงสะท้อนค่อนข้างถีบพอควรแล้วทำมาจากไม้และเหล็กด้วย แต่น้ำหนักพอถือวิ่งพกพาได้อานุภาพหยุดยั้งค่อนข้างดีใช้ได้ ลุยน้ำ ลุยโคลน ลุยฝุ่นได้แล้วกัน ยิงซ้ำนัดได้ค่อนข้างเร็ว มีความทนทานสูงปืนสมัยโบราณส่วนใหญ่จะทนทานกว่าสมัยใหม่
รุ่น M1 จะยิงแบบกึ่งอัตโนมัติ ส่วนรุ่น M2 , M3 จะยิงแบบ FULL AUTO อัตราการรัว 850–900 นัด/นาทีM1 Carbine กระสุนไม่ใหญ่ไม่โตขนาดแค่ 0.30 นิ้ว แต่อานุภาพรุนแรงกว่ากระสุน .357 Magnum
M1 GARAND ปืนเวอร์ชั่น : M1 GARAND
บริษัท : Springfield Armory, Winchester Repeating Arms Company, Harrington & Richardson Co., International Harvester, Breda, Beretta, Inc.
ประเทศ : USAปีประจำการ : 1936–1963
เเม็กกาซีน : 8 นัด
ระบบปฏิบัติการ: Gas-operated, rotating bolt
ระบบการยิง : SEMI AUTO RIFLE
น้ำหนัก : 4.32 kg
ระยะหวังผล : 500 หลากระสุน : .30-06 (7.62x63 mm)
แรงปะทะกระสุน : 3800-4500 จุล
กระสุน : 7.62x51mm NATO
แรงปะทะกระสุน : 3300-4100 จุลประวัติ
ปืน M1 Garand กองทัพไทยเรียกว่า "ปืนเล็กยาวบรรจุเองแบบ 88 (ปลย.88 หรือ ปลยบ.88)" เข้าประจำการในปีพ.ศ. 2488
ปืน M1 Garand เอ้างั้นแถมไปเลย ใช้กระสุน .30-06 ระบบการยิงเซมิออโต้ ความจุ 8 นัดต่อคลิป ร่องเกลียว 4 เกลียวเวียนขวา มีความพิเศษตรงที่พอยิงจนกระสุนหมด ปืนจะดีดคลิปออกมาเสียงดัง ปิ๊ง! ออกแบบโดยนาย John C.Garand ครับ
ปืน M1 Garand ได้รับการพัฒนาต่อมาจนออกมาเป็นปืนไรเฟิลอัตโนมัติด้วยคือปืน M14 ครับ และเป็นปืนรุ่นแรกที่ได้ใช้กับกระสุนใหม่ คือ .308 Winchester หรือ 7.62x51 mm. NATO ซึ่งมีบทบาทอย่างมากในช่วงสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม สงครามโลกครั้งที่ 2
ปืน M1 GARAND จะบรรจุกระสุนเป็นคลิปกระสุนบรรจุไว้บนตัวปืน เหมือนพวกปืน SKS ประมาณนั้น ปืนนี้จะมีข้อเสียตรงเรื่องน้ำหนักพอควรทำให้เคลื่อนที่ในการยิงได้ช้า
รวมไปถึงอาการสั่นค้างขณะเล็งปืนด้วยนั้นเอง ใช้กระสุนที่มีอำนาจหยุดยั้งสูงดี โดยเฉพาะกระสุน .308 WIN
เรื่องความแม่นยำถือดีมากสำหรับปืนนี้ ข้อเสียก็ตรงที่เรื่องน้ำหนักปืน แต่เรื่องความทนทานพอจะดูคล้ายๆ M1 CARBINE แต่เรื่องแรงถีบจะมากไปหน่อยเพราะใช้กระสุนที่แรงกว่า .30 CARBINE ไปมากนัก นิยมใช้กับพลทหารเหมือนกัน
MP44 Type : Assault rifle
Place of origin : Nazi Germany
In service : July 1944–May 1945 (Nazi Germany)
Wars World War II, appeared in other conflicts around the world
Designed : 1943
Manufacturer : C. G. Haenel Waffen und Fahrradfabrik
Number built : 425,977
Specifications
Weight : 5.22 kg (11.5 lb)
Length : 940 mm (37.0 in)
Barrel length : 419 mm (16.5 in)
Cartridge : 7.92x33mm Kurz
Action : Gas-operated, tilting bolt
Rate of fire : 500-600 rounds/min
Muzzle velocity : 685 m/s (2,247 ft/s)
Effective range : 300 m
Feed system : 30-round detachable box magazine ประวัติ
Stg44 (Sturmgewehr 44)หรือในภาษาอังกิตก็ Assault Rifle 1944
ถูกพัฒนามาจากMP43(Machine Pistol 43) พัฒนาในปี1943(ตามเลขลงท้าย)
ในช่วงแรก ฮิตเลอร์ต้องการอาวุธประจำกายทหารราบที่มีระยะยิงไกลกว่า 2,000 หลา(เหตุผลที่นิยมKar9จึงไม่สนใจที่จะให้ผลิตปืนเอ็ม พี 43 ขึ้น แต่อัลเบิร์ต สเปียร์ รัฐมนตรีกระทรวงอาวุธของนาซีเยอรมันในขณะนั้น เห็นว่าเยอรมันมีความต้องการปืนรุ่นนี้เป็นอย่างมาก จึงทำการผลิตปืนรุ่นนี้ขึ้น โดยที่ฮิตเลอร์ไม่รู้ และส่งออกไปให้ทหารเยอรมันในแนวรบด้านรัสเซียได้ทดลองใช้ ปรากฏว่า ทหารราบเยอรมันต่างพอใจในสมรรถนะของปืนรุ่นนี้ ถึงขนาดที่ผู้บัญชาการกองพลของเยอรมันบางกองพล ได้พูดกับฮิตเลอร์ถึงประสิทธิภาพที่ดีเยี่ยมของปืนกลมือ MP43 ความจริงเลยปรากฏต่อฮิตเลอร์ว่า ปืนรุ่นนี้ได้ถูกผลิตออกมาแล้ว แต่ฮิตเลอร์ไม่พอใจในการกระทำของรัฐมนตรีโดยกระทำอย่างพลการจึงทำให้ไม่พอใจถึงถูกปฎิเสธไป
อย่างไรก็ตาม ฮิตเลอร์ก็ได้รับการโน้มน้าวจากฝ่ายเสนาธิการของเขาว่า ปืนกล MP43 มีประสิทธิภาพมาก และเป็นที่ต้องการของทหารในแนวหน้า ทำให้ฮิตเลอร์ เปลี่ยนใจ และสั่งให้ผลิตปืนMP43 ออกมาใช้อย่างเต็มที่ โดยมอบหมายให้โรงงาน 3 โรงงานรับผิดชอบในการผลิต ตลอดจนมีการปรับเปลี่ยนภายในเล็กน้อย และเปลี่ยนชื่อเป็นปืน Stg44 (Sturmgewehr 44) สายการผลิตของปืนรุ่นนี้มีอยู่จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สองในปี 1945 ถือว่าอยู่ได้ไม่นานถ้าเทียบกับMP40
แต่อย่างน้อย เมื่อจบสงคราม รัสเซียได้แบบของStg44ไป และนำไปพัฒนาไปเป็นของตัวเองแล้วใช้ชื่อAK47
ซึ่งก่อนจะใช้ชื่อเป็นStg44 ก็ใช้ชื่อเป็นMP44มาก่อน
สังเกตจากการออกแบบที่อิงระบบปืนกลมือนั่นคือตัวเลือกระบบ แทนที่จะเป็น safe-semi-auto แบบปืนที่เราคุ้นๆกัน
แต่Stg44 จะเป็น safe-auto-semi ซึ้งการเลือกระบบแบบนี้ยังตกมาถึงลูกหลานอย่างAK47อีกด้วย
FG42 ประเภท Automatic Rifle
ผู้ใช้ เยอรมัน
ประจำการปี 1942-1945
ผู้ออกแบบ Louis Stange
จำนวนผลิต 2,000 กระบอก(Model I), 4,397(Army)
หนัก 4.5 kg.(รุ่น Model I), 4.9 kg. (รุ่น Model II)
ยาว 937 mm..(รุ่น Model I), 1,060mm. (รุ่น Model II)
ลำกล้องยาว 502mm.
ขนาดกระสุน 7.62x57 mm.
บรรจุ 10,20 นัดDetachable Box Magazine
อัตรายิง 900นัด/นาที (รุ่น Model I) ,600นัด/นาที (รุ่น Model II)
ระยะหวังผล ~500 m. ประวัติ
ปืนไรเฟิลอเนกประสงค์เป็นปืนที่มีความแม่นยำสูงและมีพลังการทำลายสูงมาก
และยังสามารถยิงแบบอัตโนมัติได้และยังติดกล้องเล็งมาด้วย
ปืน FG42 (Fallschirmjägergewehr-42 หรือ Paratrooper's rifle, Model 1942) ใช้กระสุนขนาด 7.92x57 mm. แบบเดียวกับปืน Kar98K เป็นปืนไรเฟิลอัตโนมัติ ความจุ 10/20 นัดต่อแมกกาซีน ปัจจุบันถูกนำมาดัดแปลงพร้อมกับปืนกล MG42 โดยกองทัพสหรัฐอเมริกา กลายเป็นปืนกล M60 ในปัจจุบัน
AVS-36 ปืนไรเฟิลกึ่งอัตโนมัติที่ใช้รูปแบบการทำงานด้วยแก๊สที่มีให้เห็นอย่างครั้งแรกในปี ค.ศ. 1938 AVS-36 ไม่ได้ใช้กันอย่างแพร่หลายเนื่องจากแรงถีบที่รุนแรงและการใช้งานที่ยุ่งยาก จึงผลิตออกมาเพียง 65,800 กระบอกเท่านั้น
M1903 Springfield rifle ปืนเวอร์ชั่น : M1903
บริษัท : SPRINGFIELD
ประเทศ : USA
กระสุน : .30-06 SPRINGFIELD
บรรจุกระสุน : 5 นัด
ระบบปฏิบัติการ : MANUALLY OPERATED , ROTATING BOLT
ระบบการยิง : BOLT ACTION
ระยะหวังผล : 200 เมตร
น้ำหนัก : 3.9 Kg
ฟังก์ชัน : กล้อง ZOOM ระยะไกล ประวัติ
ปืนไรเฟิลรุ่น M1903 สัญชาติอเมริกา ผลิตมาจากบริษัท SPRINGFIELD ปืนไรเฟิลที่ถูกใช้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 -2 ปืนนี้มีรูปร่างจะคล้ายๆ ปืน M1 GARAND ซึ่งเป็นปืนที่ใช้ในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เหมือนกัน ปืนนี้มีระยะหวังผล 200 หลา จากระยะยิงไกลสุดที่ 500 หลา มีความแม่นยำที่สูงมากๆ ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ปืนนี้จะใช้โดยพลแม่นปืนส่วนใหญ่ ใช้กระสุนขนาด .30-06 SPRINGFIELD ซึ่งเป็นกระสุนของบริษัท SPRINGFIELD โดยเฉพาะเลย พลังทำลายก็ถือว่าสูงมากกว่ากระสุน 7.62 x 51 NATO ของปืน MR7 อีก โดยกระสุนของมันมีแรงปะทะประมาณ 3261-3793 จุล ซึ่งแรงมากๆ ระบบการยิงแบบ BOLT ACTION ต้องดึงคันรั้งทุกครั้งก่อนยิงแต่ละนัด แถมยังบรรจุกระสุนน้อย เพียงแค่ 5 นัด ปืนนี้ยังถือว่าเก่าแก่มาก บรรจุกระสุนเป็นคลิปกระสุนบรรจุไว้บนตัวปืน Lee Enfield ประเภท : Service Rifleผู้ใช้ : อังกฤษประจำการปี : 1907-ปัจจุบัน (ใช้ในการฝึก)ผู้ออกแบบ : James Paris Leeจำนวนผลิต : ประมาณ 7,500,000 กระบอกหนัก : 3.9 kg.ยาว : 1,130 mm.ขนาดกระสุน : .303 cal.บรรจุ : 10 นัด Stripper Clip 2 Clipระบบการทำงาน : Bolt-actionอัตรายิง : 20-30 นัด/นาทีระยะหวังผล : 914 m. ไกลสุด 1828 m.ประวัติ ปืนไรเฟิลประจำกองทัพบกอังกฤษมีใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่1จนถึงปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่เป็นไรเฟิลลูกเลื่อนเหมือนของเยอรมัน ปืนไรเฟิลประจำกองทัพบกอังกฤษมีใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่1จนถึงปัจจุบันก็ยังใช้กันอยู่เป็นไรเฟิลลูกเลื่อนเหมือนของเยอรมันแต่บรรจุกระสุนได้มากกว่าคือ10นัดโดยตลับกระสุนจะแบ่งเป็น2ตลับๆละ5นัดใช้กระสุนขนาด .303 British Mosin Nagant ประเภท : Service Rifleผู้ใช้ : โซเวียตประจำการปี : 1891-1998ผู้ออกแบบ : Cap.Sergei Mosinจำนวนผลิต : ประมาณ 37,000,000 กระบอกหนัก : 4.05 kg.ยาว : 131.8 cm.ขนาดกระสุน : 7.62x54R.บรรจุ : 5 นัด Stripper Clipระบบการทำงาน : Bolt-actionอัตรายิง : 15นัด/นาทีระยะหวังผล : 548.64 m. ไกลสุด 1828.8 m. ประวัติ ปืนไรเฟิลของทหารกองทัพแดงมีความแม่นยำสูงมากในการยิงระยะไกลแต่มีอัตราการยิงต่อเนื่องต่ำทำให้ลำบากในการต่อสู้ระยะประชิดใช้ตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 ถึงปลายปี1998 Samozaryadnaya Vintovka Tokareva SVT-40 ประเภท : Rifleผู้ใช้ : โซเวียตประจำการปี : 1941-1945จำนวนผลิต : ประมาณ1,600,000 กระบอกหนัก : 3.85 kg.ยาว : ลำกล้องยาว1,226/610mm.ขนาดกระสุน : 7.62x54 mm.บรรจุ : 10 นัด Detachable Box Magazineระบบการทำงาน : Gas operatedอัตรายิง : 840นัด/นาทีระยะหวังผล : 500 m. ประวัติ ปืนไรเฟิลชนิดนี้เป็นการอัพเกรดขนานใหญ่ของปืนไรเฟิลประจำกายของกองทัพแดงถึงแม้ว่าทหารจะไม่ได้รับการฝึกให้ใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพแต่ทหารนาซีก็ยอมรับในฐานะอาวุธที่มีความแม่นยำและพลังการทำลายสูง Gewehr 43
ประเภท : Semi-Automatic Rifle
ผู้ใช้ : เยอรมัน
หนัก : 4.1 kg.
ยาว : ลำกล้องยาว1,130/546mm.
ขนาดกระสุน : 7.92x57 mm. Mauser
บรรจุ : 10 นัดDetachable Box Magazine
ระบบการทำงาน : Gas-operated
ระยะหวังผล : 400 m. ประวัติ
ในช่วงต้นสงครามเยอรมันได้ผลิตปืน Gewehr 41 มา
แต่ไม่ได้รับความนิยมเพราะมีความยุ่งยากในการบรรจุกระสุนและเชื่อถือไม่ค่อยได้
หลังจากที่ได้ยึดปืน SVT-40ของโซเวียตมาได้
วิศวกรของเยอรมันได้สังเกตุการโหลดกระสุนด้วยแก๊สที่ดีเยี่ยมของ SVT-40
ทำให้พวกเขาได้นำระบบนั้นมาออกแบบ Gewehr 43
ทำให้มันโหลดกระสุนได้ง่ายและมีความแม่นยำสูงด้วย ปืนกลหนักและปืนอื่นๆ (Machine Gun & ปืนอื่นๆ)Ruchnoy Pulemyot Degtyaryova Pekhotnyi 28 ประเภท : Light Machine Gunผู้ใช้ : โซเวียตประจำการปี : 1928-1960ผู้ออกแบบ : Vasily Degtyarevหนัก : 9.12 kg.ยาว : ลำกล้องยาว1,270/604.5mm.ขนาดกระสุน : 7.62x54R.บรรจุ : 49 นัด(47 in practice)ระบบการทำงาน : Gas-Operatedอัตรายิง : 500-600นัด/นาทีระยะหวังผล : ~800 m. ประวัติ ปืนกลรุ่นนี้ถือเป็นยอดในเรื่องความเรียบง่ายและง่ายต่อการบำรุงรักษาแต่ขาตั้งของมันจะหักได้ง่ายถ้าถืออย่างไม่ระมัดระวังแต่มันก็เป็นปืนที่มีประสิทธิภาพมากในความแม่นยำและมีพลังการยิงสูง GSH-6-23M ปืนเวอร์ชั่น : GSH-6-23M
ประเทศ : SOVIET
ประเภทปืน : GATLING GUN
กระสุน : 23 x 115 MM
เเรงปะทะกระสุน : 40000-50000 JOULE
บรรจุกระสุน : หรือบรรจุกระสุนจากสายพานที่ต่อออกมาจากกระเป๋าสะพายขนาด 2,500 นัด
ระบบปฏิบัติการ : GAS OPERATED
ระบบการยิง : FULL AUTO
อัตราการยิง : 10000 RPM
ความเร็วปากกระบอก : 715 เมตร/นาที
น้ำหนัก : 73 Kg.
ความสามารถพิเศษ : เจาะเกราะ ยิงทะลุรถถังได้ ปืนกระบอกนี้ ปืนใหญ่อากาศ ขนาด 23 มม. GSh-6-23M .......อัตราพ่นกระสุน 10000 นัด / นาที MG 42ผู้ผลิต : ประเทศเยอรมัน
ความยาวของปืน : 1,220 มม.
ลำกล้องยาว : 533 มม.
น้ำหนักปืนเปล่า : 11.6 กก.
กระสุนขนาด : 7.92x57 Mauser
บรรจุ : สายกระสุน สายละ 50 นัด double drum magazineจุ75
ระยะยิงไกล : 2000 ม.
อัตราการยิง : 1200-1500 นัด/นาที
ระยะหวังผลประมาณ : 1000 เมตร
ทำงานโดยระบบ : Short-recoil operated
ระบบการ : Semi-automaticและFull-automatic
พัฒนาโดยบริษัท : Metall und Lackierwarenfabrik Johannes Grossfuss AG
โรงงานที่ผลิต : Grossfuss, Mauser-Werke, Gustloff-Werke ประวัติปืนกล Machinengewehr MG 42 หรือปืนกลสแปนเดา (Spandau) นี้ เกิดขึ้นจากแนวความคิดของกองทัพเยอรมัน ที่ต้องการปืนกลที่มีประสิทธิภาพสูง มีสายการผลิตที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน ผู้ที่รับแนวคิดนี้ไปทำให้เป็นความจริงคือ Dr. Grunow ผู้ซึ่งเป็นนักอุตสาหกรรมที่มีชื่อเสียงของเยอรมัน ในการผลิตแบบสายการผลิตจำนวนมาก ผลที่ได้ก็คือ ปืนกลที่ได้ชื่อว่า เป็นปืนกลที่ดีที่สุดในสงครามโลกครั้งที่สองชนิดหนึ่ง
ปืนกล MG 42 นำเอาปืนกลแบบ MG 34 มาประกอบใหม่ ใช้หลักการเดิม คือการผสมผสานระหว่างแรงสะท้อนของกระสุน และระบบแก๊ส ปืนกล MG 42 ใช้ระบบส่งกระสุนขนาด 7.92 มม. เหมือนปืนกล MG 34 คือใช้ได้ทั้งการใช้สายกระสุนขนาด 50 นัด และกล่องบรรจุกระสุนที่เรียกว่า ดรัม (Drum) ซึ่งดรัมนี้มสองแบบ คือ แบบดรัมเดียว และสองดรัมติดกัน มีอัตราการยิง 1200 นัดต่อนาที ระยะยิงไกลถึง 2,000 ม. หรือ 2 กม.
ปืนกล MG 42 มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในกองทัพเยอรมัน แม้ว่าจะมีปัญหาเกี่ยวกับการสั่นของตัวปืน ขณะทำการยิง ส่งผลถึงความแม่นยำของการยิงก็ตาม มันถูกใช้อย่างแพร่หลายจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง และกลายเป็นต้นแบบของปืนกลยุคใหม่อย่างเช่น ปืนกล M 60 ของกองทัพสหรัฐอเมริกา
ส่วนใหญ่มักยิงเป็นชุด ชุดละไม่เกิน 50 นัด มากกว่าใช้ยิงกราด เพราะว่ายิงเร็วมาก ทำให้นอกจากกระสุนจะหมดเร็วแล้วยังทำให้ปืน Overheat ได้ง่าย (ทหารเยอรมันกลัว MG42 ร้อน มากกว่ากระสุนหมด) แต่ก็แก้ได้ด้วยการเปลี่ยนลำกล้องที่ทำได้อย่างรวดเร็ว (ประมาณ 10-15 วิ) MG34 ผู้ผลิต : ประเทศเยอรมัน
ความยาวของปืน : 1,220 มม.
ลำกล้องยาว : 628 มม.
น้ำหนักปืนเปล่า : 12.1 กก.
กระสุนขนาด : 7.92 มม.
บรรจุสายกระสุน : สายละ 50 นัด
ระยะยิง : ไกล2000 ม.
ประวัติ
ปืนกล Machinengewehr MG 34 นี้ บางคนจัดให้เป็นปืนกลเบา (Light machine gun) แต่บางตำราก็จัดให้เป็นปืนกลหนัก (Heavy machine gun) ปืนกลรุ่นี้ผลิตโดย Louis Stange จากบริษัท Rhinemetall และบริษัท Mauser ของเยอรมันในคราวเดียวกัน ซึ่งการถือกำเนิดปืนกล MG 34 ในปี 1934 นี้ ถือเป็นการก่อกำเนิดของอาวุธปืนกลสมัยใหม่ ในกองทัพเยอรมันเลยทีเดียว
การทำงานของปืนกล MG 34 นี้ ใช้การทำงานผสมผสานระหว่าง การใช้แรงสะท้อนถอยหลังของดินปืน และแก๊ส ในการยิงแต่ละครั้ง นับเป็นการผสมผสาน ที่ไม่ค่อยจะมีใช้กัน ในระบบการยิงของปืนกลในยุคสมัยนั้น และถือเป็นความสำเร็จอันยอดเยี่ยมของการประดิษฐ์ระบบการยิงด้วยวิธีนี้ของ Louis ผู้ผลิตปืนกล MG 34
ปืนกล MG 34 ใช้ระบบส่งกระสุนขนาด 7.92 มม. ได้ทั้งการใช้สายกระสุน และกล่องบรรจุกระสุนที่เรียกว่า ดรัม (Drum) ซึ่งดรัมนี้มีสองแบบ คือ แบบดรัมเดียว และสองดรัมติดกัน มีอัตราการยิง 800-900 นัดต่อนาที ระยะยิงไกลถึง 2,000 ม. หรือ 2 กม.
ปืนกล MG 34 มีการใช้กันอย่างแพร่หลายในกองทัพเยอรมัน แม้ว่าปืนกลรุ่นใหม่อย่าง MG 42 จะเกิดขึ้นมาในปี 1942 และมีประสิทธิภาพที่ดีกว่า MG 34 แต่ MG 34 ก็เป็นปืนกลที่ทหารเยอรมันยังคงใช้อยู่ทุกแนวรบ จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง USSR M1941
รุ่น : USSR M1941 50mm
ชนิด : เครื่องยิงลูกระเบิด
ความยาว : 63 cm
น้ำหนัก : 9.3 kg
ระยะหวังผล : 800 ม.
องศาแนวตั้ง : + 40 or + 75 องศา
องศาแนวขวาง : 9 or 16 องศา
กระสุน : 50mm
น้ำหนักกระสุน : 0.85 kg German leGrw 36
รุ่น : German leGrw 36
ชนิด : เครื่องยิงลูกระเบิด
น้ำหนัก : 14 kg
ความยาว : 465 mm
องศาแนวขวาง : 33องศา
องศาแนวตั้ง : 42 องศา to 90 องศา
กระสุน : 50 mm
ระยะหวังผล : 510 ม. Bazooka M1A1
ประเภท : Recoilless Rocket Antitank Weaponผู้ใช้ : สหรัฐฯผู้ออกแบบ : กองทัพบกสหรัฐประจำการปี : 1942-ปัจจุบัน (ในบางประเทศ)หนัก : 6.8 kg.ยาว 137 cm.ขนาดลำกล้อง : 66 mm.บรรจุ : 1 นัดระยะหวังผล : ไกลสุด 365 m. ใกล้สุด 135 m. ข้อมูลของปืน เครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง Bazooka ของกองทัพสหรัฐฯ แรกเริ่มเดิมทีนาย Henry Mohaupt ได้ประดิษฐ์ระเบิดต่อสู้รถถังแบบใช้ดินโพรงขึ้นมา
ซึ่งมีอำนาจการเจาะเกราะได้ลึกถึง 100 มม.หรือประมาณ 4 นิ้ว แต่เนื่องจากมันมีน้ำหนักมากจนนำไปใช้การได้ลำบากก็เลยไม่เป็นที่นิยมมากนัก
จนต่อมาพ.อ.Leslie A. Skinner และร.ท.Edward G. Uhl ก็ได้นำระเบิดแบบนี้มาปรับปรุงใช้กับเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถังที่ประดิษฐ์ขึ้นมา
และมีการเรียกคจตถ.รุ่นนี้ว่า Rocket Launcher, M1A1 ซึ่งมีลำกล้องกว้าง 2.36 นิ้วและยาว 54 นิ้ว หัวรบบรรจุดินโพรงหนัก 1.59 กก.
ระยะหวังผล 150 หลา ทำการยิงด้วยการประทับบ่า ใช้การจุดชนวนด้วยระบบ Magneto โดยใช้แบตเตอรีขนาด 1.5 V จำนวน 2 ก้อน
และก็ได้มีการพัฒนารุ่นต่างๆต่อมาอีกหลายรุ่น มาจนถึงปัจจุบัน PIAT (Projector Infantry, Anti-Tank)
ประเภท : Recoilless Rocket Antitank Weaponผู้ใช้ : อังกฤษประจำการปี : 1942-1950ผู้ออกแบบ : ICI Ltd., various othersหนัก : 14.4 kg.ยาว : 990 mm.ขนาดกระสุน : Infantry Projector, AT, Mk 3/Lบรรจุ : 1 นัดระยะหวังผล : 110 m. ไกลสุด 320 m.ข้อมูลปืนต่อสู้รถถังของกองทัพบกอังกฤษไม่เป็นที่นิยมมากนักเนื่องจากมี นน. มากความแม่นยำต่ำระยะหว้งผลไม่ไกลมากนักและมีความยุ่งยากในการยิงทหารจึงนิยมใช้ปืนM1A1 Bazookaมากกว่า
Panzerfaust อาวุธทุกฝ่ายนาซีใช้ต่อต้านรถถังโดยการยิงลูกระเบิดใส่รถถังหรือยานหุ้มเกราะ
มีอำนาจในการทำลายสูงแต่ไม่เหมาะกับการยิงใส่บุคคล
และสามารถยิงได้แค่ครั้งเดียว
แต่ปืนนี้ก็เป็นต้นแบบให้ปืนต่อสู้รถถังแบบ RPG-2 หรือ RPG-7
ซึ่งเป็นเครื่องยิงจรวดประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งเช่นเดียวกับจรวด LAW M72 (LAW : Light Anti-tank Weapon) ที่ยังมีใช้ในปัจจุบัน โดย Panzerfaust นั้นมีน้ำหนักหัวรบ (Warhead) 3 กก. โดยในหัวรบจะบรรจุดินโพรง (Shaped Charge) และดินระเบิดแรงสูงไว้ 800 กรัมมีอำนาจทะลุทะลวงแผ่นเหล็กได้ลึกถึง 200 มม. ส่วนท่อยิง (Tube) จะบรรจุดินดำไว้เพื่อใช้ขับดันจรวด มีระยะพิสัยทำการยิงสูงสุด 250 เมตร (Panzerfaust 250) Panzerchrek ปืน Raketenpanzerbuchse(Panzerchrek)
เมื่อเยอรมันสามารถยึดปืนบาซูก้าจากอเมริกาได้ในศึกที่ตูนีเซีย ในปี 1943
วิศวกรของเยอรมันก็วิเคราะห์และลอกแบบปืนบาซูก้า โดยทันที่
ในไม่ช้าเยอรมันก็มีปืนต่อสู้รถถังก็คือRaketenpanzerbuchse 43
มันมีชื่อเล่นๆว่าPanzerchrekโดยจะยิงจรวดขนาด3.46นิ้ว
และมีระยะหวังผลกว่า 160 หลา
จากนั้นมันก็เป็นฝันร้ายของเหล่าผู้บังคับรถถังฝ่ายพันธมิตร
จนต้องมีการเสริมเกราะเพื่อที่จะรับมือกับมัน M2 FLAMETHROWER
ปืนเวอร์ชั่น : M2 FLAMETHROWER
ประเทศ : USA
ปีประจำการในกองทัพ : 1943
กระสุน : 2 (2 gal) Gasoline tanks (fuel) , 1 Nitrogen tank (propellant)
น้ำหนัก : 19.5 kg. , 30.8 kg.
ระยะหวังผล : 20 เมตร
ระยะยิงไกลสุด : 40 เมตร
ปืนรุ่นอื่นๆ : M2A1-7
ประวัติ
เป็นปืนพ่นไฟที่บรรจุถังน้ำมันแก็สโซลีน 2 แกลอน กับ ถังไนโตรเจน อีก 1 ซึ่งมีน้ำหนักที่หนักมาก แทบจะต้องเดินยิงเลยล่ะ จะนิยมใช้กับพวกทหารอเมริกันนั้นเองไว้ใช้ปราบปรามข้าศึก และเผาผลาญเป้าหมายให้สิ้นซาก และใช้เผาผลาญพวกต้นไม้ ตามหญ้าต่างๆ รวมไปถึงฟางข้าวได้ด้วยมันมีอุณหภูมิความร้อนในการทำลายเผาผลาญสูงถึง 1000 องศาเซลเซียส เลยทีเดียวซึ่งสามารถเผาข้าศึกจนไหม้เกรียมได้อย่างสบายเลยล่ะด้วยระยะยิงหวังผลถึง 20 เมตร ด้วยสิ ข้าศึกคงจะหนีจากการโดนยิงได้ยากแน่ๆ ถึงจะหลบก็แทบจะหลบยากเลยล่ะ
เคยผ่านการใช้รบในสงครามโลกครั้งที่ 2 สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม มาแล้ว
M1919 ปืนเวอร์ชั่น : M1919
ประเทศ : USA
ปีประจำการ : 1919–1970
เเม็กกาซีน : 250 นัด , หรือบรรจุกระสุนจากสายพานที่ต่อออกมาจากกระเป๋าสะพายขนาด 2,500 นัด
ระบบปฏิบัติการ : Recoil-operated/short-recoil operation
ระบบการยิง : FULL AUTO
อัตราการยิง : 400–600 RPM
น้ำหนัก : 14 kg - 15 kg
ระยะหวังผล : 1400 เมตรกระสุน : .30-06 (7.62x63 mm)
แรงปะทะกระสุน : 3800-4500 จุล
กระสุน : 7.62x51mm NATO
แรงปะทะกระสุน : 3300-4100 จุล
กระสุน : .303 British
แรงปะทะกระสุน : 3200-3600 จุล
กระสุน : 7.92x57mm Mauser
แรงปะทะกระสุน : 4000-5000 จุลประวัติ ปืน กลเบา Browning .30 Caliber M1919 ใช้สายกระสุนขนาด .30-06 ในการทำการยิง ใช้ระบบ Recoil-operated ในการทำการยิง โหมดยิงช้ายิงได้ 400/นาที ยิงเร็ว 600/นาที มีญาติคือปืนกลหนัก Browning M2HB หรือปืนกล 93 นั่นละครับ แต่รุ่นนี้ใช้กระสุนขนาด 12.7 มม.หรือ .50 BMG ใช้สายกระสุนในการบรรจุและทำการยิงครับ M2HB ปืนเวอร์ชั่น : M2HB
ประเทศ : USA
ผลิตปี : 1918
ปีประจาการกองทัพ : 1921-1933
ประเภทปืน : HEAVY MACHINE GUN
กระสุน : .50 BMG
เเรงปะทะกระสุน : 20000 JOULE
บรรจุกระสุน : บรรจุกระสุนจากสายพานที่ต่อออกมาจากกระเป๋าสะพายขนาด 2,500 นัด
ระบบปฏิบัติการ : SHORT RECOIL OPERATED
ระบบการยิง : FULL AUTO
M2HB = อัตราการยิง : 450-600 RPM
M2 AIRCRAFT GUN = อัตราการยิง : 750-850 RPM
น้ำหนัก : 38 Kg. - 58 Kg.
ความสามารถพิเศษ : เจาะเกราะ ยิงทะลุรถถังได้
ฟังก์ชั่น : ติดตั้งกับยานพาหนะต่างๆ เฮลิคอปเตอร์ เครื่องบินเจท รถยนต์ทหาร ป้อมทหาร
ปืนรุ่นอื่นๆ : M2 AIRCRAFT GUN , M1921 , M2 , M3 , M2B , M2B-QCB , M2 E-50ประวัติ
ปืน กลหนัก Browning M2HB หรือปืนกล 93 ใช้กระสุนขนาด 12.7 มม.หรือ .50 BMG นิยมใช้ติดตั้งบนรถถังหรือรถจี๊ป เนื่องจากเป็นปืนกลอเนกประสงค์สามารถใช้ยิงต่อสู้อากาศยานหรือทำลายล้างข้า ศึกบนภาคพื้นดินได้สบายมาก เข้าประจำการตั้งแต่ปีพ.ศ. 2493
ป.ล. ปืนกล 93 ในภาพเป็นแบบลำกล้องคู่ เวลายิงจะมีเสียงที่ดังมากแถมความแม่นยำก็ต่ำมาก เอาไว้ยิง:Xกระสุนอย่างเดียว
Browning M2HB ปืนกลหนัก ใช้กระสุนขนาด .50 BMG หรือ 12.7 มม. ปืนนี่อเมริกาเอาไว้ถล่มรถถัง หรือสอยเครื่องบิน
Bren LMG ประเภท : Light machine gunผู้ใช้ : อังกฤษประจำการปี : 1938-1958หนัก : 10.35kg.ยาว : ลำกล้องยาว1,156/653mm.ขนาดกระสุน : .303 calบรรจุ -30 นัด Detachable Box Magazine -100 นัด Pan Magazineระบบการทำงาน : Gas-operatedอัตรายิง : 500-520นัด/นาทีระยะหวังผล : 550 m. ประวัติ ปืนกลสนับสนุนชั้นยอดของกองทัพบกอังกฤษถึงแม้ว่ามันจะมีขนาดใหญ่โตทำให้ความคล่องตัวน้อยลงแต่ในการนอนยิงมันจะมีความแม่นยำสูงมาก
M-2 Browning machine gun ประเภท : Machine Gun (MG)ผู้ใช้ : สหรัฐฯปีประจำการ : 1932-ปัจจุบันหนัก : 38kg.ยาว/ลำกล้องยาว : 1,650/1,140mm.ขนาดกระสุน : .50BMGระบบการทำงาน : Recoil Operationอัตรายิง : 550 นัด/นาทีระยะหวังผล : 1,800 m.ฝ่าย : อังกฤษ ข้อมูลปืนกลชนิดนี้ถูกคิดขึ้นเพื่อมาแทนปืนกลแบบ Vickersในช่วงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งท1ปืนกลชนิดนี้จะติดอยู่กับยานพาหนะซะเป็นส่วนมากเนื่องจากมี นน. มากในการขนย้ายจึงทำได้ลำบากแต่มีพลังการทำลายสูงมากตอนนี้สาระเต็มอิ่มพอแล้วก็ลากันไปก่อนนะครับสวัสดีครับ
Credit:Bossbaz
แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย blood1123 เมื่อ 2013-4-26 16:20
[เยอะมาก][สาระ]ยินดีต้อนรับสู่"คลังแสง"(อาวุธสงครามโลกครั้งที่2)