แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Darkness_knight เมื่อ 2013-10-11 18:30
ชื่อ-สกุล : Rayya Crow Hadrian [ เรย์ย่า โคล์ว ฮาเดรียน ] ชื่อเล่น :Ray [ เรย์ ]
เพศ : หญิง [ Female ] อายุ :15 ½ ปี
เผ่า : มาโครชิน [ Fabled ]
สังกัด : Unknown
ประวัติ : เป็นเด็กที่กำเนิดมาจากความรักของสองเผ่าพันธุ์ที่เป็นอริกันมาช้านานหนึ่งคือเผ่าที่กำเนิดมาจากความมืดและอาศัยอยู่ในห้วงแห่งความมืดนิรันดร์ผู้ที่คอยกระจายและมอบเมล็ดพันธ์แห่งความสิ้นหวังให้แก่เผ่าอื่นอีกหนึ่งคือเผ่าที่กำเนิดมาเพื่อปกป้องและมอบความหวังให้แก่ประชาผู้ปฏิบัติหน้าที่อันชอบธรรม เพื่อนำพาความสุขมาสู่ชนเผ่าต่างๆ
แล้วเวลาก็ล่วงเลยผ่านจากเรื่องราวความรักเล็กๆที่ทั้งคู่มีให้กันจนเชื้อชาติเผ่าพันธุ์มิอาจขวางกั้นก็ได้ให้กำเนิดเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นมาเด็กน้อยผู้มีทั้งพลังของความมืดและแสงสว่างอยู่ในตัว พวกเขาตั้งชื่อให้เธอว่า “เรย์ย่า โคล์ว ฮาเดรียน” อันมีความหมายว่า “แสงสว่างที่อยู่ในความมืด” โดยที่ผู้เป็นบิดาได้เก็บงำความลับของตนที่ว่าตนนั้นเป็นปีศาจ ซึ่งอยู่ในเผ่าที่จัดว่าเก่าแก่เผ่าหนึ่งปีศาจในเผ่านี้จะมีอายุที่ยืนยาว และมีความหยิ่งทระนงในศักดิ์ศรีเผ่าของตนจึงมิเคยมีทายาทกับเผ่าอื่น เป็นผลทำให้เลือดปีศาจในตัวนั้นมีความเข้มขนมากมิยอมเอ่ยปากบอกลูกสาวของตน อีกทั้งยังสะกดพลังปีศาจนั้นเอาไว้ด้วยเพื่อมิให้ผู้อื่นล่วงรู้ว่าตนนั้นเป็นปีศาจส่วนมารดานั้นแม้ปากจะอ้างแก่ผู้เป็นสามีและบุตรสาวว่าตนเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาสามัญแต่หากความจริงแล้วเธอเป็นเผ่าเทพที่เป็นลูกของเทพผู้นำพาความตายและเทพีแห่งสายน้ำ
เด็กหญิงเติมโตมาพร้อมกับความรักที่พ่อแ-ม่อบให้พร้อมกับการดูแลเอาใจใส่อบรมเลี้ยงดูเธอเป็นอย่างดี ในฐานะของ “ มนุษย์ธรรมดา ” คนหนึ่งกระทั่งเด็กหญิงโตขึ้นจนมีอายุได้ 9 ปีพ่อของเธอเริ่มทำตัวเหินห่าง ไม่ยอมเข้ามาเล่นกันกับเด็กหญิงเหมือนดังอดีตที่ผ่านมา เมื่อเธอเดินเข้าไปหาก็จะถูกผู้เป็นบิดาไล่ออกมาทุกครั้งไป พอนานวันเข้าเด็กหญิงก็เริ่มเกิดความสงสัย ว่าเหตุใดพ่อของตนจึงทำตัวเช่นนั้น เธอจึงนำความสงสัยนี้ไปถามแก่ผู้เป็นมารดาหากแต่สิ่งที่มารดาตอบมามีเพียงแค่รอยยิ้มจางๆบนใบหน้าเท่านั้นคืนนั้นหลังจากที่เด็กหญิงผล็อยหลับไป ผู้เป็นแม่ได้เดินตรงเข้าไปยังห้องของสามีของตนเธอผลักประตูเข้าไปโดยมิเอ่ยวาจาอันใดฝ่ายเจ้าของห้องเมื่อได้ยินเสียงเปิดประตูก็เตรียมเอ่ยปากไล่เพราะคิดว่าคนที่เปิดประตูเข้ามาคงจะเป็นลูกสาวของตนแต่เมื่อเห็นว่าผู้ทีเดินเข้ามาในคือภรรยาของตนเขาก็กลืนสิ่งที่จะพูดลงไปพร้อมถอนหายใจออกมาเบาๆ หญิงสาวที่ขึ้นชื่อว่าเป็นภรรยาของเจ้าของห้องค่อยๆปิดประตูห้องอย่างช้าๆและเงียบที่สุดเพราะเกรงว่าเสียงที่เล็ดลอกออกไปนั้นจะทำให้ลูกของตนตื่น แล้วจากนั้นเธอก็เพ่งมองผ่านความมืดไปยังร่างที่นั่งอยู่บนเตียง“ท่านไม่เป็นอะไรนะ?” เธอเอ่ยถามเจ้าของร่างที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยความเป็นห่วง“อ่า....จะบอกว่าไม่เป็นไรคงไม่ได้สินะ” เขาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงที่แฝงความเจ็บปวดและแน่นอนภรรยาของเขาสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวดที่แฝงมากับเสียงนั้นได้ เธอจึงเดินเขาไปหาผู้ที่เป็นสามีพร้อมนั่งลงข้างๆเขา “แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ท่านพอจะเล่าให้ข้าฟังได้ไหม? ” เธอเอ่ยถามสามรด้วยความเป็นห่วงยิ่ง “เฮ่ย...สิ่งที่ข้ากลัว มันกำลังจะเกิดขึ้นแล้วและมันยังเกิดขึ้นเร็วกว่าเวลาที่ข้าคาดการณ์เอาไว้มาก” เขาหันไปตอบภรรยา “สิ่งที่ท่านกลัว?.....” เธอถามกลัวด้วยน้ำเสียงปนความสงสัยสามีเอามือกุมขมับแล้วกล่าวตอบภรรยา “อ่าใช่สิ่งที่ข้ากลัว....เจ้าดูสิข้าสะกดพลังปีศาจของตัวเองไว้ไม่อยู่แล้ว ที่เป็นแบบนี้ก็แสดงว่า นายท่านได้เลือกข้ารับใช้ตนใหม่แล้ว และคนที่นายท่านเลือกก็คือข้าและข้าคงฝืนทำเป็นไม่รู้กับสิ่งนี้ได้ไม่นาน........” แล้วทั้งคู่ก็คุยกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ทั้งคืนจนถึงรุ่งเช้า และบทสนทนาสุดท้ายก่อนที่ภรรยาของเขาจะเดินออกไปจากห้องก็ทำให้ผู้เป็นสามีเกิดความทุกข์ใจขึ้นไม่น้อย“สิ่งที่จะเกิดยังไงมันก็ต้องเกิด ไม่ว่าจะเร็วหรือช้าแต่ท่านก็ไม่ควรที่จะเก็บตัวอยู่ในห้องเพียงอย่างเดียวและก็ไม่ควรทำตัวเหินห่างท่านรู้ไหมว่าท่านทำตัวแบบนี้ มันทำให้ลูกไม่สบายใจนะ” แล้วเขาเก็บเอาถ่อยคำนี้มาคนคิดตลอดทั้งวัน
จนกระทั่งเช้าวันต่อมามาถึงเขาก็ยอมเดินออกจากห้องแล้วก็เข้าไปคุยเล่นกับบุตรสาวเหมือนดังปกติ หากแต่ว่าเขาต้องใส่เสื้อคลุมตัวยาวที่แล้วนำฮูดคลุมศีษระไว้ตลอดเวลาเพื่อปิดบังความเปลี่ยนแปลงของร่างกายที่เกิดขึ้นไม่ให้ผู้ใดรู้ บุตรสาวของเขาก็ไม่ว่าอะไรแต่กลับยิ้มอย่างดีใจที่ผู้เป็นบิดายอมมาเล่นกับตนและด้วยเหตุนี้ก็ทำให้เด็กหญิงกลับมาเป็นเด็กที่ร่าเริงอีกครั้ง แต่พอสามอาทิตย์ให้หลังพ่อของเธอก็ไม่ยอมออกจากห้องมาเล่นกับเธออีกเลย และเมื่อผู้เป็นพ่อทำตัวเช่นนั้นก็เริ่มทำให้เด็กหญิงเป็นห่วงและกลายมาเป็นเด็กที่ไร้ความร่าเริงอีกครั้งหนึ่ง ผู้เป็นแ-ม่ มิอาจทนเห็นอาการเศร้าสร้อยของบุตรสาวไหวเลยโกหกออกไปว่าพ่อของเด็กหญิงกำลังประดิษฐ์บางสิ่งบางอย่างเพื่อเป็นของขวัญให้กับเธออยู่โดยปิดบังเหตุผลจริงๆที่ว่าพ่อของเด็กหญิงมิอาจควบคุมพลังปีศาจที่มีอยู่ในตัวได้อีกแล้ว หากออกมาก็กลัวว่าจะพลั้งมือฆ่าลูกของตนไป....
ในช่วงระยะหลังๆนี้ ทุกๆค่ำคืนจะมีเสียงกรีกร้องครวงครางอย่างโหยหวน ดั่งปีศาจร้ายผู้กระหายเลือดมาช้านาน เด็กน้อยกลัวเสียงนั่นจนมิอาจข่มตาให้หลับได้และคนในระแวกนั้นก็เช่นกันพวกเขาเริ่มทำพิธีขับไล่ปีศาจ ครึ่งปีผ่านไปเสียงครวงครางนั้นก็ยังเกิดขึ้นอยู่ทุกคืนและยังทวีความหน้ากลัวเพิ่มขึ้นทุกขณะและคืนหนึ่งปีศาจร้ายเจ้าของเสียงร้องกว่าครึ่งปีก็ได้ปรากฏแก่สายตาของทุกคนมันไล่ล่าฆ่าผู้คนในระแวกนั้นอย่างบ้าคลั่ง เรย์ย่าวิ่งหนีปีศาจร้ายอย่างสุดชีวิต พร้อมตะโกนเรียกหาผู้เป็นมารดาซึ่งตอนนี้อยู่ไหนเธอก็ไม่อาจรู้ได้ เธอวิ่ง วิ่งและวิ่งจนกระทั่งไปสะดุดก้อนหินเข้า เธอจึงล้มลง เจ้าปีศาจร้ายเดินมุ่งตรงช้าๆมาทางเธอ เด็กสาวเห็นเช่นนั้นจึงหลับตารอรับความตายที่จะมาถึงปีศาจร้ายเดินมาถึงตัวเธอแล้วมันบีบคอของเธอย่างแรงและยกตัวเธอขึ้นช้าๆเด็กหญิงพยายามดิ้นแต่ว่ายิ่งดิ้นเจ้าปีศาจก็ปีคอเธอแรงขึ้นและแน่นอนผลจากการกระทำเช่นนั้นย่อมทำให้เด็กหญิงขาดอากาศหายใจ เจ้าปีศาจเห็นว่าเธอหยุดดิ้นจึงโยนเธอทิ้งไปร่างของเธอลอยไปอย่างไร้น้ำหนักเข้าประทะกับกิ่งขนาดกลางที่หักเป็นปลายแหลมของต้นไม้ กิ่งนั้นทิ่มแทงทะลุตัวเธอ และนั่นก็ทำให้เธอกระอักเลือดออกมาลิ่มใหญ่ โลหิตไหลรินออกมาบริเวณบาดแผลที่ถูกกิ่งไม่ขนาดใหญ่แทงดังสายน้ำ สายตาเริ่มพร่ามัว ลมหายใจเริ่มขาดห่วงเธอจึงหลับตาลงด้วยเหตุที่รู้ว่าตัวเองไม่มีทางรอด สถานที่ปลายทางเมื่อเธอลืมตาตื่นอีกครั้งก็คงหนีไม่พ้นดินแดนหลังความตาย
เมื่อผู้เป็นมารดากลับมาสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของเธอนั้นคือสภาพหมู่บ้านที่ถูกเผาทำลาย พร้อมด้วยผู้คนที่นอนตายเกลื่อนกราด เมื่อเธอเห็นเช่นนั้นเธอจึงออกวิ่งพร้อมทั้งตระโกนร้องเรียกชื่อบุตรสาวอย่างสุดเสียงสายตามองซ้ายขวาหวังจะเจอผู้รอดชีวิต แล้วเธอก็มองเห็นบางสิ่งที่ตัวถูกกิ่งไม้แท่งติดกับต้นไม้ หากแต่ร่างนั้นเป็นร่างที่เธอคุ้นเคยและเมื่อเห็นเช่นนั้นเธอจึงเดินเข้าไปใกล้ๆร่างนั้น ซึ่งสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของเธอทำให้หัวใจของเธอนั้นแทบสลายเพราะร่างนั้นเป็นร่างอันไร้ลมหายใจของบุตรสาวของเธอเธอค่อยๆนำร่างนั้นลงมาแล้วโอบกอดไว้อย่างห่วงแหน น้ำตาก็เริ่มรินหลั่งพร้อมกับเสียงตะโกนร้องเรียกชื่อบุตรสาวที่ไม่มีทางกลับมาและด่าทอผู้ที่ทำเช่นนี้กับลูกของตน เธอร้องร้องออกมาจนเวลาผ่านไปนานเท่าไรก็มิอาจทราบ แล้วเธอก็ตั้งสติได้อีกครั้งพรางนึกในใจว่า จะต้องไปนำวิญญาณของบุตรสาวกลับมาจากดินแดนแดนความตาย.... เมื่อคิดได้เช่นนั้นเธอจึงค่อยๆวางร่างบุตรสาวลงอย่างเบามือ แล้วเปิดประตูไปสู่ดินแดนแห่งความตายซึ่งก็มิใช่เรื่องยากสำหรับเธอผู้มีเชื้อสายของเทพผู้นำพาความตาย เธอหันหลับมามองบุตรสาวอีกครั้งแล้วกล่าวเบาๆ “รออยู่นี่นะจ๊ะ แม่จะไปเอาวิญญาณของลูกกลับมา” แล้วเธอก็ก้าวเข้าไปในประตูที่นำไปสู่ดินแดนแห่งผู้วายชนม์เพื่อนำพาดวงวิญญาณของบุตรสาวกลับมาแม้ว่าเธอจะรู้ว่ามันผิดกฎก็ตามแต่เธอก็ทำ และแล้วเธอก็นำวิญญาณของบุตรสาวออกมาจากดินแดนแห่งผู้วายชนม์ได้สำเร็จ แล้วก็ได้ชัดนำดวงวิญญาณนั้นเข้าสู่เจ้าของร่างซึ่งเจ้าขอร่างนั้นหาใช่ใครอื่นคือบุตรสาวของตนนั่นเอง หากแต่ว่าเรื่องที่เรย์ย่าเผชิญในโลกหลังความตายนั้นจะเป็นเพื่อความทรงจำที่ขมุบขมัวมิอาจบอกได้ว่าเรื่องนั้นเป็นจริงหรือเพียงความฝัน
สามวันผ่านไปเด็กญิงลืมตาตื่นพร้อมกับความทรงทำที่ขุ่นมัวเกี่ยวกับโลกหลังความตาย เธอกวาดตามองไปรอบๆแล้วพบกับทิวทัศน์ที่เปลี่ยนไปสถานที่ที่เธออยู่ตอนนี้นั้นคือถ้ำที่อยู่หลังน้ำตก เธอพยายามขยับตัวแต่เมื่อเธอทำเช่นนั้นความเจ็บปวดจากบาดแผลก็แล่นเข้ามาจนทำให้เธอแทบคลั่งจนเผลอกรีดร้องออกมาพร้อมกับน้ำใสๆที่ไหลซึมออกมาจากดวงตาผู้เป็นแม่เมื่อได้ยินเสียงนั้นก็รีบวิ่งฝ่าสายน้ำตกเข้ามาดูบุตรสาวของตนเธอยิ้มด้วยความปิติยินดีเพราะว่าผู้ที่เป็นดั่งแก้วตาดวงใจของเธอนั้นได้ฝืนตื่นจากการหลับไหลอย่างไม่ได้สติมานานถึงสามวันผู้เป็นมารดาจึงวิ่งเข้าไปโผลกอดบุตรสาวและด้วยความลืมตัวจึงกอดบุตรสาวนั้นแน่นจนเกินไปจนแผลบาดที่บริเวณหน้าท้องของบุตรสาวมีโลหิตสีแดงฉานไหลซึมออกมาเรย์ย่าร้องออกมาอีกครั้ง ผู้เป็นแม่จึงสะดุ้งเล็กน้อยแล้วค่อยๆคลายกอดพร้อมกันกล่าวขอโทษบุตรสาวเด็กหญิงพยักหน้าให้เบาๆและกวาดตามองรอบๆอีกครั้ง ก่อนที่จะขมวดคิ้วมองหน้ามารดาแล้วถามว่าบิดาของตนอยู่หนใดผู้เป็นแม่หน้าซีดลงเล็กน้อยแล้วก็ยิ้มบางๆอย่างอ่อนโยนให้แก่ลูกของตนเธอไม่ได้ตอบคำถามของบุตรสาวแต่เดินไปภายนอกอีกครั้งและเข้ามาพร้อมกับผลไม้มากมายหลายชนิด จากนั้นเธอก็ยิ้มขึ้นอีกครั้งแล้วยื่นผลไม้ชนิดชนิดหนึ่งให้แก่บุตรสาวเด็กหญิงรับไว้แล้วค่อยๆทานผลไม้นั่นช้าและในใจก็คิดเหตุที่ทำให้มารดามิตอบคำถามของตนคงเป็นเพราะว่าผู้เป็นบิดาคงไม่อยู่ในโลกใบนี้อีกแล้วแต่ในส่วนลึกก็คิดว่าอาจจะไม่เป็นจริงตามที่ตนคาดก็เป็นไปได้
เรย์ย่าถามแม่ของเธอทุกครั้งที่มีโอกาสด้วยคำถามเดิมที่ว่าพ่อของตนนั้นอยู่ไหน แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบจากผู้เป็นมารดาเลยซักครั้งเดียวเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งเด็กสาวก็แสดงความเศร้าออกมาอย่างเห็นได้ชัดเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะเธอคิดว่าผู้เป็นพ่อของตนนั้นได้ตายไปแล้วจริงๆและแน่นอนผู้เป็นแม่ยอมทนไม่ไหวที่เห็นอากาศโศกเศร้านั้นเธอลองคิดใคร่ครวญมาหลายครั้งแล้วว่าควรจะบอกความจริงแก่บุตรสาวดีหรือไม่แต่แล้วสิ่งที่เธอเป็นกังวลก็มาถึง หลังจากวันนั้นวันที่เธอยอมแหกกฎไปนำวิญญาณของบุตรสาวกลับมาเธอก็เตรียมใจที่จะรับโทษที่ตัวเองก่อขึ้น แต่ก็ไม่ได้คิดวันวันนั้นมันจะมาถึงเร็วขนาดนี้เธอเหลือเวลาที่จะอยู่กับบุตรสาวอีกเพียงวันเดียวเท่านั้น
คืนนั้นแม่ของเรย์ย่าไม่ได้หลับเลยทั้งคือ เพราะเอาแต่คิดว่าจะเอาอย่างไรกับลูกสาวของตนดี จะบอกความจริงทั้งหมดหรือปิดความจริงนั้นไว้แล้วตนก็หายไปเฉยๆ พอเช้าวันรุ่งขึ้นหลังจากที่เธอคิดใคร่ครวญเป็นอย่างดีว่าหนทางใดที่จะทำให้ลูกของเธอเสียงใจน้อยที่สุด และทางที่เธอเลือกนั้นก็คือบอกความจริงทั้งหมดแก่บุตรสาวเธอจึงเดินไปปลุกบุตรสาวของเธอที่ยังไม่ตื่นแล้วชวนออกไปเดินเล่นภายนอกพร้อมกันนั้นระหว่างทางผู้เป็นแม่ได้เล่าความจริงที่ทั้งหมดทั้งมวลให้ลูกของตนฟังด้วยสีหน้าที่จริงจังเมื่อเรย์ย่าได้ฟังความจริงจากปากแม่ของเธอก็อึ้งไปเล็กน้อยแล้วหัวเราะออกมาเบาๆบอกว่านิทานที่แม่เล่าให้ฟังนั้นสนุกมากหากแต่ผู้เป็นแม่ก็ย้ำว่าเรื่องทีเล่าให้เธอฟังทั้งหมดนั้นเป็นความจริงไม่ใช่เรื่องที่แต่ขึ้นประการใด
เช้าวันถัดมา เมื่อเรย์ย่าตื่นขึ้น ก็ต้องขมวดคิ้วเพราะว่ามีบางสิ่งผิดแปลกไปหากเป็นเช้าของวันในอดีตแม่จะเป็นคนมาปลุกเธอให้ตื่นจากนิทราแต่ไม่ใช่สำหรับวันนี้ เธอกวาดตามองไปรอบๆแต่ก็ไม่พบวี่แววของผู้เป็นมารดาแต่ดวงตาของเธอก็ไปสะดุดพบกับบางสิ่ง ที่กำลังส่องประกายเมื่อต้องแสงเดดยามเช้าเธอจึงเดินเข้าไปดูว่าสิ่งนั้นคืออะไร และสิ่งที่พบคือกำไรข้อมือและแหวนที่เข้าคู่กันวงหนึ่งโดยสิ่งขอทั้งสองนั้นถูกวางทับเอาไว้บนกระดาษแผ่นหนึ่งเด็กหญิงค่อยๆยื่นมือไปหยิบกระดาษขึ้นมาแล้วเปิดอ่าน ในนั้นมีข้อความที่ถูกเขียนด้วยลายมือของแม่เธอไว้เด็กหญิงค่อยๆอ่านข้อความบนจดหมายนั่นอย่างช้าๆ เนื้อหาในจดหมายกล่าวไว้ว่าให้เธอเก็บแหวนและกำไรข้อมือที่วางไว้คู่กับจดหมายนั้นให้ดีเพราะว่ามันอาจจะมีประโยชน์แก่เธอในอนาคตและให้เธอเดินทางไปหาจอมเวทย์ผู้หนึ่ง เรื่องที่ว่าจอมเวทย์ผู้นั้นอยู่ไหนนั้นเมื่อเธอเดินทางไปเรื่อยๆตามการชักนำของแหวน เธอก็จะรู้เอง เมื่อเรย์ย่าอ่านข้อความจบก็ปิดจดหมายแล้วเอาสิ่งของทั้งสองมาส่วนใส่ไว้ที่ตำแหน่งที่มันควรอยู่ แล้วเธอก็เดินออกจากถ้ำหลังน้ำตกแล้วหันหลังกลับมามองมันไปครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะออกเดินทางเพื่อตามหาจอมเวทย์ที่อยู่ที่ใดเธอก็มิอาจทราบ
และวันหนึ่งในระหว่างเส้นทางที่เธอเดินไปตามการชักนำของแหวน เธอก็ไปพบกับสัตว์ที่มีหัวเป็นสิงโต ตัวเป็นแพะ หางเป็นงู เด็กหญิงไม่รู้ว่าเจ้าสัตว์ร้ายตัวนี้คืออะไร เมื่อมันมองเห็นเรย์ย่ามันก็วิ่งเข้ามาหา เรย์ย่าซึ่งไม่มีทางเลือกมานักเลยพยายามวิ่งหนีเธอวิ่ง วิ่ง และวิ่งจนไปพบกับเหวลึกซึ่งข้างล่างนั้นคือสายวารีที่เชี่ยวกราด ซึ่งทางข้ามมีเพียงทางเดียวคือต้องเดินข้ามท่องซุงที่สภาพเหมือนจะหักได้ทุกเมื่อเท่านั้น เจ้าสัตว์ร้ายวิ่งเข้ามาใกล้เธอทุกขณะ เรย์ย่าเลือกทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเองคือ ค่อยๆเดินทรงตัวอย่างระมัดระวังไปบนท่องซุงท่อนนั้น เจ้าสัตว์ร้ายมาหยุดมองที่ท่อนไม้ซักครู่แล้วก็เดินขึ้นมาบนท่อนไม้เดียวกัน และด้วยน้ำหนักที่มากของมันจึงทำให้ท่อนไม้นั้นสั่นคลอน และสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อท่อนไม้มิอาจรับน้ำหนักของสิ่งที่เดินอยู่ไหว มันจึงหักลงเจ้าสัตว์ร่างจึงตกลงไปอย่างไร้น้ำหนักลงในกระแสน้ำเบื้องล่างแต่หาใช่เพียงสัตว์ร่างร้ายตกลงไป เพราะเมื่อตอนที่ไม้หักนั้นเรย์ย่ายังเดินไปได้เพียงครึ่งทางเธอจึงตกลงไปด้วย เธอหลับตาพร้อมกรีดร้องอย่างสุดเสียง แต่แทนที่เธอจะตกลงไปเธอกลับรู้สึกเหมือนว่ามีอะไรนิ่มๆมารับตัวเธอไว้เรย์ย่าค่อยๆลืมตาขึ้นมาแล้วพบว่าตอนนี้ตนไม่ได้ลอยอยู่กลางอากาศหรืออยู่ในน้ำแต่อยู่บนหลัง สิ่งโตเพศผู้ที่มีขนสีขาวบริสุทธิ์ ที่ยืนอยู่บนฝั่งอีกฟากแทนเมื่อเห็นเช่นนั้นเธอก็เตรียมกรีดอีกรอบ แต่ว่าเจ้าสิงโตตัวนั้นกลับสะบัดตัวจนเธอตกลงมา แล้วเดินหายลับไปในป่าเบื้องหน้าเรย์ย่ามองสิงโตที่เดินเข้าไปในป่าด้วยสีหน้าที่งวงงงปนสงสัยเพราะจะมีสิงโตที่ปกติที่ไหนกันที่ช่วยคน แล้วก็เดินหายไปเฉยๆโดยไม่กินเนื้อของสิ่งที่มันได้มา แต่เธอก็มีเวลาคิดสงสัยได้ไม่นานเพราะหนทางที่เธอต้องไปนั้นยังอีกยาวไกล
หนึ่งอาทิตย์ผ่านไปหลังจากเหตุการณ์ตอนนั้น เธอก็เดินทางมาถึงบ้านโทรมๆหลังหนึ่งซึ่งคือว่าที่นี่น่าจะเป็นจอมเวทย์ที่แม่เธอกล่าวถึงในจดหมายอาศัยอยู่ เพราะเมื่อมาถึงแหวนก็เลิกส่องแสงแปลกๆที่ค่อยชักนำเธอเมื่อแต่ก่อน เรย์ย่าค่อยๆผลักประตูที่พร้อมจะพังทุกขณะเข้าไป ในนั้นมีฝุ่นละอองและใยแมงมุมเต็มไปหมด เหมือนว่าสถานที่นี้ไม่ได้ถูกใช้มานานแล้ว เด็กหญิงเดินสำรวจสถานที่แห่งนี้ไปเรื่อยๆจนกระทั่งไปพบกับเตียงนอนเธอค่อยๆเดินเข้าไปใกล้ แล้วก็ล้มตัวลงนอนเล่น แต่ด้วยความเหนื่อยล้าที่เธอเผชิญมาทั้งวัน เลยทำให้เธอผล็อยหลับไป
เมื่อเธอหลับไปได้ซักพักก็มีบางสิ่งที่ทำให้เธอตื่นขึ้นจากนิทราแล้วกลิ้งตกเตียง และสิ่งที่ปลุกให้เธอตืนเมื่อเธอเห็นหน้าของเจ้าสิ่งนั้นชัดๆ เรย์ย่าก็ทำตาโตแล้ววิ่งหนีอย่างสุดชีวิต ทว่าเจ้าสิ่งนั้นกลับไปปรากฏอยู่เบื้องหน้าเธอแทนเด็กหญิงทำหน้าตาตลึงงันอีกครั้ง แล้วก็อ้าปากเตรียมตัวกรีด แต่เจ้าสิ่งนั้นสิงโตสีขาวที่วิ่งไล่เธอมา และปลุกให้เธอตื่น ก็พูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบากับเด็กหญิงมีนัยว่า เธอเขาไปทำอะไรในบ้านหลังนั้น เรย์ย่าอึ้งไปนาน จนมันตะคอกกลับมา เธอถึงตื่นจากผะวังแล้วก็เล่าถึงเหตุผลที่เธอเดินทางมาที่นี่ให้ฟัง สิงโตฟังอย่างตั้งใจตั้งแต่ต้นจนจบ แล้วอยู่ดีๆตัวของสิงโตตัวนั้นก็มีประกายแสงสีขาวที่ชวนแสบตามาล้อมรอบ และเมื่อแสงนั้นหายไปจากบริเวณที่เจ้าสิงโตยืนอยู่หลับปรากฏร่างชายหนุ่มผู้หนึ่งแทน เรย์ย่าทำหน้าตางวยงง แล้วก็มองซ้ายมองขวาหน้าสิงโตตัวนั้น แล้วชายูผู้นั้นก็พูดกับเรย์ย่าเด็กหญิงรับฟังสิ่งที่ชายหนุ่มผู้นั้นพูดแล้วก็พยักหน้าพร้อมทำหน้าตาเอ๋อๆสลับกันสิ่งที่เป็นนัยสำคัญที่ชายหนุ่มพูดขึ้นคือจอมเวทย์ที่เธอตามหานั้นไม่ได้กลับมาที่นี่เป็นเวลาสี่วันแล้วโดยวันที่จอมเวทย์จะออกไปได้บอกกับเขาว่า อีกไม่นานจะมีคนมาหาเขา และฝากให้เขาดูแลเด็กคนนั้นพร้อมกับสอนสิ่งต่างๆที่รู้ให้โดยคนที่มาหาจะมีใส่แหวนเงิน ลวดลายเกิดจากเงินที่ขนทับกันไปมา จากนั้นจอมเวทย์ก็แสดงภาพของแหวนวงนั้นให้ดูแล้วเขาก็เดินจากไปแล้วก็ไม่ได้กลับมาอีกเลย เมื่อเรย์ย่าฟังถึงท่อนนี้เธอก็ยกมือที่สวมแหวนที่แม่ทิ้งไว้ให้ขึ้นมาแล้วก็พูดกับชายหนุ่มว่า“แหวนนั่นคงไม่ได้บังเอิญเหมือนวงนี้แบบเป๊ะๆหรอกใช่ไหม?” ชายหนุ่มทำตาโตแล้วพูดออกมาเบาๆ “เฮ่ย....แหวนนั่นดันบังเอิญเหมือนวงที่เธอใส่ทุกระเบียบนิ้วเลย”เรย์ย่ายิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วแนะนำตัวชายหนุ่มก็แนะนำตัวเช่นกันว่าเขาชื่อ “ลาอีธ ริค” แต่เรย์ย่าขอเรียกเขาว่า "เลธ" แทน และจากนั้นทั้งคู่ก็ใช้เวลาอยู่ร่วมกันแล้วสอนสิ่งต่างๆที่ตนรู้ให้แก่กันและกันในระยะแรกๆเรย์ย่าไม่เข้าใจสิ่งที่ลาอีธสอนเลยแม้แต่น้อย และยิ่งผ่านไปนานเข้าแทนที่เธอจะเข้าใจมากขึ้นกับไม่เข้าใจยิ่งกว่าเดิม และแล้ววันหนึ่งเรย์ย่าก็เกิดเบื่อการอยู่ที่นี่ อีกทั้งยังสงสัยเกี่ยวกับเรื่องอะไรบางอย่าง จึงชวนลาอีธไปหาคำตอบและนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการเดินทางของเด็กสาวที่ปัจจุบันอายุได้ 13ปี นาม เรย์ย่า โคล์วฮาเดรียน และสหายของเธอ......
อุปนิสัย : ร่างเริงแจ่มใส อัธยาศัยดี ซุกซน บ้าๆบอๆเหมือนคนทั่วไป ใจร้อนวู่วาม รักอิสระ ชอบทำตัวเหมือนเด็ก แอบซุ่มซ่ามนิดๆ ซึนหน่อยๆ ชอบคนที่คอยเอาใจใส่ดูแลคนอื่นทำทุกอย่างที่ใจอยากทำโดยไม่สนว่ามันอันตรายไหมชอบโกหกคนอื่นว่าตัวเองเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาๆ ปกปิดพลังส่วนที่เป็นปีศาจและซ่อนรูปร่างที่แท้จริงของตนเอาไว้ดวงมนต์บังตา มนตร์บทเดียวที่เธอใช้ได้คล่องแต่ก็คล่อยในความหมายของเธอเนี่ยคือแค่หลอกตาได้เปนบางครั้งเท่านั้น แล้วถ้าสังเกตุดีๆก็จะเห็นความจริง
สิ่งที่ชอบ : สถานที่ที่มีน้ำเพราะมันมักจะทำให้เธอสดชื่น กระปรื้อกระเป่า อยู่เสมอ หากมีบาดแผลเมื่อมาโดนน้ำก็จะหายเร็วขึ้น, เลธ
สิ่งที่เกียจ : เลธ( ตอนทำเป็นรู้ดีไปทุกเรื่อง ) , การสูญเสียสิ่งต่างๆโดยเฉพาะคนทีตนรัก
สิ่งที่กลัว : เลธ( ตอนโกรธเรย์ย่า ) , ปีศาจที่ทำให้เธอเอาชีวิตไม่รอดในวัยเด็ก, การต่อสู้
ความสามารถ :
- หายใจในน้ำได้เหมือนอยู่บนบก
- Coming soon
สายอาวุธที่ถนัด : สายอาวุธซัดต่างๆ ที่ถนัดสุดๆคือ เข็มพิษ / ดาบ
เพิ่มเติม : กำไรที่ข้อมือของเธอ สามารถแปรเปลี่ยนเป็นศาสตราอะไรก็ได้ ของแค่เธอคิดถึงรูปร่างและลักษณะมันขึ้นมาเท่านั้น
- มาโครชิน เป็นอีกชื่อเรียกหนึ่งของเทพมาร
คู่หู ( คู่กัด )
( ร่างสิงโต )
( ร่างมนุษย์ )
ชื่อ: Laith [ ลาอีธ ] นามสกุล : Rick [ ริค ] ความหมายของชื่อ : สิงโตผู้ทรงอำนาจ
ชื่อเล่น : Laith [ เลธ ] เพศ: ชาย อายุ : Unknown
เผ่าพันธุ์: อสูร [ Evil ]
ประวัติ :อดีตเป็นเพียงแค่ลูกสิงโตที่มีขนสีขาวธรรมดาๆตัวหนึ่งเท่านั้น จนวันหนึ่งสิงโตตัวน้อยก็ได้พลัดหลงจากฝูง มันพยายามเดินตามหาและร้องเรียกพ่อและแม่แต่ก็ไร้เสียงตอบกลับ มันเดินลึกเข้าไปในป่าเรื่อยๆ จนถึงเวลาค่ำสิงโตตัวน้อยเริ่มเหนื่อยล้าจากการเดินมาทั้งวัน แต่แล้วหูขอมันก็ไปได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเป็นเสียงคำรามของบางสิ่งและเสียงกิ่งไม่หักยามพวกมันก้าวเดิน สิงโตจึงมองไปยังที่มาของเสียงแล้วมันก็พบกับตัวอะไรบางอย่างที่รูปร่างนั้นคล้ายคลึงกับยักษ์หากแต่มีรูปร่างที่เตี้ยดั่งคนแคระ หัวล้านและมีผิวสีเทาซีด บางตัวถืออาวุธที่มีรูปร่างคล้ายกระบองที่มีหนามแหลมเมื่อสิงโตตัวน้อยเห็นดังนั้นหัวใจดวงน้อยของมันก็เต้นรัวไม่เป็นจังหวะส่วนสมองนั้นก็สั่งให้มันวิ่งหนีเพราะสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาของมันนั้นยากที่จะรับมือ และถึงแม้จะเหนื่อยล้าซักเพียงใดเมื่อเห็นสิ่งที่น่ากลัวเช่นนั้นก็มิอาจที่จะมองหอยู่เฉยๆได้ เจ้าสิงโตตัวน้อยก็ใช้เท้าเล็กๆของมันวิ่งไปอย่างสุดแรง มันวิ่งอย่างรวดเร็วพร้อมกับกระโดดข้ามสิ่งกีกขวางเป็นครั้งคราว และพอมันหันหลังกลับไปยังเส้นทางที่มันวิ่งมาก็ไม่ปรากฏสิ่งที่มันเห็นเมื่อครู่แม้แต่เงา สิงโตน้อยคิดว่าตนรอดแล้วจึงเปลี่ยนจากวิ่งเป็นเดินอย่างช้าๆ แต่ก็ไม่วายมองซ้ายมองขวาอย่างระมัดระวังและแล้วตายตาของมันก็ไปสะดุดกับโพรงไม้โพรงหนึ่งซึ่งขนาดก็ไม่เล็กไม่ใหญ่ไปจากตัวมันมากนัก และด้วยความที่พึ่งหนีตายมาหมาดๆอาการเพลียจากการวิ่งก็แผงฤทธิ์ทำให้หนังตาของมันหนักอึง สิงโตตัวน้อยจึงเดินตรงเข้ไปยังโพรงนั้นแล้วล้มตัวลงนอนและหลับไปในที่สุด
แต่เมื่อมันหลับไปได้ซักพัก มันก็ต้องตื่นมาอีกครั้งเนื่องด้วยครั้งนี้หูของมันได้ยินเสียงอะไรบางอย่าง แต่มันแน่ใจว่าเสียงนั้นไม่ใช่เสียงของตัวประหลาดในร่างคนแคระแน่นอน มันจึงค่อนๆยื่นหัวออกมาจากโพรง สิ่งที่มันเห็นก็คนกลุ่มหนึ่งที่มีเครื่องมือสำหรับล่าสัตว์ครบชุดกำลังเดินตรงเข้ามา สิงโตตัวน้อยรับรู้ว่าหากอยู่ตรงนี้ภัยร้ายที่เรียกตนว่ามนุษย์นั้นจะต้องเดินมาพบตนเองเป็นแน่ มันจึงค่อยๆเดินออกมาจากโพรงและออกวิ่งอีกครั้ง แต่ในกลุ่มคนที่เดินมานั้นก็มีคนคนหนึ่งเห็นสิงโตตัวน้อยวิ่งออกมัน เขาง้างคันธนูแล้วก็ส่งลูกธนูดอกหนึ่งไป ธนูดอกนั้นพุ่งตัดอากาศและเฉียวลำตัวของสิงโต จนมีเลือดไหลออกมาจกบริเวณนั้น หากแต่สิงโตตัวน้อยก็ยังวิ่งต่อไปแม้จะได้รับบาดเจ็บก็ตาม และเมื่อเห็นเช่นนั้นกลุ่มคนเหล่านั้นก็วิ่งตามมันมาพร้อมกับยิงธนูและขวางหอกออกมาเพื่อฆ่าสิงโตเป็นระยะๆ
พอวิ่งไปได้ซักระยะมันก็พบกับตัวประหลาดหัวล้านในร่างคนแคระจำนวนหนึ่ง และเมื่อเห็นเช่นนั้นมันก็รีบหักเลี้ยวอย่างรวดเร็วพวกมนุษย์ที่วิ่งตามมันมาก็แตกกระจายไปหลายทิศทางพร้อมกับตะโกนร้องโหวกเหวกโวยวาย และตัวประหลาดเกือบทั้งหมดก็วิ่งกระจายไปตามเส้นทางที่พวกมนุษย์วิ่งหนีไปและมีตัวประหลาดตัวหนึ่งวิ่งตามสิงโตตัวน้อยมาซึ่งในมือของเจ้าตัวนั้นก็ถือกิ่งไม่ขนาดใหญ่ที่รูปร่างคล้ายกระบองไว้ด้วยเจ้าตัวประหลาดวิ่งตามและฟาดท่อนไม้มายังสิงโตตัวน้อยเป็นระยะๆแต่ทว่าสิงโตตัวน้อยก็หลบได้อย่างเฉียดฉิวทุกครั้งไปตอนนี่ดวงอาทิตย์ใกล้จะขึ้นแล้ว สิงโตตัวน้อยก็ยังคงวิ่งต่อไปเรื่อยๆแต่โชคร้ายที่ระหว่างทางที่มันวิ่งมันดันไปสะดุดกับก้อนหินก้อนหนึ่งเข้าจนลงไป ตัวประหลาดไล่มันมาทันแล้วสิงโตตัวน้อยพยายามลุกแต่ก็ไม่สำเร็จเจ้ายักษ์แคระเงื้อไม้อีกครั้งเมื่อเห็นเช่นนั้นสิงโตน้อยก็หลับตาสนิด โดยที่มีแสงอาทิตย์ส-า-ดส่องเข้ากระทบบนตัวของมันผ่านไปแล้ว หนึ่งนาที สองนาที สามนาที แต่ไม้นั่นก็ยังไม่ฟาดลงมาซักที มันจึงค่อยๆลืมตาออกมาช้าๆ แล้วก็ต้องประหลาดใจเมื่อตัวประหลาดไม่อยู่บริเวณที่มันอยู่แล้ว แต่ถัดไปจากบริเวณที่มันยืนซักสองสามเมตรก็ปรากฏภูเขาหินกองหนึ่งที่ลักษณะเหมือนยักษ์แคระหัวล้านไม่มีผิด มันฝืนตัวเองให้ลุกขึ้นอีกหลายครั้งและผลของการพยายามนั้นก็สำเร็จในครั้งที่สาม แต่มันยืนได้เพียงครู่เดียวแล้วก็ล้มลงไปตอนนี้ขนสีขาวของมันถูกย้อมไปด้วยสีแดงฉานทั้งตัวแล้ว
และเมื่อมันลืมตาตื่นขึ้งมาอีกครั้งมันรู้สึกถึงบางสิ่งที่ผิดแปลกไป มันนอนอยู่บนอะไรซักอย่างที่นิ่มมาก แล้วก็มีอีกอย่างหนึ่งที่ผิดแปลกไปจากปกติแต่มันก็มิรู้ว่าสิงนั้นคืออะไรผ่านไปซักพักก็มีชายคนหนึ่งเดินเข้ามา ชายคนนี้มีผมยาวระดับเอวสีขาว นัยน์ตาสีเทาหนวดสีขาวที่ยาวกว่าผมเล็กน้อย เขาสวมใส่ชุดคลุมยาวและถือไม้บางอย่างที่หัวเป็นมังกรคาบแก้ว เขาเดินยิ้มเข้ามาหาสิงโตตัวน้อยแล้วยื่นมือไปจับหัวของมันแล้วถามมันเบาๆว่าเป็นไงบ้างสิงโตเอียงคอเล็กน้อยแล้วก็มีเสียงเล็กลอดออกมาจากปากของมันหากแต่เสียงที่ออกมามิใช่เสียงคำรามแต่เป็นภาษาที่มนุษย์ใช่สื่อสารกัน “ท่านคือใคร?” ชายชรายิ้มออกมาแล้วก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่แฝงความปิติยินดี “ฮ่ะๆ ข้าทำสำเร็จ มันได้ผล” สิงโตตัวหน้ามองหน้าชายชราด้วยแววตาปนสงสัยเมื่อชายชราเห็นดังนั้นก็พูดออกไป “ข้าชื่ออะไรมิสำคัญ ที่สำคัญคือเวทย์นั้นเวทย์ที่ข้าทุ่มเทกับมันทั้งชีวิต มันสำเร็จแล้ว ” สิงโตตัวน้อยทำหน้าตางวงงงอีกครั้งแล้วพูดออกไปอย่างเผ่าเบา“ท่านเข้าใจสิ่งที่ผมพูด? มันเป็นไปได้อย่างไง?”ชายชราเมื่อเห็นปฏิกิริยาดังนั้นก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาอีกครั้งแล้วก็เล่าเรื่องทั้งหมดทั้งฟังตั้งแต่ตอนที่ไปเจอมันนอนหายใจรวยรินอยู่ริมป่าเวทย์มนตร์ที่เขาพูดถึงซึ่งเวทย์นั้นคือเวทย์ที่ทำให้สัตว์เปลี่ยนแปลงรูปร่างไปเหมือนมนุษย์ และเมื่อได้ฟังถึงตอนนี้สิงโตน้อยก็ตะลึงชั่วครู่ก่อนที่จะมองสำรวจร่างตัวเองอีกครั้ง และสิ่งที่ปรากฏแก่ตายตามันคือสิ่งที่กึ่งนั่นกึ่งนอนอยู่บนสิ่งของนุ่มนิ่ม...ร่างของมันหาใช่ร่างสิงโตสีขาวแต่ประการใดแต่เป็นเด็กผู้ชายชาวมนุษย์ที่มีอะไรบางอย่างที่เป็นสีขาวๆพันบริเวณท้องไว้ “แล้วผมจะกลับเป็นตัวผมแบบเดิมได้ไหมครับ?” เด็กชายที่อดีตเคยเป็นสิงโตถามด้วยความสงสัย“เรื่องนี้ข้าก็ไม่แน่ใจ เจ้าลองดูเองแล้วกัน” ชายชรายิ้มและโบกมือไปมา “ลอง? อย่างไงครับ” เด็กชายเอ่ยถาม “ไม่รู้”ชายชราตอบแบบขอไปที่เด็กชายขมวดคิ้วแล้วก็นึกถึงรูปร่างของตนตอนเป็นสิงโต แล้วก็บู้! เด็กชายตัวน้อยกลับไปเป็นสิงโตอีกครั้ง แล้วมันก็ลองนึกถึงรูปร่างของมันตอนเป็นมนุษย์แล้วก็ ฟิ้ว! สิงโตกลับเป็นมนุษย์ เด็กชายตัวน้อยลองทำแบบนั้นสลับไปมาหลายรอบ ชายชราก็ยืนดูด้วยใบหน้าที่เปื้อนร้อยยิ้มและเอามือข้างที่ว่างอยู่ลูบหนวดเบาๆแล้วเขาก็พูดขึ้นมาจนทำให้เด็กน้อยตดใจจนกลิ้งตกเตียงไป“ฮ่า! ลาอีธ ริค... ลาอีธ ริคคือชื่อของเจ้า เด็กน้อย” เด็กชายทำหน้างวงงง “ชื่อ? มันคืออะไร กินได้หรือเปล่าครับ” ชายชราอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ “อ่า....หนทางยังอีกยาวไกลสินะ”
ตั้งแต่เวลานั้นชายชราค่อยๆสั่งสอนสิ่งต่างๆที่ควรรู้ให้แก่อดีตสิงโตตัวน้อยธรรมดาๆเด็กชายตั้งใจฟังทุกคำที่ชายชราพูด และทำตามกริยาทุกอย่างที่ชายชราทำซึ่งบางครั้งก็ดูตลกมิใช่น้อย และชายชราก็รู้ว่าแม้เวทย์มนต์จะทำให้รูปลักษณ์เปลี่ยนไปได้แต่ว่าพฤติกรรมการบริโภคยังคงเดิม เด็กชายยังคงชอบทานเนื้อสดๆอยู่แต่ก็มีบางครั้งที่ชายชรานำผลไม้มาให้เขาทานเขาทานผลไม้นั้นได้แต่เขาไม่ชอบทานเพราะมันไม่อร่อย
ลาอีธเป็นเด็กที่มีความพยายามเป็นเลิศจึงทำให้เข้าสามารถเข้าใจสิ่งต่างๆที่ชายชราสอนไก้อย่างดีในเวลาไม่นานแล้วอยู่ดีๆวันหนึ่งลาอีธก็ขอให้ชายชราสอนสิ่งที่เรียกว่าเวทมนตร์ให้ ชายชรานิ่งไปชั่วครู่แล้วก็เอ่ยรับคำว่าจะสอนให้โดยเวทที่ลาอีธใช้นั้นต้องมีการยืมพลังจากธรรมชาติมาช่วยเพราะลำพังเพียงแค่ตัวเขานั้นมีพลังเวทย์เพียงน้อยนิดหากแต่พอฝึกไปนานๆเข้าพลังเวทย์ที่น้อยนิดนั้นกลับเพิ่มพูนขั้นมาอย่างรวดเร็ว และเขาก็ใช้ชีวิตอยู่กับชายชราไปนานหลายปีจนชายชราสอนสิ่งที่ตนรูปไปเกือบหมด
ในช่วงบ่ายของวันหนึ่งลาอีธออกไปเดินเล่นหาอะไรทานในป่า แล้วมันก็พบกับเด็กหญิงคนหนึ่งกำลังเดินอย่างระมัดระวังอยู่บนท่อนไม้ที่ใช้ข้ามหุบเหวโดยมีตัวประหลาดที่หัวเป็นสิงโตตัวเป็นแพะ หางเป็นงู ไล่ตาม และแล้วท่อนไม้ทีเด็กหญิงเดินก็หักลาอีธเห็นเลยกระโดดเข้าไปช่วย แต่พอเด็กนั่นเห็นเขาก็ตั้งท่าจะกรีดซะงั้นเขาเลยสะบัดตัวเพื่อให้เด็กนั่นตดลงแล้วก็วิ่งหายไป
วันหนึ่งในขณะที่ลาอีธนอนหมอบอยู่ข้างๆชายชรา ชายชราหันมามองมันแล้วก็เอ่ยเรื่องสำคัญบางอย่างให้เขาฟังเกี่ยวกับผู้ที่จะมาเยือนสถานที่นี้ในอีกไม่ช้า แล้วพอพูดจบชายชราก็เดินออกไป สี่วันผ่านชายชราก็ไม่กลับมาแต่ก็มีผู้มาเยือนสถานที่นี้จริงๆ และคนที่มาเยือนก็คือเด็กที่เขาช่วยไว้ตอนนั้นทั้งคู่ก็แลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆกันสรุปสุดท้ายลาอีธก็เป็นคนสอนสิ่งต่างๆที่ควรรู้ให้แก่ผู้มาเยือนแต่ว่าสอนไปเท่าไรเธอก็ไม่จำ พอนานๆเข้าความอกทนในการเรียนของเธอก็หมดไปเธอจึงชวนให้ลาอีธออกเดินทางเพื่อตามหาบางสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตและด้วยคำสั่งของชายชราที่ว่าให้ติดตามผู้ที่มาเยือนไม่ว่าเขาอยู่ไหนหรือทำอะไรและก็ทำให้เขาจำใจเดินทางตามเด็กหญิงไป
อุปนิสัย : ใจเย็น รอบครอบ เป็นมิตรกับทุกคน มีความเป็นผู้นำในตัวแต่ก็ไม่ค่อยยอมแสดงออกมา ซื่ิิอสัตย์ รักผู้เป็นนาย แต่หากว่าเวลาอยู่กับเรย์ย่านิสัยจะเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคน คือ นิ่ง ชอบหาเรื่องชวนทะเละ ชอบทำหูทวนลม วางท่าหน่อยๆ แล้วบางทีก็ชอบดุเมื่อทำอะไรไม่ถูกใจ แต่ว่าเมื่อถึงเวลาต่อสู้ก็จะเข้ากับได้ค่อนข้างดี โดยเข้าจะต่อยซับพอร์ตเธอเสมอ
สิ่งที่ชอบ : เนื่อสดๆ การแกล้งเรย์ย่า
สิ่งที่เกียจ : -
สิ่งที่กลัว : -
ความสามารถ :
-เปลี่ยนร่างไปมาระหว่างคนกับสัตว์ได้
- มีความสามารถด้านการใช้เวทย์มนต์ในระดับที่ค่อนข้างสูง
- Coming soon
เพิ่มเติม : เวลาอยู่เฉยๆบางครั้ง(ในร่างสิงโต) ก็จะแกล้งงับมือเรย์ย่าเล่น
สำหรับคนที่ขี้เกียจอ่าประวัติเต็ม [ขอบอกว่าประวัติย่ามันงงนะ ควรไปอ่านประวัติเต็ม]
เรย์ย่า : เป็นมาโครชิน หรือที่รู้จักกันในนามเทพมาร มีพ่อเป็นปีศาจ มีแม่เป็นเทพที่โกหกว่าเป็นมนุษย์ วันหนึ่งแม่เธอก็ออกไปทำอะไรบางอย่างที่นอกหมู่บ้านและในวันนั้นพลังปีศาจของพ่อก็ไม่อาจคุมได้เลยไล่ฆ่าผู้คนในระแวกนั้นจนหมด รวมถึงเรย์ย่าด้วย พอแม่กลับมาก็พบว่าเรย์ย่าตายไปแล้ว ตนที่มีเชื้อของเทพแห่งความตายจึงไปนำวิญญาณของบุตรสาวกลับมา ซึ่งการกระทำเช่นนั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฏสำหรับเทพผู้รับใช้ความตาย และแล้วหลายวันผ่านไปหลังจากเรย์ย่าฝื้น แม่เธอก็ได้บอกความจริงทั้งหมดเพราะว่าวันถัดไปเธอต้องไปรับโทษ แต่เรย์ย่าก็ไม่เชื่อ วันถัดมาเรย์ย่าตื่นก็ไม่พบแม่ แต่เห็นของสองส่งวางทับไว้บนกระดาษ เธออ่านข้อความแล้วก็เก็ข้อทั้งสองแล้วออกเดินทาง ในระหว่างการเดินทางเธอไปเจอกับสัตว์ประหาด เธอวิ่งหนีโดยใช้ท่อนซุงที่ผุงกร่อนเป็นทางในการข้าเหว ซุงนั้นหัก เธอถูกช่วยไว้โดยสงโตสีขาว หลายวันผ่านไปเธอก็พบกับสถานที่ที่เธอตามหา คือที่ตั้งของบ้านของจอมเวทย์ เธอเข้าไปแต่ไม่เจออะไร แต่ด้วยความง่วงเธอก็ได้หลับไป ผ่านไปซักพักก็มีบางสิ่งมาปลุกให้เธอตื่น เจ้าสิ่งนั้นคือสิงโตสีขาว เธอรีบวิงหนีแต่สิงโตก็มาโผลหน้าเธอ มันพูดอะไรบางอย่างขึ้นมา เรย์ย่าทำหน้าเอ๋อ แล้วสิงโตก็กลายเป็นคน ทั้งสองแลกเปลี่ยนสิ่งที่ตนรู้ แล้วสิงโตที่ชื่อลาอีธ ก็ส่องสิ่งต่างๆที่ควรรู้ให้ ผ่านไปเนินนานเธอเริ่มเบื่อจึงหาเรื่องทำให้พวกเข้าออกเดินทาง
ลาอีธ : Coming soon
ปล. ข้อมูลอาจข้างต้นยังไม่แน่นอนอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้
ปล2. ประวัติตัวละครหนูแต่งมั่วค่ะ
Rayya มาโครชินที่โกหกว่าตนเป็นเพียงมนุษย์สามัญ
[IMG]