แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย fanasai เมื่อ 2014-9-23 21:52
สายฝนแห่งความแค้น
ข้าได้ยิน...เสียงโห่ร้องแห่งชัยชนะที่ดังกึกก้องสะท้อนสลับไปกับสายฝน
ข้าได้ยิน...เสียงร่ำไห้ที่โศกเศร้าถูกกลืนหายไปในเสียงคำรามของอัสนี
ข้าได้ยิน...เสียงฝีเท้าของเหล่าอาชาที่เหยียบย่ำดินโคลนและหย่อมน้ำที่เอ่อนอง
ข้าได้ยิน...เสียงลมหายใจอันรวยรินที่กำลังจะสิ้นลมของข้า...ภายใต้ความดำมืดที่มองเห็นภาพเพียงเลือนลาง ข้ามองเห็นกีบเท้าของอาชาตัวหนึ่งที่กำลังเดินเข้ามาและหยุดลงตรงหน้าของข้า
"สหายข้า..."เสียงบุรุษผู้หนึ่งดังขึ้น มันเป็นเสียงที่แฝงความนัยด้วยความรู้สึกอันมากมายเหลือประมาณ ข้ารู้จักเสียงนั้นดี...สหายผู้ปราดเปรื่องของข้า...เจ้ามิทำให้ข้าผิดหวัง...ยุคใหม่กำลังเริ่มต้นขึ้น ข้าสัมผัสได้
'มิจำเป็นต้องโศกเศร้า...ท่านเพียงทำในสิ่งที่สมควรทำ'
"ได้โปรดให้อภัยแก่ความไร้สามารถของข้าคนนี้ด้วย..."เสียงนั้นกล่าวต่ออย่างแผ่วเบา ข้าได้ยินเสียงของบางสิ่งที่ตวัดขึ้นในอากาศ...สิ่งต่อมาที่ข้าสัมผัสได้คือความเจ็บปวดที่บางเบาจนแทบไร้รู้สึก...อาจจะเป็นเพราะร่างกายของข้าในตอนนี้ไม่เหลือที่ว่างให้กับความเจ็บปวดใดๆอีกแล้วก็เป็นได้ ข้าเพียงรู้สึกถึงร่างกายที่ล้มลงคุกเข่าและเอนล้มลงไปดินโคลนราวกับตุ๊กตาที่ถูกตัดสายรั้ง...ใบหน้านั้นสัมผัสได้ถึงความเย็นเฉียบของโคลนดิน กลิ่นของมันหาได้เชิญชวนให้พึงประสงค์ ยังมิรวมกลิ่นคาวคลุ้งของเลือดที่เอ่อนองไหลยาวจากรอบบริเวณจนมันมิต่างไปจากสายนทีแห่งเลือดที่ผสมปนเปกัน
ในห้วงสติที่เลือนลางของข้า...ราวกลับบางสิ่งที่ถูกปิดผนึกเอาไว้ได้ถูกเปิดออก แสงสว่าง ณ ปลายทางปรากฏขึ้นให้เห็นอย่างเด่นชัด
นั่นสินะ...เมื่อครั้งนั้นก็เป็นแบบนี...มิต่างกันเลย
สุดท้ายแล้ว...จุดสิ้นสุดของข้าก็มาบรรจบลงที่จุดเริ่มต้นของข้านี่เอง...
19 ปีก่อน...**เมืองอิสเตสลูห์
"เจ้าหญิงของข้า..."เสียงเคลิบเคลิ้มชวนฟันดังขึ้นจากด้านหลัง เรียกให้เด็กสาวผู้ถูกกล่าวถึงหันกลับมาพร้อมรอยยิ้มแย้ม หญิงสาวร่างอรชรในชุดกระโปรงสีเขียวอ่อนซึ่งมีสีผิวที่ขาวนวลเฉกดวงจันทร์ เส้นผมสีฟ้าที่ยาวสลวยดั่งแพรไหม คิ้วที่เรียวโค้งดุจคันศร ริมฝีปากสีชมพูอวบอิ่มที่แย้มยิ้มหวานปานน้ำผึ้ง ดวงตาสีครามจ้องมองไปยังบุรุษหนุ่มรูปงามผิวขาวราวหิมะซึ่งทรงอยู่ในเครื่องแบบแห่งราชนิกุลชั้นสูง ใบหน้าคมเข้มซึ่งแฝงไปด้วยความเย็นเฉียบกลับปรากฏรอยยิ้มที่มิต้องสงสัยว่าหาดูได้ยากยิ่ง ดวงตาสีฟ้าใสเต็มเปี่ยมด้วยสติปัญญาและความสุขุมล้ำลึกนั้นรับกับเส้นผมสีฟ้าจางที่ตัดสั้นอย่างพอดี ชายร่างสูงนั่งชันเข่าลงตรงหน้าของหญิงสาวก่อนยื่นมือด้านขวาให้กับเธอ พลางเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาแห่งเสน่หา
"ลามิเนส...หญิงสาวผู้งดงามดุจดั่งดวงจันทราเอ๋ย...ยอดรักของข้า นับตั้งแต่วันแรกที่ข้าได้พบท่าน...ข้าก็มิอาจลืมเลือนท่านออกไปจากใจข้าได้แม้แต่เพียงชั่วเสี้ยวนาทีเดียว หัวใจของข้าที่ถูกปกคลุมด้วยความเย็นชาเช่นยอดเขาแอนดิสที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะชั่วกาลนาน เมื่อได้พบท่านที่เปรียบดั่งดวงอาทิตย์ที่ส่องแสงมอบความอบอุ่นให้กับทุกสรรพสิ่ง ข้านั้นจึงได้รับรู้ถึงการมีชีวิตอีกครั้ง..."
"ข้าก็เช่นกันเจ้าชายคาวิส...ในพริบตาแรกที่ข้าได้พบท่าน..."ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบก็มีเสียงบางเสียงดังขึ้นขัดจังหวะ
"ลามิเนส..."
"จ่ะ...เจ้าชาย เอ่อ ตั้งแต่พริบตาแรกที่ข้าได้..."เด็กสาวคิ้วกระตุกเมื่อเสียงที่ดังขึ้นตั้งแต่เมื่อครู่นั้นทวีความต่อเนื่องและดังขึ้นเรื่อยๆ
"ลามิเนส..."
"เจ้าชายคะ...ข้าเองก็..."เด็กสาวยังคงพยายามที่จะไม่สนใจเสียงที่ดังอยู่รอบๆ บุรุษผู้งามสง่าทำเพียงเงยหน้าแย้มยิ้มละไมอยู่ในท่าชันเข่า
"ถ้าเจ้ายังไม่ตื่นในหนึ่ง*เทม ล่ะก็..."เสียงปริศนานั้นกล่าวเสียงเหิ้ยมเกรียมเหมือนกับคนที่อารมณ์ที่ใกล้จะหมดความอดทน
"เจ้าชาย!!"เธอยังคงพยายามที่จะพูดความในใจของเธอออกมา แต่ทว่าเสียงที่ดังก้องนั้นทวีความรุนแรงขึ้นจนทำให้เธอแทบจะอาเจียน
"3"
"ข้าน่ะ!!!!"โลกทั้งใบราวกับเศษแก้วที่พังทลาย ท้องฟ้าสีฟ้าใสถูกกลืนกินด้วยความมืดมิด เฉกเช่นเดียวกับบุรุษหนุ่มที่ค่อยๆเลือนลาง เด็กสาวพยายามที่จะเอื้อมมือคว้าคนตรงหน้าเอาไว้ แต่ยิ่งพยายามร่างของคนตรงหน้ายิ่งเหินห่างและเลือนลางยิ่งขึ้น
"2"
"ก็ระ...!!"
"1!!!"ไม่ทันที่เธอจะได้พูดจบ แรงดึงดูดปริศนาก็กระชากร่างของเธอให้ปลิวออกไปในแสงสว่างที่ปรากฏขึ้นทางด้านหลัง เธอได้แต่ร้องโวยวายและโลกก็แปรสภาพกลายเป็นสีขาวโพลน
"ตื่นแล้วค่ะ ตื่นแล้ว!!!!!"เด็กสาวร้องลั่นพร้อมกับดีดตัวขึ้นมาจากพื้นที่ถูกปกคลุมด้วยต้นหญ้าสีเขียวขจี ภาพที่เธอมองเห็นเป็นภาพแรกคือร่างสูงท้วมของชายวัยประมาณ 40 ปลายๆในชุดหนังสัตว์ซึ่งมีสีหน้าที่ดุดัน ทำเอาเธอถึงกับสะดุ้งเฮือกเหลียวซ้ายแลขวามองหาบางสิ่งที่ควรมีอยู่แต่ว่ากลับไร้ซึ่งสิ่งใดนอกจากเธอและชายตรงหน้า
"ข้าให้เจ้า มาดูแลฝูงแกะ ไม่ได้ให้เจ้ามานอนเล่นสบายใจ ถ้าเกิดแกะหายไปเจ้าจะรับผิดชอบไหวรึ"
"ข้าทำพวกแกะหายซะแล้วค่ะ...ขอโทษด้วยค่ะ ท่านพ่อ..."เด็กสาวรีบลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล ก่อนจะโค้งขอโทษบิดาของเธอเป็นการใหญ่ สภาพขอลูกสาวที่หัวยุ่งๆ เศษใบหญ้าติดตามเสื้อผ้าและเส้นผม รวมถึงคราบน้ำลายที่เปื้อนเป็นคราบติดแก้มทำเอาผู้เป็นพ่อจะโกรธก็โกรธไม่ลง สุดท้ายจะกลั้นขำตีหน้าขรึมก็ไม่ไหวและหลุดหัวเราะออกมาในที่สุด
"ท่ะ ท่านพ่อ?"ลามิเนสมองผู้เป็นพ่ออย่างงุนงง เธอไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆอีกฝ่ายถึงหัวเราะขึ้นมา
"ไปล้างหน้า ล้างตาซะ ส่วนเรื่องฝูงแกะข้าต้อนเข้าคอกไปหมดแล้ว เสร็จแล้วก็รีบกลับมาล่ะพ่อเตรียมอาหารใกล้เสร็จแล้ว"ผู้เป็นพ่อที่ยังคงหัวเราะไม่หยุดพูดขึ้น ทำเอาเด็กสาวที่รู้ถึงสาเหตุของเสียงหัวเราะนั้นถึงกับหน้าแดงฉ่าและรีบวิ่งไปที่ลำธารสายเล็กๆซึ่งอยู่ไม่ไกลเท่าไหร่ทันที
"โธ่...ท่านพ่อเนี่ยล่ะก็..."ลามิเนสบ่นอย่างไม่พอใจหลังจากที่ล้างหน้าและปัดพวกเศษใบหญ้าออกไปจากหัวและเสื้อผ้าจนคาดว่าจะหมดแล้ว ภาพที่สะท้อนบนผิวน้ำคือภาพของเด็กสาวผิวขาวนวลเหมือนดวงจันทร์ เส้นผมสีเงินที่ยาวปะบ่า และดวงตากลมโตสีเทา เด็กสาวมองเงาสะท้อนของตัวเองแล้วก็ขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิด เธอไม่เคยชอบสิ่งที่เป็นตัวเธอเลยแม้แต่น้อย เส้นผมสีเงินและดวงตาสีเทานี้เป็นสิ่งที่เธอได้รับมาจากแม่ของเธอที่เสียชีวิตไปตั้งแต่คลอดเธอออกมา นับแต่จำความได้เธอเฝ้าถามดวงจันทร์เสมอราวกับจะส่งความสงสัยนี้ไปให้ถึงแม่ที่อยู่บนสวรรค์ให้ได้รับรู้ ทำไมแม่ถึงต้องมอบสิ่งที่น่ารังเกียจแบบนี้ให้เธอด้วย ทำไมเธอถึงไม่ได้สีผมและสี ดวงตาเหมือนพ่อ ทำไมแม่ต้องมาแต่งงานกับพ่อ ฯลฯ คำถามเหล่านี้นั้นดังวนเวียนซ้ำๆไปมาในทุกครั้งที่เธอต้องไปซื้อของที่ตลาดและต้องหาผ้ามาสวมคลุมหัวของเธอเอาไว้เพื่อไม่ให้ใครได้เห็นเส้นผมนี้ แต่ถึงเธอจะพยายามปิดบังเรื่องเส้นผม สีของดวงตาซึ่งเป็นเอกลักษณ์เด่นเฉพาะของ**ชาวอีทราส ศัตรูคู่แค้นแห่ง**จักรวรรดิเสเรสต้าก็ไม่อาจปิดบัง ทำให้ตั้งแต่เด็กเธอต้องถูกพวกเด็กผู้ชายในหมู่บ้านรังแก เพื่อนหญิงก็ไม่มีใครที่จะยอมคุยกับเธอ จนพอโตมาจะไปซื้อของก็ยากลำบากไปเสียหมด แม้พ่อของเธอจะพยายามอธิบายไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็ตามแต่เกินครึ่งของหมู่บ้านก็ยังยอมรับเพียงแค่พ่อของเธอไม่ใช่เธออยู่ดี เพียงเพราะเธอมีเส้นผมและดวงตาสีนี้มันก็เท่านั้น...
"ถ้าจะให้ข้าเกิดมาเป็นแบบนี้ ช่วยอย่าให้เกิดมาเลยจะดีกว่ารึเปล่า"ลามิเนสถอนหายใจ อันที่จริงเธอเองก็ชินชากับสายตาที่มองมาอย่างรังเกียจของคนในหมู่บ้านเสียแล้ว โชคดีที่พวกเขาไม่ได้รังแกพ่อของเธอด้วย เธอจึงยอมปิดปากเงียบไม่ตอบโต้อะไร
"ลามิเนส...ลามิเนส"เสียงของกลุ่มผู้ชายกลุ่มหนึ่งดังขึ้น ทำเอาเด็กสาวที่ยังคงหันหลังให้อยู่ต้องลอบทำสีหน้าเอือมระอา
"มีอะไร ?"เธอหันกลับไปเผชิญหน้ากับกลุ่มคนเหล่านั้น ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มในหมู่บ้านสามสี่คนซึ่งชอบรังแกเธอมาตั้งแต่สมัยเด็ก
"ข้านึกว่าเจ้าจะเอามีดปาดคอตายไปแล้วซะอีก ไม่นึกถึงว่าหลังจากกลับมาจากสถาบันแล้วยังจะต้องเจอหน้าเจ้าอยู่อีก"คนที่ดูจะเป็นหัวโจกของกลุ่มพูดขึ้น"ไม่คิดบ้างเหรอว่าการมีอยู่ของเจ้าเนี่ยมันทำให้ตระกุลของพ่อเจ้ามันต้องเสื่อมเสียแค่ไหน"
"ขอโทษด้วยล่ะกัน"ลามิเนสตัดสินใจตัดบท มันคงจะไม่ใช่เรื่องที่ดีนักถ้าจะยืดการสนทนานี้จนพ่อของเธอตามมาเจอ แล้วจบลงด้วยความเจ็บตัวของเด็กพวกนี้ ยังไงซะการไปมีเรื่องกับลูกของขุนนางท้องถิ่นก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่ฉลาดนัก
"ใครอนุญาติให้เจ้าไปกัน ลามิเนส"เด็กคนเดิมพูดขึ้นพร้อมกับจับแขนของลามิเนสเอาไว้
"นี่เจ้า!!"ลามิเนสหันกลับมามองอย่างไม่พอใจและพยายามกระชากแขนของเธอออกมา ทว่าอีกฝ่ายกับยิ่งทวีการคุกคามเมื่อคนที่จับแขนเธอไว้นั้นสะบัดเธอจนล้มกลิ้งตกลำธารไป โดยที่อีกสองคนนั้นเดินเข้าหาเธอด้วยท่าทางที่ไม่น่าวางใจ
"คิดจะทำอะไร!"ลามิเนสตวาดใส่อย่างหมดความอดทน ดวงตาสีเทาจับจ้องมองซ้ายขวาดูการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มสองคนอย่างระแวงแต่อย่างน้อยพวกเขาก้ดูจะไม่พกอาวุธมาซึ่งก็ช่วยให้เบาใจในระดับหนึ่ง แต่ท่าทางของคนทั้งสามที่มองมาที่เธอนั้นมันกับยิ่งทำให้เธอรู้สึกหวาดระแวงยิ่งกว่า
"หึ หึ หึ...ถึงเจ้าจะไม่ใช่ชาวเสเรส แต่เจ้าเองหน้าตา ทรวดทรงก็ดูดีไม่เบา ภูมิใจเสียสิที่ข้าคนนี้ยอมลดตัวมาเล่นสนุกกับเจ้า"ชายที่เป็นหัวโจกกล่าวเสียงเหิ้ยม แม้จะไม่เข้าใจความหมายแต่สัญชาตญาณของเธอมันก็เตือนให้เธอรีบหนีให้เร็วที่สุด ไวเท่าความคิดเด็กสาวรีบลุกแล้วออกวิ่งทันที
"จับมัน!!!"เสียงคำรามดังขึ้นพร้อมกับเสียงขานรับของผู้เป็นลูกน้อง ชายสองคนที่เหลือออกวิ่งและไล่ตามเธอก่อนจะกระโจนล็อคเอาไว้ได้แทบจะในทันที เด็กสาวพยายามออกแรงเต็มี่เพื่อจะดิ้นให้หลุดพันธนาการแต่ทว่าแรงของเด็กสาวชาวบ้านธรรมดามีหรือจะสู้แรงของหนุ่มวัยฉกรรจ์ที่ผ่านการฝึกมาอย่างดีได้
"ไม่ไหวเลยนะ...เจ้าชั้นต่ำ ทั้งๆที่ข้ามอบน้ำใจให้ถึงขนาดนี้แล้วกลับปฎิเสธ"เสียงเย็นยะเยือกของคนที่เป็นหัวหน้ากลุ่มหัวโจกนั้นดังขึ้น ร่างของเด็กหนุ่มบัดนี้ยืนอยู่ตรงหน้าของเธอซึ่งถูกจับล็อคให้อยู่ในท่าที่ศรีษะแนบติดพื้น
"ปล่อย...ข้า นะ!!!"ลามิเนสยังคงพยายามที่จะดื้นรนต่อไปก่อนที่เธอจะทำได้แต่ส่งเสียงอู้อี้เมื่อลูกน้องทั้งสองของมันนั้นใช้ผ้ามัดปิดปากเธอเอาไว้
"อีกไม่นานข้าจะทำให้เจ้าได้เรียนรู้ถึงความสุขเอง..."เด็กหนุ่มย่อตัวลงพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความวิปริตจากรากลึกของจิตใจ ลามิเนสดวงตาเบิกกว้างเมื่อเธอรู้สึกว่าชุดของเธอกำลังถูกกระชากออก เด็กสาวยิ่งทวีแรงรีดเค้นกำลังทั้งหมดของเธอที่มีเพื่อเอาชีวิตรอด แต่ทว่ายิ่งเธอออกแรงมากเท่าไหร่อีกฝ่ายก็ยิ่งรุนแรงขึ้นตาม คนที่ล็อคตัวเธอคนหนึ่งทำการซัดหมัดเข้าที่เอวของเด็กสาวอย่างไม่ปราณีขณะที่อีกคนนั้นฉีกกระชากเสื้อผ้าของเธอออก ส่วนคนผู้เป็นนายของมันก็ฉีกยิ้มวิกลจริตมองใบหน้าของเด็กสาวที่กำลังทั้งเจ็บปวดและหวาดกลัวจนถึงขั้วหัวใจ...
"ลามิเนส!!! นี่เจ้าหายไปไหนมาน่ะ"อาเคมผู้เป็นพ่อของเธอถามอย่างค่อนข้างที่จะโมโหขั้นรุนแรง แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่เย็นเฉียบไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆของผู้เป็นลูก ความผิดปกติที่เกิดขึ้นก็ทำให้เขาต้องละความโกรธเอาไว้เสียก่อน "เกิดอะไรขึ้น ?"
"ท่านพ่อคะ...ของพวกนั้นคือ..."ลามิเนสมองไปยังชุดอาหารที่ดูจะมีการกินแล้วสองชุดซึ่งมันถูกจัดเตรียมเอาไว้อย่างดี
"ท่านลอร์ดน่ะสิ จู่ๆก็มาคุยกับพ่อเรื่องการค้า พ่อเองจะบอกปัดไปตามหาเจ้าก็ทำไม่ได้ แต่เจ้าต่างหากมัวแต่ไปเถลไถลที่ไหนอยู่ ถึงกลับมาดึกป่านนี้ แล้วนั่นเจ้าจะไปไหนกันน่ะ!! เฮ้!!"อาเคมพยายามตระโกนเรียกผู้เป็นลูกซึ่งเดินเข้าห้องของเธอไปและปิดห้องเงียบโดยไม่ตอบรับอะไรทั้งสิ้น
"อาเคม"เสียงหนึ่งดังขึ้นเรียกให้เจ้าของชื่อที่กำลังกังวลในความผิดปกติของผู้เป็นลูกต้องหันกลับมามองอย่างหงุดหงิด
"วันนี้บ้านข้าไม่รับแข...เจ้า?!"
ตุบ! ลามิเนสทิ้งตัวลงไปบนเตียงนอนที่รองด้วยขนสัตว์นุ่มๆเหมือนคนหมดแรง แต่ทว่าสักพักหลังจากนั้นใบหน้าที่เย็นชาและตายด้านกลับแปรเปลี่ยนเป็นแย้มรอยยิ้มกว้างเหมือนหยุดความรู้สึกของตัวเองเอาไว้ไม่อยู่ ก่อนที่เธอจะกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียงด้วยอาการที่เหมือนกับเด็กสาวที่ค้นพบรักแรก เธอกุมแก้มทั้งสองข้างที่แดงฉ่าเอาไว้และส่งเสียงกรีดร้องดังลั่นออกไปถึงข้างนอก จนผู้เป็นพ่อที่กำลังสับสนกับเหตุการณ์ถึงกับสะดุ้งเฮือกพลางจ้องมองไปยังห้องของลูกสาวด้วยสายตาจับผิด ส่วนคู่สนทนาของเขาก็ทำเพียงแย้มยิ้มขำๆและส่ายหัวเบาๆ
เมื่อหลาย****มาทาที่แล้ว...
"อีกไม่นานข้าจะทำให้เจ้าได้เรียนรู้ถึงความสุขเอง..."เด็กหนุ่มผู้เป็นหัวโจกย่อตัวลงและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่วิกลจริต ในขณะที่เด็กสาวดวงตาเบิกกว้างอย่างหวดกลัวจนไปถึงขั้วหัวใจ
เปรี้ยง!! เสียงหนึ่งที่ดังราวกับเสียงฟ้าฝ่าดังขึ้น ทำเอาชายทั้งสามถึงกับสะดุ้งเฮือกและพยายามหันมองไปตามต้นเสียง ก่อนที่ดวงตาของเด็กหนุ่มเหล่านั้นจะเบิกกว้างเมื่อเห็นบุคคลที่ทำเสียงเมื่อครู่อย่างชัดๆ
"ข้าจำไม่ได้ว่าอบรมสั่งสอนให้ลูกศิษย์ของข้า กระทำตัวเยี่ยงเศษเดนเช่นนี้"ชายวัยกลางคนร่างสูงสง่าในชุดคลุมสีเทากล่าวขึ้น แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆแต่ความรู้สึกที่แผ่ออกมานั้นกดดันจนคนที่ล็อคตัวของเด็กสาวเอาไว้อยู่ต้องรีบปล่อยเธอและยืนตัวสั่นเทิ้มอย่างหวาดกลัวไม่ต่างไปจากผู้เป็นนายของมันทั้งสอง
"ท่านอาจารย์..."เด็กหนุ่มที่เป็นหัวโจกกล่าวเสียงสั่น เขาไม่เคยเห็นอาจารย์ของเขาโกรธขนาดนี้มาก่อน ดาบสีเงินในมือขวาของชายตรงหน้าทอแสงสีเงินประกายซึ่งแสดงถึงว่าหากตัวเขาไม่สามารถเลือกคำตอบที่ถูกต้องได้ล่ะก็...เชื่อได้เลยว่านี่จะเป็นวันสุดท้ายในชีวิตของเขาเอง
"ข้าขอรับผิดทุกอย่างครับ!!!"แทบจะสิ้นสภาพของชายผู้มีนิสัยน่ารังเกียจเมื่อครู่ สิ่งที่เหลือนั้นคือเพียงเด็กหนุ่มที่กำลังคุกเข่าขอมขาด้วยทุกคำพูดที่จะนึกออกมาได้จากสมอง เมื่อเจ้านายของมันมีสภาพแบบนั้นลูกน้องทั้งสองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคุกเข่าขอขมาเช่นกัน ลามิเนสขึ้นมานั่งโดยดึงเศษเสื้อที่เหลืออยู่ขึ้นมาปกปิดร่างกายเอาไว้ ใบหน้าที่เปรอะเปื้อนและมีคราบน้ำตาอาบแก้มมองสถานการร์ที่เกิดขึ้นอย่างหวาดระแวง
"ไสหัวไปซะ"เขาคำราม เด็กหนุ่มทั้งสามคนไม่เสียเวลาแม้แต่จะคิดและรีบวิ่งหนีไปในทันที ทว่าหลังจากนั้นไม่ถึงชั่วลมพัดผ่านใบหน้าของชายผู้ถูกเรียกว่าอาจารย์ก็ทอประกายอำมหิตออกมา ดาบสีเงินในมือส่องแสงสว่างเจิดจ้า ลามิเนสดวงตาเบิกกว้างถึงเธอจะไม่ฉลาดแต่ดูจากรูปการณ์เธอก็พอเข้าใจว่าชายคนนี้จะทำอะไรต่อไป ในขณะเดียวกันคนทั้งสามที่วิ่งไปซึ่งดูจะรู้สิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปดีก็รีบเร่งความเร็วให้มากขึ้นไปอีก"สวะพวกนี้เก็บเอาไว้ก็เสื่อมเสียต่อชาติตระกุล..."
"หยุดก่อนค่ะ!!!"ลามิเนสร้องห้าม ทำให้ชายที่กำลังจะลงดาบสังหารหยุดชะงักไปชั่วขณะ ทำให้การลงดาบคลาดเคลื่อนและคลื่นรัศมีบางอย่างจะสะบัดผ่านเด็กหนุ่มคนหนึ่งไปแบบห่างเพียงเสี้ยวปลายเล็บก่อนสลายหายไป คนทั้งสามที่พึ่งรอดจากความตายในชั่วนาทีทรุดตัวลงไปนั่งกองกับพื้น ด้วยระยะที่ห่างพอสมควรลามิเนสจึงไม่รู้ว่าตอนนี้พวกนั้นจะทำสีหน้าแบบไหน แต่ถึงเธอจะเห็นเธอก็ไม่มีความคิดที่จะเปลืองแรงไปแลสายตามองคนพวกนั้นแม้เพียงนิด
"ทำไมเจ้าจึงห้ามข้า ?"เขากล่าวถาม ดาบในมือยังคงทอแสง ดวงตาแข็งกร้าวไล่มองลงตาตั้งแต่เส้นผมก่อนจะไปหยุดลงที่ดวงตาสีเทาอย่างประเมินค่า
"เพราะมัน...เอ่อ...มันไม่ มันไม่...เอ..."ลามิเนสพยายามเรียบเรียงคำพุดและนึกสรรหาคำที่ควรเอามาใช้ในสถานการร์ที่เป็นอยู่ท่ามกลางความตึงเครียดจากจิตสังหารที่แผ่ออกมาจากชายในชุดคลุม
แกร็ก! เมื่อเห็นว่าเด็กสาวตรงหน้าไม่พูดอะไรต่อ เขาจึงยกดาบขึ้นแล้วชี้ตรงไปที่คนที้งสามอีกครั้งเพื่อเตรียมสังหารทิ้ง
"ได้โปรด!! หยุดก่อนเถอะค่ะ!!"เธอร้องห้ามอีกครั้ง แต่ทว่าชายตรงหน้าหาได้ลดดาบลงแต่ก็ไม่ได้ทำอะไรต่อ
"ทำไมเจ้าจึงห้ามข้า หรือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ตัวเจ้าเต็มใจกับมัน"เขาถามเสียงเรียบแต่แข็งกร้าว แม้ดวงตาสีฟ้าครามจะจับจ้องไปที่คนทั้งสาม แต่ลามิเนสรู้สึกได้เลยว่าเขาเองก็จับตามองเธอเหมือนกัน
"แน่นอนว่าไม่ค่ะ"เธอตอบกลับไปแบบไม่มีความจำเป็นต้องเปลืองสมองคิดให้ยุ่งยาก อาการเจ็บที่เอวตอนนี้ก็ยังปวดไม่หายถึงจะไม่ได้ดูแต่เธอก็รู้ว่ามันคงต้องช้ำอีกแล้ว "แต่ข้าก็ไม่อยากให้ท่านฆ่าพวกเขาค่ะ!!"
"เพราะอะไร ?"
"เพราะว่าข้าไม่อยากให้พ่อข้าเดือดร้อนค่ะ!!"เธอตอบกลับไป ดวงตาสีเทาจ้องมองประสานกับดวงตาสีฟ้าคราม ดวงตาคู่หนึ่งแสดงซึ่งความจริงใจในทุกคำที่บอกไป อีกคู่หนึ่งจ้องมองอย่างพยายามจะอ่านให้เห็นถึงความนัยที่ซ่อนเร้น
"วันนี้พวกเจ้าถือว่าเทพไลน์เคียงข้าง อย่ากลับมาให้ข้าเห็นหน้าอีก"เขาคำราม คนทั้งสามรีบลุกขึ้นแล้ววิ่งหนีไป แต่ในชั่วขณะหนึ่งก่อนหน้านั้นคนที่แต่งตัวดูดีที่สุดซึ่งเป็นหัวโจกของกลุ่มๆนั้นยืนเหมือนจ้องมองมาสักพัก แต่มันก็แค่นั้นและเขาก็วิ่งหนีตามอีกสองคนไป
"สวมนี่ซะ แม่หนู"เขาเก็บดาบกลับเข้าซองที่ข้างตัวก่อนจะถอดชุดคลุมแล้วสวมคลุมตัวของลามิเนสเอาไว้ ก่อนจะจับมือและดึงตัวของเธอให้ลุกขึ้นยืน ในระหว่างนั้นลามิเนสเผลอหลุดทำสีหน้าเจ็บตัวจากอาการช้ำไปชั่วขณะแต่ทว่านั่นเป็นจังหวะที่อีกฝ่ายหันหลังให้อยู่พอดีจึงไม่เกิดอะไรขึ้น และเมื่อเธอยืนตั้งหลักได้เด็กสาวก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมาทางสีหน้าอีก "ทำไมชาวอีทราสเช่นเจ้า จึงมาอยู่ในดินแดนเสเรสต้าได้ หรือว่าเจ้าเป็นทาสของพวกขุนนางท้องถิ่น?"
'ทาสงั้นเหรอ...? มันคืออะไรล่ะนั่น แต่ฟังแล้วชวนหงุดหงิดชะมัด'ลามิสเนสคิดอย่างไม่พอใจ "ข้าไม่ใช่ชาวอีทราสค่ะ ข้าคือชาวเสเรสต้า แล้วก็ไม่ใช่ทาสด้วยค่ะ!!"
"ชาวเสเรสต้า ?"เขาเลิกคิ้วสูงอย่างไม่ค่อยเชื่อเท่าไหร่นัก ซึ่งเด็กสาวที่เจอแบบนี้มาจนชินก็พอที่จะเข้าใจเลยยิ้มบางๆสมเพชในโชคชะตาของตัวเอง ซึ่งอีกฝ่ายเองก็ไ่ใช่ว่าจะดูไม่ออกแต่ยังไงเขาก็ยังทำใจเชื่อได้ไม่สนิทใจอยู่ดี "แล้วพ่อกับแม่ของเจ้า ?"
"ท่านพ่อข้าปลูกบ้านอยู่ตรงนั้นค่ะ เอ่อ...หมายถึงต้องเดินข้ามเนินตรงนี้แล้วเดินไปอีกหน่อยน่ะค่ะ บ้านที่มีฝูงแกะเยอะๆ"ลามิเนสพยายามอธิบายด้วยวิธีที่เธอเท่าที่จะคิดออก ซึ่งอีกฝ่ายก็เพียงทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยถามต่อ
"แล้วแม่ของเจ้า ?"
"แม่ของข้าเป็นขาวอีทราส และก็เสียไปตั้งแต่ข้าเกิดค่ะ"ลามิเนสเน้นตรงคำว่าแม่ที่เป็นชาวอีทราส และตายไปแล้วเป็นพิเศษอย่างนึกรังเกียจที่จะต้องพูดอะไรแบบนี้ออกมาให้คนอื่นได้ยิน
"พ่อของเจ้าชื่ออาเคมใช่หรือไม่ ?"คำถามนั้นทำให้เด็กสาวต้องเอียงคอเงยมองคนตรงหน้าอย่างสงสัย
"ก็ใช่ค่ะ ท่านรู้จักพ่อของข้าด้วยเหรอ ?"เธอถามกลับ
"ก็นิดหน่อย ข้า บาค์ล็อก เป็นเกียรติที่ได้พบ"บาค์ล็อกแย้มรอยยิ้มบางออกมาเป็นครั้งแรก "ถ้ายังไงถือให้ข้าเลี้ยงอาหารเจ้าสักมื้อแทนคำขอโทษที่ข้าดูหมิ่นเจ้าก็แล้วกันนะ"
"แต่ข้าต้องรีบกลับบ้าน..."ลามิเนสไม่ค่อยไว้ใจคนที่บอกว่าเป็นเพื่อนของพ่อเธอคนนี้สักเท่าไหร่นัก แถมนี่มันก็สายมากแล้วเธอไม่อยากให้พ่อของเธอต้องเป็นห่วง
"เรื่องนั้นข้าจะช่วยคุยกับพ่อของเจ้าให้เอง"บาค์ล็อกยิ้มตอบ ดูจากรูปการณ์แล้วอีกฝ่ายคงจะไม่ยอมปล่อยเถอะไปแน่นอนหากเธอไม่ตอบตกลง เมื่อไร้ตัวเลือกอื่นเด็กสาวจึงไม่ฝืนดื้อดึง
"เข้าใจแล้วค่ะ"
"ยอดเยี่ยม เอาล่ะตามข้ามาสิ ข้าจะพาเจ้าไปหาชุดเปลี่ยนและอาบน้ำเสียใหม่ด้วย เจ้าคงไม่อยากให้พ่อของเจ้าเห็นสภาพของเจ้าแบบนี้หรอกจริงไหม ?"เหมือนคำพูดที่ตอกเข้าตรงจุด เด็กสาวรีบมองสภาพของตัวเองก่อนจะกุมหัวอย่างเครียดจัด สภาพของเธอตอนนี้หากกลับบ้านไปล่ะก็มันจะต้องเกิดเรื่องแน่นอน เมื่อสถานการณ์ที่ว่าถูกมัดมือชกอยู่แล้วถูกรวบรัดแบบไร้ทางหนีแบบหนีแล้วเด็กสาวจึงจำเป็นต้องเดินตามคนตรงหน้าไปทางหมู่บ้านอย่างเลี่ยงไม่ได้...
"ก็อย่างที่เล่าไปนั่นแหละ สหายข้า ข้าบังเอิญเจอเด็กคนนั้นระหว่างทาง และชวนคุยไปชวนคุยมาก็เลยรู้เรื่องและพาไปกินข้าวและอื่นๆ"บาค์ล็อกตอบพลางรับถ้วยน้ำจากอีกฝ่ายและดื่มมันลงไปจนหมดแก้ว
"เข้ามาที่นี่มีธุระอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ"อาเคมตอบกลับอย่างไร้เยื่อใย
"เจ้านี่ยังโกรธข้าเรื่องนั้นอยู่อีกรึ...อันที่จริงแล้วเจ้าควรจะดีใจด้วยซ้ำนะที่ข้าช่วยเจ้าเอาไว้ ถ้าหากตอนนั้นข้าไม่ช่วยเอาไว้ เจ้าก็น่าจะรู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไง"บาค์ล็อกเอ่ยเสียงเรียบ "ว่าแต่ลูกสาวของเจ้านี่สวยเหมือนแม่ของนางเลยนะ ตอนแรกที่ข้าเจอข้าก็นึกว่าเป็นคนๆเดียวกันเสียอีก"
"ถ้าจะมาคุยแค่นี้เชิญกลับไปเถอะ"อาเคมยังคงไม่สนใจที่จะดำเนินการสนทนาแต่อย่างใด
"ท่านพ่อคะ ยังไงให้ท่านบาค์ล็อกอยู่พักที่นี่สักหน่อยก็คงไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ"ลามิเนสที่กลับออกมาจากห้องแล้วกำลังยืนหลบอยู่หลังพ่อของเธอด้วยท่าทางที่เขินอายเกินกว่าจะมองคนตรงหน้า
"แก..."อาเคมมองไปยังบาค์ล็อกอย่างกราดเกรี้ยว อีกฝ่ายนั้นทำเพียงแย้มยิ้มละไมและยักไหล่น้อยๆ
"นะคะ...ท่านพ่อ"ลามิเนสเงยหน้ามองผู้เป้นพ่อด้วยแววตาอ้อนวอน แม้ว่าอาเคมจะรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นก็ตาม แต่ทว่าในสถานการณ์ตอนนี้เขาไม่สามารถบอกอะไรกับลูกสาวของเขาได้เลย
"ก็ได้..."อาเคมกัดฟันกรอดดวงตาสีฟ้าจ้องมองที่เพื่อนที่เขาทั้งเคารพและรังเกียจอย่างแข็งกร้าว บาค์ล็อกนั้นไม่ได้กล่าวอะไรต่อนอกจากหันไปยิ้มให้กับลามิเนสที่มุดหลบหลังผู้เป็นพ่อทันทีที่เขามองมา ก่อนที่บาร์ล็อกจะหันกลับไปมองอาเคมอีกครั้ง
"ถ้าอย่างนั้นจากนี้ข้าก็ขอรบกวนก็แล้วกันนะ สหายข้า..."
____________________________________________________________________________________________________________________
*เทม = หน่วยนับเวลาสากลของทวีปแอตลาส โดย 1 เทม = 50 ทาม
****มาทา = หน่วยนับเวลาสากลของทวีปแอตลาส โดย 1 มาทา = 55 เทม
**อีทราส = อาณาจักรที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของทวีปแอตลาส เป็นแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่โลหะด้วยเฉพาะเหล็กและเงินซึ่งเป็นแร่ที่เสเรสต้าอาณาจักรใหญ่ทางภาคเหนือต้องการอย่างมาก เป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งสองอาณาจักรก่อสงครามกันเรื่อยมาเป็นเวลาหลายสิบปี ชาวอีทราสนั้นมีลักษณะที่พิเศษคือ เส้นผมสีเงินประกายเหมือนแร่เงินและดวงตาสีเทาเหมือนเหล็ก ชาวอีทราสนั้นเชี่ยวชาญการต่อสู้ด้วยม้าเป็นหลัก
***เสเรสต้า = หนึ่งในสามอาณาจักรใหญ่ของแอตลาส (เสเรสต้า แอตแลนติส แกรนไนด์) ตั้งกินพื้นที่ครอบคลุมเทือกเขาแอตลาสเกือบทั้งหมดมีพื้นที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของแอตลาสแต่ทว่าเกินกว่าครึ่งนั้นไม่สามารถนำมาใช้ในภาคเกษตรกรรมได้ โดยพื้นที่เกือบ 80% ของอาณาจักรนั้นเป็นดินแดนที่มีหิมะปกคลุมตลอดทั้งปี เนื่องด้วยสาเหตุความขาดแคลนทางอาหารจากการเพิ่มขึ้นของประชากรจึงเป็นสาเหตุให้เสเรสต้าทำการก่อสงครามเพื่อแสวงหาพื้นที่ที่จะสร้างทรัพยากรเพื่อดูแลชาวเมือง ภายหลังจากสงครามกับแกรนไนด์จบลงพร้อมกับความพ่ายแพ้ของแกรนไนด์ เสเรสต้าก็เลิกการล่าพื้นที่ทางการเกษตรและกลับไปให้ความสำคัญกับแร่ที่ต้องใช้ในการผลิตยุทโธปกรณ์ทางการทหารรวมถึงพัฒนาความสามารถของอาวุธและกองรบเพื่อให้ทัดเทียมกับอาณาจักรแอตแลนติสซึ่งตั้งอยู่ทางใต้ของทวีปแอตลาส
**เมืองอิสเตสลูห์ = อดีตหนึ่งในดินแดนของอาณาจักรอีทราส ภายหลังถูกโจมตีโดยกองทัพของอาณาจักรเสเรสต้าอย่างหนักและประกาศยอมแพ้ในที่สุด เมื่อปีแอตลาสศักราชที่ 116
Knight's Honor Ep.1
[IMG]