มนุษย์หมาป่า (werewolf)” เป็นเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมายาวนานแล้ว ซึ่งเป็นชื่อเรียกที่ใช้กล่าวถึงชายหนุ่ม หรือหญิงสาวที่ปกติก็ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไป แต่เมื่อถึงคืนวันเพ็ญ หรือคืนวันพระจันทร์เต็มดวง จะเกิดอาการทุรนทุราย เพ้อคลั่ง จนต้องออกจากบ้านไปอาบแสงจันทร์ในที่ลับตาคน จากนั้นก็จะเกิดความผิดปกติของร่างกาย คือ มีขนยาวออกมา ที่มือมีเล็บแหลมคมงอกยาวน่ากลัว ฝ่ามือกลายเป็นอุ้งเท้าของหมาป่า ใบหน้ายื่นยาว มีเขี้ยวแหลมคม เดินสี่เท้า เห่าหอนเหมือนสัตว์ และออกทำร้ายผู้คนบาดเจ็บล้มตาย และเมื่อคืนวันเพ็ญผ่านไป ก็จะกลายร่างเป็นมนุษย์ดังเดิม จนกว่าคืนนั้นจะเวียนมาถึงอีกครั้ง เรื่องเล่านี้เป็นที่หวาดกลัวกันทุกยุคทุกสมัย โดยเฉพาะในสมัยโบราณ
แต่เรื่องเล่านั้นไม่มีใครสามารถยืนยัน หรือมีหลักฐานมาพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริง แต่มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นในลักษณะของมนุษย์หมาป่า และมีการบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานหลายเรื่องตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้พอจะเชื่อได้ว่า เรื่องของมนุษย์หมาป่าน่าจะมีมูลความจริงอยู่บ้าง ไม่ใช่แค่ตำนานเล่าขานเท่านั้น
ต่อไปนี้เป็นบันทึกเรื่องเล่าเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่า…
ในปี 1603 ในขณะที่เด็กหญิงเลี้ยงแกะกลุ่มหนึ่งกำลังดูแลฝูงแกะอยู่ในทุ่งทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มีเด็กชายอายุประมาณ 13 ปี ท่าทางไม่น่าไว้ใจ ผมยาวรุงรัง ฟันยาวขาวแหลม เด็กชายผู้นั้นเล่าให้เด็กหญิงฟังถึงเรื่องถ้ำแห่งหนึ่ง ที่สามารถเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นหมาป่าได้ในยามค่ำคืน และบอกว่าอาหารโปรดของเขาคือเนื้อของเด็กผู้หญิง
เด็กหญิงเลี้ยงแกะนั้นนำเรื่องของเด็กชายประหลาดกลับมาเล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง จึงเกิดมีการสอบสวนและจับตัวเด็กชายได้ ทราบทีหลังว่า เด็กชายนั้นชื่อ ฌอง เกรเนีย ซึ่งยอมรับสารภาพว่าเคยจับเด็กอ่อน และเด็กเล็กมาฉีกเนื้อกินเป็นอาหาร 15 รายแล้ว และที่สำคัญ เขายอมรับว่าเขาเป็น “มนุษย์หมาป่า”
ในยุโรปยุคกลาง (ค.ศ. 1520-1630) มีคนจำนวนมากถูกกล่าวหา หรือยอมรับสารภาพว่าตนเองเป็นมนุษย์หมาป่า (ซึ่งการยอมรับนั้นหมายถึงต้องถูกทรมานแสนสาหัสเสียก่อน) ผู้ถูกกล่าวหารายหนึ่งมีนามว่า ปีเตอร์ สทูปป์ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าข่มขืนเด็ก 14 ราย แล้วควักหัวใจออกมากิน รวมทั้งควักทารกในครรภ์ของหญิงท้องแก่สองรายมากิน รวมถึงฆ่าลูกชายเล็ก ๆ ของตนเองแล้วควักสมองออกมากิน นอกจากนี้ยังข่มขืนลูกสาวของตนเองอีกด้วย เขาต้องโทษประหารชีวิตด้วยวิธีที่ทารุณที่สุด ด้วยการมัดร่างกับล้อเกวียน แล้วใช้คีมที่ถูกเผาจนแดง คีบหนังออกจนหมดทั้งตัว แล้วดึงแขน ขา จนหลุดจากร่างทุกข้าง จากนั้นก็ตัดหัว และใช้ไฟเผาไม่ให้เหลือเถ้าถ่าน ซึ่งเป็นวิธีการจัดการกับผู้ที่ถูกเข้าใจว่าเป็นมนุษย์หมาป่า เพื่อไม่ให้มันฟื้นคืนชีพได้อีก
บางกรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นมนุษย์หมาป่าทั้งตระกูล ซึ่งเหตุเกิดที่บริเวณเขาจูร่าในฝรั่งเศส ช่วงศตวรรษที่ 16 หญิงคนหนึ่งชื่อ พีเรนเนทท์ ถูกฝูงชนรุมฉีกร่างออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลังจากที่เธอฆ่าเด็กอ่อน และญาติ ๆ ของเธอถูกจับและตัดสินโทษประหาร เพื่อพบว่ามีน้ำมันนวดตัวที่ทำให้กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่า
นายเปียร์ บูโก้ ผู้มีอาชีพเลี้ยงสัตว์ ประกาศยกเลิกนับถือศาสนา และอุทิศตนรับใช้ทหารม้าลึกลับในชุดดำสามคน เพื่อให้ช่วยปกป้องดูแลฝูงแกะของเขา เขาคบเพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อมิเชล แวร์ดัม ที่หันไปนับถือลัทธิซาตาน และใช้น้ำมันนวดตัวให้กลายเป็นหมาป่า ต่อมาเขาทั้งสองถูกจับในข้อหาประกอบอาชญากรรม และสร้างความตื่นกลัวให้ประชาชน ภายหลังพบว่าเขาฉีกเนื้อเด็กอายุ 7 ขวบ และกินเด็กหญิงวัย 4 ขวบเป็นอาหาร จึงถูกตัดสินโทษประหาร
ในศตวรรษที่ 16 เกิดคดีเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่าถึง 30,000 คดี นั่นคือเรื่องราวของมนุษย์หมาป่าในยุคกลาง ซึ่งเป็นยุคที่หวาดกลัวมนุษย์หมาป่ากันมากที่สุด เพราะมันชอบขโมยเด็กไปกิน ทำร้ายผู้ใหญ่ รวมทั้งขโมยสัตว์เลี้ยง ดังนั้นไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ร้าย ๆ แบบไหนเกิดขึ้น คนจึงมักเหมารวมว่าเป็นฝีมือของมนุษย์หมาป่า
ในยุคโบราณก็มีการกล่าวขวัญถึงมนุษย์หมาป่ามากมายจนกลายเป็นตำนานเช่นกัน และยังมีการบันทึกเป็นหลักฐานอีกด้วย เช่น ช่วง 2,000 ปี ก่อนคริสตกาล มีการบันทึกว่า มีผู้สมัครใจกลายร่างเป็ยมนุษย์หมาป่า ช่วง 35 ปี ก่อนคริสตกาลมีนิทานปรัมปราของกรีกกล่าวว่า เทพซูสได้สาปกษัตริย์ลีคาโอนเป็นหมาป่า มีการเรียกมนุษย์หมาป่าว่า Lycanthrope
ฟัง ๆ ดูแล้วเรื่องราวของมนุษย์หมาป่าก็ยังดูเหมือนเป็นเรื่องเล่าอยู่ดี เพราะเกิดขึ้นในยุคโบราณ และยุคกลาง ซึ่งพิสูจน์ยากว่าเป็นจริง หรือแม้จะเป็นจริง ในตอนนี้ก็คงไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว คงไว้เพียงแค่ตำนาน แต่ผิดถนัด เพราะวงการแพทย์สมัยใหม่ระบุว่า “มนุษย์หมาป่านั้นมีอยู่จริง และยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน” เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวจนเกินเหตุ เพราะบุคคลเหล่านั้นไม่ใช่ปีศาจแต่อย่างใด แต่เป็นผู้ที่มีอาการป่วยทางจิต หรือทางร่างกายเท่านั้นเอง
ปี 1975 วารสารสมาคมจิตแพทย์แคนาดา ตีพิมพ์เรื่องของคนไข้สองรายที่กินยาผิด รายหนึ่งเกิดอาการงุ่นง่าย ทุรนทุราย อยากเข้าป่าล่าสัตว์มาเป็นอาหาร เกิดความรู้สึกว่าขนกำลังจะงอกตามตัวจำนวนมาก อีกรายหนึ่งก็เกิดอาการคล้าย ๆ กัน ซึ่งวงการแพทย์ลงความเห็นว่าเป็นความผิดปกติด้านอายุรกรรม เนื้อเยื่อสมองถูกทำลาย
ปี 1965 นายแอล. อิลลิส เสนอรายงานว่า อาการมนุษย์หมาป่าน่าจะเป็นอาการของโรค Porphyria ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่ง ที่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก มีอาการผิวหนังเป็นสีเหลือง มีขนขึ้นเต็ม และอ่อนไหวต่อแสงแดดมาก นอกจากนี้จะมีเนื้องอกที่ฝ่ามือทำให้มือผิดรูปงองุ้มคล้ายอุ้งเท้า มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนดุร้าย และบางรายก็ชี้ว่าเป็นอาการของโรค Hypertrichosis Universalis คือมีขนงอกเร็วและดกผิดปกติ
แต่เรื่องเล่านั้นไม่มีใครสามารถยืนยัน หรือมีหลักฐานมาพิสูจน์ได้ว่าเป็นเรื่องจริง แต่มีเหตุการณ์หลายอย่างที่เกิดขึ้นในลักษณะของมนุษย์หมาป่า และมีการบันทึกเรื่องราวเหล่านั้นไว้เป็นหลักฐานหลายเรื่องตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้พอจะเชื่อได้ว่า เรื่องของมนุษย์หมาป่าน่าจะมีมูลความจริงอยู่บ้าง ไม่ใช่แค่ตำนานเล่าขานเท่านั้น
ต่อไปนี้เป็นบันทึกเรื่องเล่าเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่า…
ในปี 1603 ในขณะที่เด็กหญิงเลี้ยงแกะกลุ่มหนึ่งกำลังดูแลฝูงแกะอยู่ในทุ่งทางตอนใต้ของฝรั่งเศส มีเด็กชายอายุประมาณ 13 ปี ท่าทางไม่น่าไว้ใจ ผมยาวรุงรัง ฟันยาวขาวแหลม เด็กชายผู้นั้นเล่าให้เด็กหญิงฟังถึงเรื่องถ้ำแห่งหนึ่ง ที่สามารถเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นหมาป่าได้ในยามค่ำคืน และบอกว่าอาหารโปรดของเขาคือเนื้อของเด็กผู้หญิง
เด็กหญิงเลี้ยงแกะนั้นนำเรื่องของเด็กชายประหลาดกลับมาเล่าให้ผู้ใหญ่ฟัง จึงเกิดมีการสอบสวนและจับตัวเด็กชายได้ ทราบทีหลังว่า เด็กชายนั้นชื่อ ฌอง เกรเนีย ซึ่งยอมรับสารภาพว่าเคยจับเด็กอ่อน และเด็กเล็กมาฉีกเนื้อกินเป็นอาหาร 15 รายแล้ว และที่สำคัญ เขายอมรับว่าเขาเป็น “มนุษย์หมาป่า”
ในยุโรปยุคกลาง (ค.ศ. 1520-1630) มีคนจำนวนมากถูกกล่าวหา หรือยอมรับสารภาพว่าตนเองเป็นมนุษย์หมาป่า (ซึ่งการยอมรับนั้นหมายถึงต้องถูกทรมานแสนสาหัสเสียก่อน) ผู้ถูกกล่าวหารายหนึ่งมีนามว่า ปีเตอร์ สทูปป์ ซึ่งถูกกล่าวหาว่าข่มขืนเด็ก 14 ราย แล้วควักหัวใจออกมากิน รวมทั้งควักทารกในครรภ์ของหญิงท้องแก่สองรายมากิน รวมถึงฆ่าลูกชายเล็ก ๆ ของตนเองแล้วควักสมองออกมากิน นอกจากนี้ยังข่มขืนลูกสาวของตนเองอีกด้วย เขาต้องโทษประหารชีวิตด้วยวิธีที่ทารุณที่สุด ด้วยการมัดร่างกับล้อเกวียน แล้วใช้คีมที่ถูกเผาจนแดง คีบหนังออกจนหมดทั้งตัว แล้วดึงแขน ขา จนหลุดจากร่างทุกข้าง จากนั้นก็ตัดหัว และใช้ไฟเผาไม่ให้เหลือเถ้าถ่าน ซึ่งเป็นวิธีการจัดการกับผู้ที่ถูกเข้าใจว่าเป็นมนุษย์หมาป่า เพื่อไม่ให้มันฟื้นคืนชีพได้อีก
บางกรณีถูกกล่าวหาว่าเป็นมนุษย์หมาป่าทั้งตระกูล ซึ่งเหตุเกิดที่บริเวณเขาจูร่าในฝรั่งเศส ช่วงศตวรรษที่ 16 หญิงคนหนึ่งชื่อ พีเรนเนทท์ ถูกฝูงชนรุมฉีกร่างออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย หลังจากที่เธอฆ่าเด็กอ่อน และญาติ ๆ ของเธอถูกจับและตัดสินโทษประหาร เพื่อพบว่ามีน้ำมันนวดตัวที่ทำให้กลายร่างเป็นมนุษย์หมาป่า
นายเปียร์ บูโก้ ผู้มีอาชีพเลี้ยงสัตว์ ประกาศยกเลิกนับถือศาสนา และอุทิศตนรับใช้ทหารม้าลึกลับในชุดดำสามคน เพื่อให้ช่วยปกป้องดูแลฝูงแกะของเขา เขาคบเพื่อนคนหนึ่งที่ชื่อมิเชล แวร์ดัม ที่หันไปนับถือลัทธิซาตาน และใช้น้ำมันนวดตัวให้กลายเป็นหมาป่า ต่อมาเขาทั้งสองถูกจับในข้อหาประกอบอาชญากรรม และสร้างความตื่นกลัวให้ประชาชน ภายหลังพบว่าเขาฉีกเนื้อเด็กอายุ 7 ขวบ และกินเด็กหญิงวัย 4 ขวบเป็นอาหาร จึงถูกตัดสินโทษประหาร
ในศตวรรษที่ 16 เกิดคดีเกี่ยวกับมนุษย์หมาป่าถึง 30,000 คดี นั่นคือเรื่องราวของมนุษย์หมาป่าในยุคกลาง ซึ่งเป็นยุคที่หวาดกลัวมนุษย์หมาป่ากันมากที่สุด เพราะมันชอบขโมยเด็กไปกิน ทำร้ายผู้ใหญ่ รวมทั้งขโมยสัตว์เลี้ยง ดังนั้นไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ร้าย ๆ แบบไหนเกิดขึ้น คนจึงมักเหมารวมว่าเป็นฝีมือของมนุษย์หมาป่า
ในยุคโบราณก็มีการกล่าวขวัญถึงมนุษย์หมาป่ามากมายจนกลายเป็นตำนานเช่นกัน และยังมีการบันทึกเป็นหลักฐานอีกด้วย เช่น ช่วง 2,000 ปี ก่อนคริสตกาล มีการบันทึกว่า มีผู้สมัครใจกลายร่างเป็ยมนุษย์หมาป่า ช่วง 35 ปี ก่อนคริสตกาลมีนิทานปรัมปราของกรีกกล่าวว่า เทพซูสได้สาปกษัตริย์ลีคาโอนเป็นหมาป่า มีการเรียกมนุษย์หมาป่าว่า Lycanthrope
ฟัง ๆ ดูแล้วเรื่องราวของมนุษย์หมาป่าก็ยังดูเหมือนเป็นเรื่องเล่าอยู่ดี เพราะเกิดขึ้นในยุคโบราณ และยุคกลาง ซึ่งพิสูจน์ยากว่าเป็นจริง หรือแม้จะเป็นจริง ในตอนนี้ก็คงไม่มีหลงเหลืออยู่แล้ว คงไว้เพียงแค่ตำนาน แต่ผิดถนัด เพราะวงการแพทย์สมัยใหม่ระบุว่า “มนุษย์หมาป่านั้นมีอยู่จริง และยังคงมีอยู่ในปัจจุบัน” เพียงแต่ไม่ใช่เรื่องน่ากลัวจนเกินเหตุ เพราะบุคคลเหล่านั้นไม่ใช่ปีศาจแต่อย่างใด แต่เป็นผู้ที่มีอาการป่วยทางจิต หรือทางร่างกายเท่านั้นเอง
ปี 1975 วารสารสมาคมจิตแพทย์แคนาดา ตีพิมพ์เรื่องของคนไข้สองรายที่กินยาผิด รายหนึ่งเกิดอาการงุ่นง่าย ทุรนทุราย อยากเข้าป่าล่าสัตว์มาเป็นอาหาร เกิดความรู้สึกว่าขนกำลังจะงอกตามตัวจำนวนมาก อีกรายหนึ่งก็เกิดอาการคล้าย ๆ กัน ซึ่งวงการแพทย์ลงความเห็นว่าเป็นความผิดปกติด้านอายุรกรรม เนื้อเยื่อสมองถูกทำลาย
ปี 1965 นายแอล. อิลลิส เสนอรายงานว่า อาการมนุษย์หมาป่าน่าจะเป็นอาการของโรค Porphyria ซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมชนิดหนึ่ง ที่ไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก มีอาการผิวหนังเป็นสีเหลือง มีขนขึ้นเต็ม และอ่อนไหวต่อแสงแดดมาก นอกจากนี้จะมีเนื้องอกที่ฝ่ามือทำให้มือผิดรูปงองุ้มคล้ายอุ้งเท้า มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนดุร้าย และบางรายก็ชี้ว่าเป็นอาการของโรค Hypertrichosis Universalis คือมีขนงอกเร็วและดกผิดปกติ
มนุษย์หมาป่า ไม่ใช่แค่ตำนาน!
[img]
[IMG]
[/img]