แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย kake06 เมื่อ 2012-1-15 13:43
น่าทึ่ง!!! John Titor มนุษย์อนาคตผู้ย้อนเวลามาจากคศ. 2036
เรื่องเล่าของคนเหล่านั้นเป็นที่กังขาของคนส่วนใหญ่เพราะขาดวัตถุหลักฐานยืนยัน จนกระทั่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมามีคนสังเกตเห็นสิ่งผิดปรกติในภาพถ่ายอายุ 70 ปีของพิพิธภัณฑ์แห่งหนึ่งในประเทศแคนาดาเป็นภาพคนแต่งกายทันสมัยถือกล้องถ่ายภาพขนิดพกพายืนอยู่ท่ามกลุ่มคนและภาพนี้ได้รับการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญแล้วว่าเป็นภาพถ่ายจริงที่ไม่ผ่านการตบแต่งแต่อย่างใด
คอมพิวเตอร์กู้โลก
จอห์น ไตเตอร์ (John Titor) ปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในห้องพูดคุยสาธารณะแห่งหนึ่งบนอินเทอร์เน็ตเมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน 2000 โดยครั้งแรกเขาได้ลงทะเบียนชื่อว่า“Timetravel_0” และได้เปลี่ยนไปใช้ชื่อ “John Titor” ในภายหลัง
แน่นอนว่าชื่อ John Titor เป็นนามแฝงJohn เป็นชื่อสามัญเหมือนกับชื่อสมชาย ของคนไทย ส่วน Titor เป็นคำย่อของคำว่า Time Travelor โดยเล่นคำสะกดพยางค์สุดท้ายTravelor ด้วย or แทนที่จะเป็น Traveler สะกดด้วยer
เขา ออกตัวว่าเป็นผู้ที่เดินทางมาจากอนาคตเมื่อปี 2036 ด้วยเครื่องย้อนกาลเวลาที่ผลิตขึ้นในปี2034 โดยบริษัทGE (General Electronic) เพื่อพิสูจน์ว่าคำพูดของเขาเป็นความจริงจอห์นได้โพสต์ภาพถ่ายเครื่องย้อนกาลเวลา (Time Machine) และคู่มือการใช้งานเครื่องให้ทุกคนได้เห็น
แน่ นอนว่าผู้คนที่เข้าร่วมวงสนทนาไม่เชื่อน้ำมนต์ของนายจอห์น ไตเตอร์หลายคนพยายามยิงคำถามต่างๆนานาเพื่อจับผิดเขาแต่ดูเหมือนจอห์นจะสามารถตอบคำถามเหล่านั้นได้ทั้งหมด แถมยังสอนมวยกลับมายังคนลองภูมิอีกด้วย
หลายๆคำถามที่จอห์น ไตเตอร์ ยิงกลับมายังผู้ร่วมสนทนาไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไรแต่เมื่อไปค้นคว้าดูในภายหลังพบว่ามันล้วนแล้วแต่เกี่ยวข้องกับฟิสิกส์ชั้นสูงทั้งสิ้น อีกทั้งคำเตือนเรื่องจะเกิดการแพร่ระบาดของโรคสมองฝ่อ (Mad Cow Disease) ได้เกิดขึ้นจริงในปี 2001 ทำให้หลายคนชักจะลังเล
ร่ำรวยด้วยความรู้ประวัติศาสตร์
เดือน มกราคม 2003 หนังสือพิมพ์วีคลีย์เวิลด์ด์นิวส์ (Weekly World News) ตีพิมพ์ข่าวเจ้าหน้าที่ FBI บุกจับกุมตัวแอนดรูว์คาร์ลส์ซิน (Andrew Carlssin) วัย 44 ปี ในข้อหานำข้อมูลลับภายในไปแสวงหาผลประโยชน์ในตลาดหลักทรัพย์
สำนักงานคณะกรรมการ กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(Security and Exchange Commission) ได้แจ้งความดำเนินคดีกับนายแอนดรูว์โดยสงสัยว่าเขานำข้อมูลลับของบริษัทมหาชนต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ไปแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเองเพราะแอนดรูว์สร้างความร่ำรวยในเวลาเพียงชั่วพริบตาด้วยการลงทุนเพียง 800 ดอลลาร์ซื้อหุ้นต่างๆแล้วขายออกไปนำเงินที่ได้กลับมาซื้อหุ้นตัวใหม่แล้วทำชอร์ตเซลขายออกไปอีกครั้งทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนเงินทุนเริ่มต้น 800 ดอลลาร์เพิ่มพูนขึ้นเป็น350 ล้านดอลลาร์ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์เท่านั้น
แอ นดรูว์รับสารภาพโดยให้การว่าเขามีข้อมูลว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้นในช่วงเวลานั้น เพราะเขามาจากโลกอนาคตในปี2556 เขาเพียงศึกษาประวัติศาสตร์ข้อมูลทางเศรษฐกิจนำความรู้ที่ได้ติดตัวเดินทางย้อนอดีตมาในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อช้อนซื้อ หุ้น
เดิมทีนั้นเขาตั้งใจจะลงทุนแบบค่อยๆเป็นค่อยๆไปไม่ให้เป็นที่ผิดสังเกต หากแต่ความโลภทำให้เขาหักห้ามใจไม่อยู่เทเงินที่หามาได้ในช่วงแรกๆลงทุนซื้อหุ้นที่เขารู้อยู่แล้วว่ามันจะมีราคา สูงขึ้นจนกระทั่งไปสะดุดตาเจ้าหน้าที่สำนักงาน ก.ล.ต.
หายตัวอย่างลึกลับ
แอ นดรูว์หายตัวไปอย่างลึกลับระหว่างที่ตำรวจควบคุมตัวขึ้นศาลพร้อมกับข่าวคราวการจับกุมตัวเขา ไม่มีสื่อใดๆเสนอข่าวนี้เมื่อผู้สื่อข่าวสอบถามไปยังสำนักงาน ก.ล.ต. และ FBI เจ้าหน้าที่ทุกคนล้วนปฏิเสธตรงกันว่าไม่เคยได้ยินชื่อแอนดรูว์คาร์ลส์ซิน มาก่อน
ปี 2006 แอนดรูว์โผล่ออกมาให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์วีคลีย์เวิลด์ด์นิวส์อีกครั้งเขาไม่ยอมเปิดเผยว่าสามารถเล็ดลอดจากการควบคุมตัวมาได้อย่างไรโดยบอกแต่เพียงว่าตอนนี้เขาทำงานบริษัทสำรวจและผลิตปิโตรเลียมแห่งหนึ่งใน แคนาดา
เช่นเคย เขาใช้ข้อมูลที่เป็นประวัติศาสตร์ในยุคสมัยเขาล่วงรู้ว่า“ทรายน้ำมัน” (Tar Sands) เป็นแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่ที่จะมาทดแทนบ่อน้ำมันตามที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันโดยเฉพาะทรายน้ำมันอัลเบอร์ตา (AlbertaTar Sands) ของประเทศแคนาดาเพียงแห่งเดียวสามารถผลิตน้ำมันได้มากถึง 3 แสนล้านบาร์เรล
การรีดน้ำมันออกมาจากทรายนั้นไม่ง่ายเหมือนกับการขุดเจาะน้ำมันทั่วๆไปเขาต้องสร้างเครื่องมือพิเศษที่เรียกว่า “คาร์ลส์ซินนิซิตี้” (Carlssinicity) เพื่อใช้ในการแยกน้ำมันดิบออกจากทราย โดยมีค่าใช้จ่ายเพียง1 ดอลลาร์ต่อ1 บาร์เรลเท่านั้น
เป็นที่น่าสังเกตว่ามีเพียงหนังสือพิมพ์วีคลีย์เวิลด์ด์นิวส์เท่านั้นที่ลงเรื่องราวของแอนดรูว์ คาร์ลส์ซินและหนังสือพิมพ์ฉบับนี้ได้รับสมญานามว่าเป็นหนังสือพิมพ์ประเภทลงข่าวโคมลอยเพื่อความบันเทิง (EntertainmentTabloid) อย่างไรก็ตามมันเป็นความบังเอิญอย่างน่าประหลาดที่ต่อมาในปี 2008 สำนักงานพลังงานหลายแห่งทั่วโลกยอมรับว่าสามารถแยกน้ำมันดิบออกจากทรายน้ำมันได้จริง ซึ่งมันจะเป็นแหล่งพลังงานที่สำคัญในอนาคต และทรายน้ำมันอัลเบอร์ตาเป็นหนึ่งในแหล่งพลังงานที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่ง
หยุดยั้งโครงการหลุมดำ
เมื่อ ไม่กี่วันที่ผ่านมาหน่วยรักษาความปลอดภัยองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปสามารถจับกุมตัวอีลอย โคล (EloiCole) ระหว่างพยายามก่อวินาศกรรมเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่(Large Hardon Collider) ของห้องทดลองเซิร์น (European Organization for Nuclear Research; CERN) ซึ่งกำลังทำการทดลองสร้างหลุมดำจำลอง (Black Hole)
อีลอยให้การว่าเขาลอบเข้ามาในห้องทดลองเพื่อหาแหล่งพลังงานให้กับเครื่องเดินทางข้ามเวลาของเขา และเตือนว่าการทดลองสร้างหลุมดำจำลองนี้นำไปสู่การสร้างแหล่งพลังงานที่มีอย่างไม่จำกัดในอนาคตอันเป็นการนำไปสู่หายนะของโลกในที่สุด
อีลอยยังบอกอีกด้วยว่าเขาเองเป็นคนที่ก่อวินาศกรรมเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2009 ทำให้เครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่มีอุณหภูมิสูงขึ้นจนอาจก่อให้เกิดอันตรายทำให้นักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องหยุดการเดินเครื่องชั่วคราว
เหตุการณ์ในครั้งนั้นนักวิทยาศาสตร์พบว่าต้นเหตุคือเศษขนมปังชิ้นเล็กๆหลุดเข้าไป เครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่โดยเข้าใจว่ามีนกคาบเศษขนมปังบินผ่านเครื่องเร่งอนุภาคขนาดใหญ่แล้วทำเศษขนมปังหล่นลงมา
ระหว่างที่อีลอยถูกควบคุมตัวในห้องขังเพื่อรอการส่งตัวไปยังสถานบำบัดโรคทางจิต เขาก็หายตัวไปอย่างลึกลับบนสถานีตำรวจกลางกรุงเจนีวานั่นเอง
หลักฐานชิ้นสำคัญ
เดือน กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พิพิธภัณฑ์ Bralorne Pioneer Museum ได้แสดงนิทรรศการภาพถ่ายเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ในอดีตผ่านทางภาพถ่ายโดยหนึ่งในภาพถ่ายนั้นเป็นภาพกลุ่มคนมุงดูเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 1941
ท่าม กลางฝูงชนในภาพมีชายคนหนึ่งแต่งกายผิดแผกแตกต่างไปจากผู้คนในยุคสมัยนั้น โดยเขามีทรงผมล้ำสมัยสวมแว่นตาดำ ใส่เสื้อยืดสวมเสื้อแจ๊กเกตทับ อันเป็นแฟชั่นในยุคปัจจุบันไม่ใช่เมื่อ 70 ปีก่อนแต่ที่สำคัญกว่าการแต่งกายคือชายคนนี้ถือกล้องถ่ายรูปพกพาที่ยังไม่ผลิตออกจำหน่ายในสมัยนั้น
ภาพถ่ายใบนี้เป็นภาพถ่ายโบราณของพิพิธภัณฑ์ BralornePioneer Museum ไม่ใช่ภาพถ่ายทั่วๆไปที่คนมือบอนจะนำตบแต่งด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์กราฟิคได้พิสูจน์แล้วว่าภาพนี้เป็นภาพถ่ายจริงที่ไม่ผ่านการตบแต่งมันจึงถูกกล่าวขานว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่พิสูจน์ว่ามีคนจากอนาคตเดินทางย้อนเวลามาสู่อดีตจริง
ภาพถ่ายภาพนี้จึงกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในสังคมอินเทอร์เน็ตตั้งแต่กลางเดือนเมษายนที่ผ่านมาหลายคนพยายามสืบค้นว่าบุคคลแปลกปลอมในภาพถ่ายเป็นใคร มาจากไหนในขณะเดียวกันผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องการเดินทางย้อนเวลาก็พยายามหาข้อมูลมาหัก ล้างซึ่งผลการดีเบตระหว่างคน 2 ฝ่ายนี้จะเป็นอย่างไรเราก็ต้องคอยติดตามข่าวกันต่อไป
เดือน กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา พิพิธภัณฑ์ Bralorne Pioneer Museum ได้แสดงนิทรรศการภาพถ่ายเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ในอดีตผ่านทางภาพถ่ายโดยหนึ่งในภาพถ่ายนั้นเป็นภาพกลุ่มคนมุงดูเหตุการณ์น้ำท่วมในปี 1941
ท่าม กลางฝูงชนในภาพมีชายคนหนึ่งแต่งกายผิดแผกแตกต่างไปจากผู้คนในยุคสมัยนั้น โดยเขามีทรงผมล้ำสมัยสวมแว่นตาดำ ใส่เสื้อยืดสวมเสื้อแจ๊กเกตทับ อันเป็นแฟชั่นในยุคปัจจุบันไม่ใช่เมื่อ 70 ปีก่อนแต่ที่สำคัญกว่าการแต่งกายคือชายคนนี้ถือกล้องถ่ายรูปพกพาที่ยังไม่ผลิตออกจำหน่ายในสมัยนั้น
ภาพถ่ายใบนี้เป็นภาพถ่ายโบราณของพิพิธภัณฑ์ BralornePioneer Museum ไม่ใช่ภาพถ่ายทั่วๆไปที่คนมือบอนจะนำตบแต่งด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ได้อีกทั้งผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์กราฟิคได้พิสูจน์แล้วว่าภาพนี้เป็นภาพถ่ายจริงที่ไม่ผ่านการตบแต่งมันจึงถูกกล่าวขานว่าเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่พิสูจน์ว่ามีคนจากอนาคตเดินทางย้อนเวลามาสู่อดีตจริง
ภาพถ่ายภาพนี้จึงกลายเป็นทอล์คออฟเดอะทาวน์ในสังคมอินเทอร์เน็ตตั้งแต่กลางเดือนเมษายนที่ผ่านมาหลายคนพยายามสืบค้นว่าบุคคลแปลกปลอมในภาพถ่ายเป็นใคร มาจากไหนในขณะเดียวกันผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องการเดินทางย้อนเวลาก็พยายามหาข้อมูลมาหัก ล้างซึ่งผลการดีเบตระหว่างคน 2 ฝ่ายนี้จะเป็นอย่างไรเราก็ต้องคอยติดตามข่าวกันต่อไป
Credit : Clipmass.com
"ฟังหูไว้หูน้าาา"
**อาจจะเคยอ่านกันมาบ้างแล้ว ต้องขออภัย เพิ่งเคยอ่านเจอครั้งแรกอ่านแล้วตื่นเต้น ว่าแต่คุ้นชื่อ John Titor กันมั้ย มาสะดุดกะชื่อนี้ ฮ่าๆ
ที่จริงเคยมีเกี่ยวกะ John Titor ในบอร์ด ขออนุญาติอ้างอิง >> http://2th.me/12952
John Titor มนุษย์อนาคตผู้ย้อนเวลา
[IMG]