ผีมีจริงหรือไม่?
หลวงพ่อ “คุณถือเอามาด้วยทำไม”
ข้าพเจ้าชักลังเล คิดในใจว่า หลวงพ่อจะมารูปใดอีก แต่ก็ตอบไปว่า
“มีครับ”
“ถึงเวลาอะไรครับหลวงพ่อ” ข้าพเจ้ารีบถาม ชักใจไม่ค่อยดี
“ถึงเวลาตายน่ะซี่” หลวงพ่อตอบทำเอาข้าพเจ้าสะดุ้งสุดตัว หลวงพ่อมองเห็นอาการของข้าพเจ้าก็หัวเราะพูดต่อว่า
“คุณน่ะยังไม่ตายหรอก แต่ความประพฤติปฏิบัติเก่าๆ ของคุณจะค่อยๆ ตายจากไปเพราะคุณเป็นคนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นทุนเดิมอยู่มาก เนื่องจากได้สร้างสมมาแต่อดีตชาติ หากแต่จิตของคุณในขณะนั้นมันมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่มาก และขาดผู้ชี้แนะที่คุณศรัทธาเท่านั้นเองหากเมื่อใดปัญหาที่คุณเคลือบแคลงสงสัยถูกขจัดให้หมดไปได้ เมื่อนั้นคุณจะเห็นแสงธรรมและบัดนี้ ก็เริ่มถึงเวลาของคุณแล้วที่ได้มีโอกาสมาพบฉัน คุณมีอะไรที่สงสัยก็ถามมา การถามเป็นวิสัยของคนฉลาดพระพุทธเจ้าเองท่านก็สอนมิให้เชื่ออะไรง่ายๆ เพราะผลอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมานั้นย่อมมาแต่เหตุทั้งสิ้น จึงต้องศึกษาให้กระจ่างเสียก่อนแล้วจึงเชื่อเหมือนดังเช่นพระสารีบุตร ท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์หลังพระที่ได้บวชรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งนี้เพราะท่านไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ ต้องศึกษาค้นคว้าและพิสูจน์กันก่อน แต่เมื่อท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วท่านก็ได้รับการยกย่องให้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าองค์เพราะเป็นผู้เลิศด้วยปัญญา (พระโมคคัลน์ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเสิศด้วยอิทธิฤทธิ์) เป็นต้น” หลวงพ่อ ได้อธิบายและให้กำลังแก่ข้าพเจ้าในการถามด้วยความเมตตาฉะนี้
“หลวงพ่อครับ ถ้ายังงั้นผมขอถามต่ออีกนิดนะครับ คือว่าการที่ตัวผมชาขยับเขยื้อนไม่ได้ในขณะที่เห็นท่านเทพฤทธิ์ ทั้ง 2-3 ครั้ง นั้น จะเป็นเพราะท่านช่วยปรับความถี่ในตัวผมให้ประสาทในการมองเห็นของผมมีความถี่เดียวกับท่านใช่ไหมครับ ผมจึงมองเห็นท่านได้ “ ข้าพเจ้ารีบถามต่อทันที
“ก็เป็นทำนองนั้น แต่เป็นการปรับให้เห็นทางจิตโดยตรงทีเดียวนะ ตามปกติตาของคนเรามองเห็นอะไรก็บอกให้จิตรับรู้ แต่ถ้ามองไปที่สิ่งนั้นแบบ เลื่อนลอยไม่บอกให้จิตรับรู้ ก็ย่อมไม่เห็นในสิ่งนั้นเช่นกัน” หลวงพ่อตอบ
“ถูกต้อง คุณเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างหรือไม่ว่า คนที่ใกล้จะตายนั้นบางคนทำไมจึงแสดงอาการหวาดกลัวตาเหลือกลานโบกไม่โบกมือไล่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งคนธรรมดาที่อยู่รอบข้างเขามองไม่เห็น และบางครั้งก็ถึงกับร้องออกมาอย่างหวาดกลัวว่า “ข้ายังไม่ไป อย่ามาเอาตัวข้าไป อย่าเข้ามา” อะไรทำนองนั้น ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าความถี่ในการมองเห็นและการได้ยินของคนใกล้จะตายนั้นใกล้เคียงกับความถี่ของคนที่ตายไปแล้วเขาจึงติดต่อและเห็นกันได้ ด้วยเหตุนี้ แม้คนไม่ต้องฝึกจิตก็ย่อมได้เห็นผีอย่างแน่นอน แต่จะเป็นการเห็นตอนใกล้จะตาย ซึ่งก็ย่อมเป็นการสายเกินไป ดังนั้นใครก็ตามที่ไม่สามารถมองเห็นผี เห็นเทวดา หรือเห็นพรหม หรือเห็นพระนิพพานได้ ก็อย่าไปคิดว่าทุกคนคงจะไม่เห็นเหมือนตน เพราะว่าท่านที่ทรงฌาน และได้ญาณที่เพียรพยายามฝึกจิตจนสามารถปรับความถี่ในการมองเห็น และการได้ยินอีกทั้งยังสามารถติดต่อกับผู้อยู่ต่างภพได้ ในปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีอยู่มิใช่น้อยเลย” หลวงพ่ออธิบายและเมื่อเห็นข้าพเจ้าฟังด้วยความสนใจ ก็พูดต่อว่า
“ถ้าคุณ ต้องการเห็นผี เห็นเปรตก็ต้องเจริญกสินกองใดกองหนึ่งแล้วฝึกทิพจักษุญาณจนมีระดับฌานเพียงแค่อุปจารฌาน หรือ ฌาน1,ฌาน 2 ก็พอ คุณก็จะได้เห็นผี เห็นเปรตนะ แม้แต่เทวดาคุณก็พอจะเห็นได้แต่ไม่ชัดนะ แต่ถ้าคุณอยากจะเห็นพรหม ก็ต้องได้ฌาน 4 จะเห็นได้แต่ไม่ชัดนะ แต่ถ้าคุณอยากจะเห็นพรหม ก็ต้องได้ฌาน 4 ชำนาญ ทิพยจักษุญาณจะแจ่มใสขึ้น สามารถเห็นพรหมได้ แต่จะเห็นพระนิพพานไม่ได้ ถ้าอยากจะเห็นพระนิพพานก็ต้องเจริญวิปัสสนาญาณโลกียฌานที่เคยได้ไว้ ก็จะกลายเป็นโลกุตรฌานขึ้นมา เกิดวิมุตติญาณทัสนะขึ้น เท่านี้พระนิพพานก็จะปรากฏชัดเจนแก่ญาณจักษุเอง แต่พระโสดาบันนี้จะเพียงได้แต่เห็นเท่านั้นนะ ยังอาศัยพระนิพพานเป็นที่พักผ่อนไม่ได้” หลวงพ่ออธิบาย
“วิมุตติญาณทัสนะ แปลว่าอะไรครับ หลวงพ่อ?”
“วิมุตติญาณทัสนะ แปลว่า หลุดพ้นจากกิเลสพร้อมกับมีญาณเป็นเครื่องรับรู้ยังไงล่ะ” หลวงพ่อตอบยิ้มๆ
ความเคลือบแคลงสงสัยของข้าพเจ้า เกี่ยวกับเรื่องผีนั้นมีมาตั้งแต่เด็กๆ ใครก็มักจะเล่ากันถึงแต่เรื่องผี และที่ฮิตที่สุดก็มันจะหนีไม่พ้นเรื่องนางนาคพระโขนง เด็กบางคนที่เถียงผู้ใหญ่ ก็มักจะถูกผู้ใหญ่ขู่ว่าระวังนะตายไปแล้วจะต้องเป็นเปรตปากเท่ารูเข็ม ยิ่งในสมัยสงครามมีผู้คนตามกันมากมาย ก็ยางมีการเล่าขานกันถึงเรื่องผีมากยิ่งขึ้น จนเด็ก ๆ ในสมัยนั้นขวัญหนีดีฝ่อกันไปหมด ยิ่งเวลาพลบค่ำเดือนมืดเดินผ่านที่เปลี่ยว ๆ ด้วยแล้ว ดูเหมือนผีจะมีอิทธิพลเหนือผู้คนไปเสียหมดแม้เมื่อตอนข้าพเจ้าได้เข้าเป็นนักเรียนนายร้อย จปร. ก็มีการเล่าขานกันว่ามีนักเรียนนายร้อยผู้หนึ่ง ในขณะที่อยู่เวรเฝ้ากำปั่นเงินบนตึกกองบัญชาการชั้น 2 ได้เห็นผีหัวขาด เดินลงบันไดมาจากชั้น 3 มือขวาหิ้วหัวตัวเอง ถึงกับใช้ปืนยิงไปจนหมดแมกกาซีน แต่คนอย่างข้าพเจ้าก็หาได้เยเชื่อถือไม่ ยังคงมุดรัวหนีเที่ยวผ่านป่าช้าวัดมงกุฎกษัตริย์ฯยามค่ำคืนเป็นประจำ และส่วนมาก็มักไปคนเดียวด้วย หาได้มีภูตผีปีศาจตนใดเข้ามาวุ่นวายกับข้าพเจ้าไม่ และแม้เมื่อข้าพเจ้าต้อรับหน้าที่อยู่เวรเฝ้ากำปั่นเงินซึ่งใครๆ กลัวกันนักหนา ข้าพเจ้าก็ยังยืนดูรูปคนถูกตัดหัวที่เขาติดขู่ไว้ที่ลูกกรงกำปั่นแก้ง่วงเสียด้วย
ในปี พ.ศ.2503 ตอนต้นๆ ปี เมื่อข้าพเจ้ารับราชการอยู่ที่กองบิน 4 ตาคลี จังหวัดนครสวรรค์ ผู้บังคับการกองบิน 4 ในขณะนั้นคือนาวาอากาศเอกบัญชา เมฆวิชัย(ปัจจุบัน พลอากาศเอกและได้ถึงแก่กรรมแล้ว) ได้จัดให้นาทหารสัญญาบัตรโสด พักอยู่รวมกันที่บ้านพักหลังใหญ่ใกล้ๆ กับกองรักษาการณ์ (ปัจจุบันเป็นกองร้อยทหารสารวัตร) ซึ่งรวมกันทั้งหมด 10 คนด้วยกัน และส่วนมากในตอนเย็นวันศุกร์ก็จะเดินทางกลับเข้ากรุงเทพฯกันหมด จะกลับตาคลีอีกทีก็คืนวันอาทิตย์เพื่อทำงานในวันจันทร์
มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ข้าพเจ้าไม่สามารถเข้ากรุงเทพฯ กับเพื่อนๆอีก 9 คนได้ เพราะจะต้องเข้านายทหารเวรเขาโพลง ในวันเสาร์ ดังนั้นในตอนเย็นวันศุกร์เมื่อข้าพเจ้าได้ส่งเพื่อนๆขึ้นรถไฟที่สถานีรถไฟตาคลีแล้วก็ไปเล่นบิลเลียดที่สโมสร จนสโมสรปิด จึงกลับบ้านเมื่อถึงบ้านก็อาบน้ำอาบท่าเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว แล้วนอนสูบบุหรี่บนเตียงอย่างสบายๆ (เป็นปกติวิสัยที่เคยปฏิบัติมาคือก่อนนอนหลับจะต้องนอนสูบบุหรี่ก่อนเสมอ) บุหรี่หมดไปได้ประมาณครึ่งมวน ข้าพเจ้าก็มีวามรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติที่หน้าต่างมุ้งลวดบานหนึ่ง จึงเพ่งมองไป ก็เห็นแมวดำตัวหนึ่งเกาะตะกายมุ้งลวดอยู่ที่หน้าต่าง และแล้วแมวดำก็ขยายตัวใหญ่ขึ้นๆ จนโตเท่าขนาดของเสือดำตัวใหญ่ พร้อมกันนั้นก็พุ่งทะลุหน้าต่างมุ้งลวดโถมเข้ามาทับร่างของข้าพเจ้าที่นอนอยู่บนเตียง ความรู้สึกในตอนนั้นข้าพเจ้ายังมีสติสัมปชัญญะโดยสมบูรณ์หากแต่ไม่สามารถขยับเขยื้อนตัวเองได้เพราะชาไปหมดเหมือนคนถูกสะกดจิต อย่างไรก็ตามด้วยดวงจิตที่กล้าแข็งทำให้ข้าพเจ้าฮึดสู้ สะบัดตัวผลักเจ้าแมวดำขนาดเสือนั้นหลุดกระเด็นไปได้ และมันก็หายตัวไป ข้าพเจ้าผุดลุกขึ้นนั่งโดยทันทีและมือก็ยังคีบบุหรี่อยู่เป็นการยืนยันได้อย่างชัดเจนว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มิใช่ข้าพเจ้าหลับแล้วฝันไปหรือเผลอไผลวูบวาบไปเป็นแน่ ทันใดความของข้าพเจ้าก็พลุ่งพล่านขึ้นมา ลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างมุ้งลวดที่เห็นแมวดำ แล้วตะโกนว่า “ผีบ้าซาตานตนใดก็ตามที่ปรากฏกายคุกคามข้าฯเมื่อตะกี้นี้ จงมาปรากฏใหม่ เอ็งแน่จริงขอให้มาในขณะที่ข้าฯ ยืนอยู่นี้อย่าใช้เดียรัจฉานวิชาสะกดจิตข้าชีวะ” ความจริงข้าพเจ้าด่าหยาบคายกว่านี้และด่าอยู่นานก็ไม่เห็นมีอะไรเกิดขึ้น จึงเดินเข้าห้องน้ำล้างหน้าล้างตาแล้วจุดบุหรี่มวนที่ 2 นอนสูบบุหรี่อยู่บนเตียงตามสบายแต่ใจยังโกรธขุ่นมัว
สักชั่วอึดใจ จิตของข้าพเจ้าก็สัมผัสว่ามีอะไรอย่างหนึ่งอยู่ที่ประตูจึงหันกลับไปดู ก็เห็นมีร่างๆหนึ่ง ยืนดำทมึนอยู่ที่ประตู ยืนจ้องข้าพเจ้าอยู่กายของข้าพเจ้าชาดิกขยับไม่ได้ ร่างนั้นเดินมาหาข้าพเจ้าแล้วฉุดข้าพเจ้าลากไปด้วยแรงมหาศาล ความรู้สึกในตอนนั้นกายข้าพเจ้าเบาหวิวล่องลอยผ่านหลุมฝังศพต่างๆ แต่ละหลุมมีศพเน่าเฟะผุดขึ้นจากหลุมศพโบกไม้โบกมือให้ข้าพเจ้าสลอน ด้วยความขยะแขยง ทำให้ข้าพเจ้าสลัดมือที่ถูกเกาะกุมจากร่างดำใหญ่นั้นหลุดมาได้ และข้าพเจ้าก็พบตัวเองนั่งอยู่บนเตียง เหงื่อแตกชุ่ม ในขณะที่มือของข้าพเจ้าก็ยังคงคีบบุหรี่มวนที่ 2 อยู่
แทนที่ข้าพเจ้าจะกลัวกลับยิ่งโกรธมากขึ้น ตั้งใจว่าจะต้องตั้งสติสู้กับมันต่อ ข้าพเจ้าเข้าไปอาบน้ำอย่างใจเย็นให้ร่างกายสดชื่น เปิดตู้เย็นหาน้ำเย็นดื่มแล้วก็ตั้งหน้าด่าต่อไปว่า “ไม่น่าจริงนี่หว่า ยังใช้เดียรัจฉานวิชาอีกตามเดิม มาในขณะนี้ซีวะ หรือต้องให้ข้าล้มตัวนอนก่อน ถ้าให้นอนข้าก็จะนอนแต่เอ็งต้องมาทันทีที่หัวข้าแตะหมอนนะเว้ย” ด่าแล้วข้าพเจ้าก็ล้มตัวลงนอน และทันทีที่หัวข้าพเจ้าแตะหมอนก็มีมือใหญ่มาตะปบหัวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็รีบใช้มือขวาตะปบทับมือใหญ่นั้นทันทีก็ได้สัมผัสเข้ากับมือที่เต็มไปด้วยพังผืดและมีขนแข็งๆ เหมือนขนหมูแต่มองไม่เห็น และแล้วทุกอย่างก็อยู่ในความเงียบสงบ
เหตุการณ์ทั้งสามครั้งสามคราที่เกิดขึ้นแก่ข้าพเจ้านั้นห่างกันไม่เกินครั้งละ 10 นาที ยังความฉงนสนเท่ห์ให้แก่ข้าพเจ้าเป็นอย่างยิ่ง หรือว่าผีมีจริง ๆ แต่ผีที่ข้าพเจ้าประสบมาก็ไม่เหมือนกับคำร่ำลือ ที่ได้ยินได้ฟังมาสักนิด เพราะที่ว่าผีตาโตเท่าไข่ห่านบ้าง ผีแลบลิ้นยาวเฟื้อยถึงพื้นบ้าง หรือผีมีหัวโตเท่าตุ่มบ้าง หรือผีถอดหัวมาโยนเล่นบ้าง ผีแหวกอกเห็น ตับไตไส้พุงบ้าง เป็นต้น ข้าพเจ้าก็ยังไม่เคยเห็นสักทีแล้วสิ่งที่ข้าพเจ้าพบมานั้นคืออะไรกันแน่? และอะไรนั้นมายุ่งวุ่นวายกับข้าพเจ้าทำไม? หรือว่าต้องการมาแสดงให้ข้าพเจ้าเห็นว่าสิ่งลี้ลับที่ข้าพเจ้ายังไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นยังมีอยู่ อ๊ะ? ถ้าเช่นนั้นก็เท่ากับเขามาดีนะสิ มาเพื่อชี้แนะให้เราหาหนทางค้นคว้าในเรื่องลี้ลับที่ไม่เคยมีการเรียนรู้ในโลกของวิทยาศาสตร์มาก่อนนั่นเอง พอคิดได้เช่นนี้ข้าพเจ้าก็กำหนดจิตขอบคุณเขาไป และขอขมาที่ได้ล่วงเกินเขาอีกทั้งให้คำมั่นสัญญาว่า ข้าพเจ้าจะต้องติดตามหาความกระจ่างในเรื่องลี้ลับทั้งหลายนี้ให้ได้ ซึ่งปรากฏว่าในคืนนั้นข้าพเจ้าก็นอนหลับฝันดีตลอดคืนโดยไม่มีอะไรมารบกวนอีก
อย่างไรก็ตาม แม้กาลเวลาจะผ่านพ้นไปนานสักเท่าใดก็ตามข้าพเจ้าก็ยังคงครุ่นคิดถึงแต่เหตุการณ์อันแปลกประหลาดที่เกิดขึ้นนี้อยู่ตลอดมา แต่ก็ไม่สามารถที่จะไต่ถามหาความกระจ่างในเรื่องนี้จากผู้ใดได้ คงเล่าให้ภรรยาฟังเท่านั้นเอง จนกระทั่งประมาณปี 2509 หรือ2510 นาวาอากาศโทอาทร โรจนวิภาต(ยศในขณะนั้น ปัจจุบันเป็นพลอากาศเอกและได้เกษียณอายุราชการแล้ว) ได้ย้ายไปเป็นเสนาธิการกองบิน 4 และได้ถูกจัดให้อยู่ ณ บ้านหลังเดียวกับข้าพเจ้าประสบเหตุการณ์ดังกล่าวพร้อมกันนั้นท่านก็ได้นิมนต์หลวงพ่อพระมหาวีระถาวโร(พระราชพรหมยาน ในปัจจุบัน) มาเป็นประธานในวันทำบุญขึ้นบ้านใหม่ด้วยซึ่งข้าพเจ้าและครอบครัวก็ได้ไปร่วมในงานบุญครั้งนั้นด้วยอีกทั้งยังได้ไปรอรับหลวงพ่อที่รถติดตามมาจนหลวงพ่อเดินขึ้นบันไดบ้านทันใดหลวงพ่อก็หยุดอยู่ตรงบันไดชั่วอึดใจหนึ่ง แล้วหันมาพูดกับข้าพเจ้ายิ้มๆ ว่า “นี่ คุณมนูญ ท่านเทพฤทธิ์ มายืนฟ้องฉันแน่ะ ว่าคุณเป็นคนหัวดื้อ และด่าท่าน” ข้าพเจ้าได้ฟังตอนนั้นก็งงมากเพราะข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินชื่อ “ท่านเทพฤทธิ์” มาก่อนเลย หลวงพ่อเห็นข้าพเจ้ายืนงงก็พูดต่อไปว่า
“คุณไปคิดดูก็แล้วกันว่า คุณเคยพบใครที่มีร่างกายดำๆ สูงใหญ่เทียมประตูที่บ้านหลังนี้บ้าง คุณเคยอยู่ที่นี่มาก่อนไม่ใช่หรือ นั่นแหล่ะท่านนั้นแหล่ะ คือท่านเทพฤทธิ์ซึ่งเป็นเทพระดับสูงซึ่งปกป้องคุ้มครองกองบิน 4 ละ” พูดแล้ว หลวงพ่อก็เดินขึ้นบ้านไปเป็นประธานในพิธีต่อไป หล่อยให้ข้าพเจ้ายืนตกใจ ขนลุกซู่ คิดอยู่คนเดียวว่าผีที่ข้าพเจ้าเจอเมื่อครั้งนั้นที่แท้คือ “ท่านเทพฤทธิ์”ที่หลวงพ่อเพิ่งเปิดเผยให้ข้าพเจ้าทราบนี่เอง
“คุณไปคิดดูก็แล้วกันว่า คุณเคยพบใครที่มีร่างกายดำๆ สูงใหญ่เทียมประตูที่บ้านหลังนี้บ้าง คุณเคยอยู่ที่นี่มาก่อนไม่ใช่หรือ นั่นแหล่ะท่านนั้นแหล่ะ คือท่านเทพฤทธิ์ซึ่งเป็นเทพระดับสูงซึ่งปกป้องคุ้มครองกองบิน 4 ละ” พูดแล้ว หลวงพ่อก็เดินขึ้นบ้านไปเป็นประธานในพิธีต่อไป หล่อยให้ข้าพเจ้ายืนตกใจ ขนลุกซู่ คิดอยู่คนเดียวว่าผีที่ข้าพเจ้าเจอเมื่อครั้งนั้นที่แท้คือ “ท่านเทพฤทธิ์”ที่หลวงพ่อเพิ่งเปิดเผยให้ข้าพเจ้าทราบนี่เอง
ด้วยเหตุนี้เอง ปัญหาแรกที่ข้าพเจ้าได้โอกาสถามหลวงพ่อในวันหนึ่งที่แพท่าน้ำวัดท่าซุง หลังจากหลวงพ่อฉันอาหารเพลเสร็จแล้วก็คือ ได้ถามว่า “หลวงพ่อครับ ผีมีจริงหรือครับ”
ท่านผู้อ่านคงจะขำว่าโธ่เอ้ย..เอาปัญหาระดับคนปัญญาอ่อนมาถามได้ แต่สำหรับหลวงพ่อพอได้ยินคำถามข้าพเจ้าก็ยิ้มอย่างอารมณ์ดีพูดว่า “เออ..ถามเข้าท่านี่” ทำให้ข้าพเจ้าค่อยหน้าบาน แต่ยังไม่ทันได้ปลื้มใจหลวงพ่อก็ถามข้าพเจ้าว่า “คุณมนูญ เป็นหัวหน้าสถานีวิทยุกระจายเสียง 04 ใช่ไหม?”
ข้าพเจ้าก็ตอบด้วยความภาคภูมิใจ “ใช่ครับ”
หลวงพ่อ “คุณถือเอามาด้วยทำไม”
ข้าพเจ้า “เอาไว้ฟังรายการของสถานีวิทยุ 04 ว่าจะออกรายการเป็นไปตามที่ได้จัดเอาไว้หรือไม่ครับ แล้วก็เอาไว้ตรวจสอบดูด้วยว่า กำลังส่งของสถานีจะไปได้ไกลถึงไหน อย่างที่วัดท่าซุงนี้ก็ยังรับฟังได้ดีชัดเจนอยู่ครับ”
หลวงพ่อ
“ทำไมคุณไม่ใช้หูฟังคลื่นวิทยุโดยตรงหละ ทำไมจึงต้องเอาหูฟังจากเครื่องรับวิทยุ”
“ทำไมคุณไม่ใช้หูฟังคลื่นวิทยุโดยตรงหละ ทำไมจึงต้องเอาหูฟังจากเครื่องรับวิทยุ”
ข้าพเจ้า “หูฟังคลื่นวิทยุโดยตรงไม่ได้หรอกครับ เพราะคลื่นวิทยุมีความถี่สูง ต้องใช้เครื่องรับนี้เปลี่ยนความถี่ของคลื่นวิทยุมาเป็นความถี่ของคลื่นเสียงเสียก่อนหูของคนเราจึงจะรับฟังได้”
หลวงพ่อพูดยิ้มๆ ว่า “อ้าวถ้ายังงั้นหูของคนเราก็รับฟังได้อย่างมีขอบเขตจำกัดนะซี ถ้าจะถือเอาเป็นเครื่องรับ หูก็เป็นเครื่องรับแบบหยาบๆ ที่รับฟังได้เฉพาะในย่านความถี่ต่ำๆ ระดับคลื่นเสียงเท่านั้นเอง ความถี่ที่สูงกว่าคลื่นเสียงก็ดีหรือต่ำกว่าคลื่นเสียงก็ดี หูคนเราโดยทั่วไปก็คงจะรับฟังไม่ได้ใช่หรือไม่?
ข้าพเจ้า “ครับหลวงพ่อ”
หลวงพ่อ “ถ้าเช่นนั้น คุณยอมรับไหมว่า หูของคนนั้นเป็นเครื่องรับชั้นหยาบที่ขาดประสิทธิภาพ”
ข้าพเจ้า ซึ่งเป็นคนที่ทระนงตัวนักหนาว่าเป็นบุคคลที่มีปฏิภาณไหวพริบเป็นเลิศกลับต้องถึงคราวอับจนจำต้องยอมรับกับหลวงพ่อว่า “ครับหลวงพ่อ หูเป็นเครื่องรับฟังชั้นหยาบจริงๆ”
หลวงพ่อหัวเราะ แล้วถามข้าพเจ้าต่อไปว่า “เออ..ที่บ้านคุณมีที.วี.ดูไหม?”
ข้าพเจ้าชักลังเล คิดในใจว่า หลวงพ่อจะมารูปใดอีก แต่ก็ตอบไปว่า
“มีครับ”
หลวงพ่อ
“คุณไปซื้อเครื่องรับที.วี.มาทำไม เสียเงินทองเปล่าๆ”
“คุณไปซื้อเครื่องรับที.วี.มาทำไม เสียเงินทองเปล่าๆ”
ข้าพเจ้า
“เอาไว้ดูรายการซิครับ กองบิน 4 เงียบเหงาจะตายไปกลางคว่ำกลางคืนได้ดูที.วี.ค่อยเพลิดเพลินหน่อยครับ”
“เอาไว้ดูรายการซิครับ กองบิน 4 เงียบเหงาจะตายไปกลางคว่ำกลางคืนได้ดูที.วี.ค่อยเพลิดเพลินหน่อยครับ”
หลวงพ่อ “อ้าว..ตาคุณก็มีไม่ใช่หรือ? ทำไมคุณจึงไม่ดูภาพที่เขาส่งออกอากาศมาโดยตรงเล่า ต้องไปดูจากเครื่องรับที.วี.ทำไม?”
ข้าพเจ้า “ดูภาพที่เขาส่งมาในอากาศโดยตรงไม่ได้หรอกครับต้องใช้เครื่องรับที.วี. แปลงความถี่นั้นมาเป็นความถี่ภาพ ที่ตาของคนเรามองเห็นได้เสียก่อนครับ”
หลวงพ่อ “ถ้าเช่นนั้นตาของคนเราทั่วๆไป ก็มองเห็นอะไรได้ในขอบเขตจำกัดใช่ไหม? ดังนั้นคุณยอมรับไหมว่า ตาของคนเรานั้นเป็นเรื่องมือจับภาพชั้นหยาบ ไร้ประสิทธิภาพ?”
ข้าพเจ้ามาขบคิดดูก็จริงอย่างหลวงพ่อว่า เพราะข้าพเจ้าไม่สามารถมองเห็นภาพ ที่เขาส่งมาในอากาศโดยตรงได้ ไม่สามารถมองเห็นเชื้อโรคไม่สามารถมองเห็นอะตอมต่างๆ ได้ด้วยตาตนเองจริงๆ จึงต้องจำนนและยอมรับว่า “ครับหลวงพ่อ ตาของคนเราเป็นเครื่องมือจับภาพชั้นหยาบจริงๆ”
หลวงพ่อเมื่อเห็นข้าพเจ้ายอมจำนน ก็อธิบายต่อว่า “เมื่อคุฯยอมรับว่า ตา และหูของคนเรานั้นเป็นเครื่องมือชั้นหยาบ มีขีดความสามารถในการมองเห็นและการได้ยินอยู่ในขอบเขตจำกัด แล้วคุณจะไปเห็นผีหรือคุยกับผีได้อย่างไรกัน เพราะผีก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี อยู่ต่างภพต่างความถี่กับเรา โดยปกติทั่ว ๆ ไปแล้วคนเราจะเห็นผี เห็นเทวดาหรือพรหมไม่ได้ ถ้าเขาไม่ต้องการให้เราเห็น ผีเองก็เห็นเทวดาไม่ได้ เทวดาที่มีชั้นภูมิต่ำก็ไม่สามารถมองเห็นเทวดาที่มีภูมิสูงกว่าได้ และแม้แต่เทวดาที่มีชั้นภูมิสูงก็ไม่สามารถมองเห็นพรหมได้ เว้นแต่ว่าท่านจะต้องการจะปรากฏให้เห็นเท่านั้น
เหมือนเช่น “ท่านเทพฤทธิ์” ท่านจงใจปรากฏกายให้คุณเห็น ก็เพราะท่านเมตตาต้องการให้คุณเอาไปขบคิดว่ายังมีอะไรแปลก มหัศจรรย์อีกมากที่มนุษย์อย่างคุณยังไม่รู้เพื่อคุณจะได้ศึกษาค้นคว้าและหันเหชีวิตไปสู่หนทางที่ถูกที่ควรต่อไป ฉันเองก็ดีใจนะ ที่คุณเริ่มสนใจมาถามปัญหาเพราะแสดงว่าคุณถึงเวลาของคุณแล้ว”
เหมือนเช่น “ท่านเทพฤทธิ์” ท่านจงใจปรากฏกายให้คุณเห็น ก็เพราะท่านเมตตาต้องการให้คุณเอาไปขบคิดว่ายังมีอะไรแปลก มหัศจรรย์อีกมากที่มนุษย์อย่างคุณยังไม่รู้เพื่อคุณจะได้ศึกษาค้นคว้าและหันเหชีวิตไปสู่หนทางที่ถูกที่ควรต่อไป ฉันเองก็ดีใจนะ ที่คุณเริ่มสนใจมาถามปัญหาเพราะแสดงว่าคุณถึงเวลาของคุณแล้ว”
“ถึงเวลาอะไรครับหลวงพ่อ” ข้าพเจ้ารีบถาม ชักใจไม่ค่อยดี
“ถึงเวลาตายน่ะซี่” หลวงพ่อตอบทำเอาข้าพเจ้าสะดุ้งสุดตัว หลวงพ่อมองเห็นอาการของข้าพเจ้าก็หัวเราะพูดต่อว่า
“คุณน่ะยังไม่ตายหรอก แต่ความประพฤติปฏิบัติเก่าๆ ของคุณจะค่อยๆ ตายจากไปเพราะคุณเป็นคนที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดเป็นทุนเดิมอยู่มาก เนื่องจากได้สร้างสมมาแต่อดีตชาติ หากแต่จิตของคุณในขณะนั้นมันมีความเคลือบแคลงสงสัยอยู่มาก และขาดผู้ชี้แนะที่คุณศรัทธาเท่านั้นเองหากเมื่อใดปัญหาที่คุณเคลือบแคลงสงสัยถูกขจัดให้หมดไปได้ เมื่อนั้นคุณจะเห็นแสงธรรมและบัดนี้ ก็เริ่มถึงเวลาของคุณแล้วที่ได้มีโอกาสมาพบฉัน คุณมีอะไรที่สงสัยก็ถามมา การถามเป็นวิสัยของคนฉลาดพระพุทธเจ้าเองท่านก็สอนมิให้เชื่ออะไรง่ายๆ เพราะผลอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นมานั้นย่อมมาแต่เหตุทั้งสิ้น จึงต้องศึกษาให้กระจ่างเสียก่อนแล้วจึงเชื่อเหมือนดังเช่นพระสารีบุตร ท่านก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์หลังพระที่ได้บวชรุ่นราวคราวเดียวกัน ทั้งนี้เพราะท่านไม่ยอมเชื่ออะไรง่ายๆ ต้องศึกษาค้นคว้าและพิสูจน์กันก่อน แต่เมื่อท่านได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วท่านก็ได้รับการยกย่องให้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้าองค์เพราะเป็นผู้เลิศด้วยปัญญา (พระโมคคัลน์ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้ายเสิศด้วยอิทธิฤทธิ์) เป็นต้น” หลวงพ่อ ได้อธิบายและให้กำลังแก่ข้าพเจ้าในการถามด้วยความเมตตาฉะนี้
“หลวงพ่อครับ ถ้ายังงั้นผมขอถามต่ออีกนิดนะครับ คือว่าการที่ตัวผมชาขยับเขยื้อนไม่ได้ในขณะที่เห็นท่านเทพฤทธิ์ ทั้ง 2-3 ครั้ง นั้น จะเป็นเพราะท่านช่วยปรับความถี่ในตัวผมให้ประสาทในการมองเห็นของผมมีความถี่เดียวกับท่านใช่ไหมครับ ผมจึงมองเห็นท่านได้ “ ข้าพเจ้ารีบถามต่อทันที
“ก็เป็นทำนองนั้น แต่เป็นการปรับให้เห็นทางจิตโดยตรงทีเดียวนะ ตามปกติตาของคนเรามองเห็นอะไรก็บอกให้จิตรับรู้ แต่ถ้ามองไปที่สิ่งนั้นแบบ เลื่อนลอยไม่บอกให้จิตรับรู้ ก็ย่อมไม่เห็นในสิ่งนั้นเช่นกัน” หลวงพ่อตอบ
“ถ้ายังงั้นคนเราหากฝึกจิตให้ดี ก็สามารถปรับความถี่ในการมองเห็นและการได้ยินเสียง จนสามารถติดต่อกับผู้อยู่ต่างภพได้ใช่ไหมครับ?” ข้าพเจ้าภามด้วยความสนใจ
“ถูกต้อง คุณเคยได้ยินได้ฟังมาบ้างหรือไม่ว่า คนที่ใกล้จะตายนั้นบางคนทำไมจึงแสดงอาการหวาดกลัวตาเหลือกลานโบกไม่โบกมือไล่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งคนธรรมดาที่อยู่รอบข้างเขามองไม่เห็น และบางครั้งก็ถึงกับร้องออกมาอย่างหวาดกลัวว่า “ข้ายังไม่ไป อย่ามาเอาตัวข้าไป อย่าเข้ามา” อะไรทำนองนั้น ที่เป็นเช่นนั้น ก็เพราะว่าความถี่ในการมองเห็นและการได้ยินของคนใกล้จะตายนั้นใกล้เคียงกับความถี่ของคนที่ตายไปแล้วเขาจึงติดต่อและเห็นกันได้ ด้วยเหตุนี้ แม้คนไม่ต้องฝึกจิตก็ย่อมได้เห็นผีอย่างแน่นอน แต่จะเป็นการเห็นตอนใกล้จะตาย ซึ่งก็ย่อมเป็นการสายเกินไป ดังนั้นใครก็ตามที่ไม่สามารถมองเห็นผี เห็นเทวดา หรือเห็นพรหม หรือเห็นพระนิพพานได้ ก็อย่าไปคิดว่าทุกคนคงจะไม่เห็นเหมือนตน เพราะว่าท่านที่ทรงฌาน และได้ญาณที่เพียรพยายามฝึกจิตจนสามารถปรับความถี่ในการมองเห็น และการได้ยินอีกทั้งยังสามารถติดต่อกับผู้อยู่ต่างภพได้ ในปัจจุบันนี้ก็ยังคงมีอยู่มิใช่น้อยเลย” หลวงพ่ออธิบายและเมื่อเห็นข้าพเจ้าฟังด้วยความสนใจ ก็พูดต่อว่า
“ถ้าคุณ ต้องการเห็นผี เห็นเปรตก็ต้องเจริญกสินกองใดกองหนึ่งแล้วฝึกทิพจักษุญาณจนมีระดับฌานเพียงแค่อุปจารฌาน หรือ ฌาน1,ฌาน 2 ก็พอ คุณก็จะได้เห็นผี เห็นเปรตนะ แม้แต่เทวดาคุณก็พอจะเห็นได้แต่ไม่ชัดนะ แต่ถ้าคุณอยากจะเห็นพรหม ก็ต้องได้ฌาน 4 จะเห็นได้แต่ไม่ชัดนะ แต่ถ้าคุณอยากจะเห็นพรหม ก็ต้องได้ฌาน 4 ชำนาญ ทิพยจักษุญาณจะแจ่มใสขึ้น สามารถเห็นพรหมได้ แต่จะเห็นพระนิพพานไม่ได้ ถ้าอยากจะเห็นพระนิพพานก็ต้องเจริญวิปัสสนาญาณโลกียฌานที่เคยได้ไว้ ก็จะกลายเป็นโลกุตรฌานขึ้นมา เกิดวิมุตติญาณทัสนะขึ้น เท่านี้พระนิพพานก็จะปรากฏชัดเจนแก่ญาณจักษุเอง แต่พระโสดาบันนี้จะเพียงได้แต่เห็นเท่านั้นนะ ยังอาศัยพระนิพพานเป็นที่พักผ่อนไม่ได้” หลวงพ่ออธิบาย
“วิมุตติญาณทัสนะ แปลว่าอะไรครับ หลวงพ่อ?”
“วิมุตติญาณทัสนะ แปลว่า หลุดพ้นจากกิเลสพร้อมกับมีญาณเป็นเครื่องรับรู้ยังไงล่ะ” หลวงพ่อตอบยิ้มๆ
ท่านผู้อ่านที่รัก หลวงพ่อได้อธิบายไว้แล้วโดยละเอียดพอสมควรส่วนท่านจะเชื่อว่าผีมีจริงหรือไม่นั้น ก็ขอให้ท่านได้พิจารณาด้วยตัวของท่านเองเถิด
credit หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ผะผะ ผีมีจิงป่าว?? อยากรู้เข้ามาดูเลย!!!!