แก้เสร็จซะทีครับ
อยากจะบอกว่า ญี่ปุ่นสยองกว่าไทยอีกครับ อ่านให้จบนะครับ ไม่ก็ไปดูสถานที่สุดท้ายเลยก็ได้ ไม่น่าเชื่อว่าจะใช่
ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมที่ยาวนาน และมีสถานที่เก่าแก่มากมาย และสถานที่จำนวนหนึ่งก็เป็นสถานที่น่ากลัว สยองขวัญ สั่นประสาท และเรื่องเล่าลื่อว่า "ผีดุ" แต่เรื่องเหล่านี้ไม่ได้ทำให้นักท่องเที่ยวลดน้อยลงหรอกนะ แต่กลับกันมันก็กลายเป็นสถานที่ ที่หลายคนอยากลองไปสักคนในชีวิต เพื่อพิสูจน์ว่า "ผีมีจริงหรือ??"
อันดับ 5 ปราสาทฮิเมจิ (Himeji Castle)
ปราสาทฮิเมจิ เป็นปราสาทญี่ปุ่น ตั้งอยู่ในเมืองฮิเมจิ จังหวัดเฮียวโงะ เป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งที่เหลือรอดมาจากยุคสงคราม และได้รับให้เป็นมรดกโลกและสมบัติประจำชาติญี่ปุ่น และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอันดับต้นๆ ที่ชาวญี่ปุ่นชอบมาที่สุด
ว่ากันว่าปราสาทแห่งนี้เป็นมีผีสิง เป็นวิญญาณทรมานของหญิงสาวที่ต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมที่ชื่อ"โอกิกุ(Okiku)" ซึ่งที่มาก่อนที่โอกิกุค่อนข้างสับสน มีหลายเวอรชั่น ว่ากันว่าเธอเป็นสาวใช้ของอาโอยาม่า(Aoyama)และบังเอิญไปได้ยินความลับสุดยอดของเจ้านายเข้า และนำความลับไปเล่าให้คนรักของเธอฟัง ทำให้แผนการของอา โอยาม่าล้มเหลวในที่สุด เมื่ออาโอยาม่ารู้ว่าโอคิคุเป็นคนแอบได้ยินเรื่องแผนการ เป็นต้นเหตุทีทำให้แผนล้มเหลว อาโอยาม่าจึงวางแผนจะสังหารเธอซะ อาโอยาม่าจึงใส่ความโอกิกุว่า เธอขโมยจานที่ล้ำค่าไป 1 ใบซึ่งในชุดจานนั้นจะมี 10 ใบด้วยกัน โอคิคุถูกทรมานจนตาย และถูกทิ้งศพลงบ่อน้ำ
จากนั้นเป็นต้นมาโอกิกุก็กลายเป็นผีนับจาน หรือ ซารายาชิกิ(Sarayashiki) มันเริ่มขึ้นในสมัยเอโดะค.ศ.1590 วันดีคืนดี จะมีเสียง โหยหวนออกมาจากบ่อหน้าบ่อหนึ่งปราสาท โดยเสียงนั้นเป็นเสียงนับจาน1 ใบจนถึง 9 ใบ จากนั้นก็ร้องไห้หัวใจสลาย หรือมีดวงไฟวิญญาณพวยพุ่มออกจากบ่อน้ำยามค่ำคืน(นอกจากนี้ยังอ้างถึงบ่อผีสิงอีกแห่ง คือ บ่อน้ำของสวนในสถานทูตประเทศแคนาดาที่กรุงโตเกียว ซึ่งเดิมทีเป็นที่ดินของตระ:Xลอาโอยาม่า) และยังมีเรื่องผีๆ ในปราสาทแห่งนี้อีก เช่น ศาลเจ้าโฮซาตาเบะ ชินโต ที่ตั้งบนสุดของญี่ปุ่นว่ากันว่าเป็นที่สิงสู่วิญญาณของมิยาโมโต มูซาซิ หรือถ้าใครอยู่ภายในปราสาทประมาณ 4 โมง ถ้าไม่กลับออกปราสาทภายในเวลา 2 ชั่วโมง จะหลงทาง(เพราะมืดนี้น่า)
อันดับ 4 โอซาระ(Osore)
โอซาระเป็นอดีตภูเขาไฟในเขตอาโอโมริ ซึ่งถูกค้นพบในศตวรรษที่ 16 เป็นภูเขาหินที่ทบไม่มีสิ่งมีชีวิตเนื่องจากบริเวณแถบนั้นเต็มไปด้วยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซน์หรือก๊าซไข่เน่าที่ออกจากทะเลสาปโดยรอบ ซึ่งชาวญี่ปุ่นเชื่อกันว่ากันว่าเป็นดินแดนแห่งโลกวิญญาณเชื่อมต่อกับโลกมนุษย์
ตามความเชื่อของญี่ปุ่นที่นี้เปรียบเสมือนประตูนรกที่คนตายและคนใกล้ตายจะมารวมตัวกัน โดยมีแม่น้ำสามสายไหลผ่าน กล่าวกันว่าหากเด็กคนไหนเสียชีวิตลงก่อนพ่อแม่จะถูกลงโทษฐานทำให้พ่อแม่ทุกข์ใจ วิญญาณของเด็กๆ เหล่านี้จะต้องเรียงหินก้อนเล็กๆ แต่ละก้อนเพื่อสร้างเจดีย์ แต่พอใกล้สำเร็จจะถูกปีศาจ "จิโซคากุ" ออกมาทุบทำลาย ทำให้เด็กเหล่านั้นไม่มีทางสร้างเจดีย์เสร็จได้
ดังนั้น โอซาระแห่งนี้ จึงมีผู้นิยมนำของเล่นโบราณต่างๆ นาๆ เช่นกังหันเล็กๆ หรือขนมไปไว้บริเวณหอนหรือศาลเจ้าเพื่อสร้างบุญกับเด็กนั้นเอง
อันดับ 3 ฮะชิมะ(Hashima)
เกาะแห่งนี้ต้องเดินทางด้วยเรือจากฝั่งทะเลของเมืองนางาซากิ ออกไปประมาณ 15 กิโลกเมตร บนทะเลจีนตะวันออก จะพบเมืองเล็กๆ ที่ดูทันสมัย กลางทะเล แต่ถ้าเกิดมองลึกๆ จะพบว่ามันร้างอย่างน่ากลัว และได้รับการโจษจันว่าผีดุ!!
ความเป็นมาดั้งเดิมของเกาะนี้ แต่เดิมเมืองนี้ชื่อ Gunkanjia หรือ Battleship Island เกิดขึ้นในยุคที่อุตสาหกรรมถ่านหินเฟื่องฟู ค.ศ.1887 ก่อสร้างโดยบริษัทมิตซูบิชิ(Mitsubishi) ซึ่งใช้เป็นที่พักในลักษณะเมืองขนาดเล็ก มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับพนักงานจำนวนมาก มีทั้งอพาร์เมนต์ โรงเรียนประถม สนามเด็กเล่น โรงภาพยนตร์บาร์ โรงพยาบาล ทว่า.......ในยุค 60 อุตสาหกรรมถ่านหินในญี่ปุ่นค่อยๆ ทยอยปิดตัวลง เนื่องจากถ่านหินหมอความนิยมจากการใช้พลังงานเชื่อเพลิงอย่างอื่น...จนกระทั่งปิดตัวลงอย่างถาวรในปี 1974...ทุกวันนี้เหลือเพียงแต่เศษซากของความรุ่งเรืองทิ้งไว้ให้ระลึกถึงอดีต
ในเวลากลางวัน สถานที่แห่งนี้กลายเป็นที่ท่องเที่ยวสำหรับผู้สนใจ สัมผัสบรรยากาศสมัยก่อน ที่หลอนๆนิดๆ ขนาดตอนกลางวันยังดูน่าหดหู่น่ากลัว ตอนกลางคืนยิ่งน่ากลัวหลายเท่าโดยเฉพาะในช่วงมรสุมหรือพายุเข้าชาวประมงมักเห็นแสงไฟจำนวนหนึ่งลอยละล่องวนเวียนเหนือตึกสูงทั้งๆ ที่ไม่มีไฟฟ้า และได้ยินเสียงน่ากลัวดังเหมือนกับโหยหาใครซักคนไปอยู่ด้วย!! " .....นอกจากนี้สถานที่นี้เคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง "Battle Royale"และทีมงานก็ได้เจอสิ่งผิดปกติในกองถ่ายอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น "มีคนอื่นที่ไม่ใช่ทีมงานถูกถ่ายติดเข้ามาในฉาก"หรือไม่ก็ "ฟิล์มเสียทั้ง ๆ ที่เพิ่งใช้งาน" หรือแม้แต่นักแสดงบางคนถูกผีสิง!!
อันดับ 2 อาโคคิกาฮาระ(Aokigahara)
ญี่ปุ่นถือได้ว่าเป็นประเทศที่มีสถิติคนฆ่าตัวตายเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเพราะวัฒนธรรมของญี่ปุ่นมองว่า การฆ่าตัวตายเป็นทางเลือกที่มีเกียรติ(อย่างฮาราคีรีไงล่ะ) และสถานที่ชาวญี่ปุ่นนิยมไปฆ่าตัวตายที่สุดคือป่าอาโคคิกาฮาระ
ป่าอาโคคิกาฮาระ มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าจูไคซึ่งคนญี่ปุ่นเรียกขานว่า "ป่าฆ่าตัวตาย"สถานที่แห่ง อยู่บริเวณตีนภูเขาไฟฟูจิ มีพื้นที่ประมาณ 3000 เอเคอร์ ซึ่งเป็นจุดชมความงามของภูเขาฟูจิ แต่ขณะเดียวกันก็เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับคนที่คิดฆ่าตัวตายด้วยเช่นกัน โดยสถิตพบว่าสถานที่แห่งนี้มีคนมาฆ่าตัวตายเป็นอันดับ 2 ของโลก!!(อันดับหนึ่งคือสะพานโกลเด้นเกต(Golden Gate) เมื่อเดือนมกราคม ปีนี้ ตัวเลขคนฆ่าตัวตายอยู่ที่ 2,645 คน ซึ่งทำลายสถิตของปีที่แล้ว (2,305 คน) โดยจุดบริเวณที่คนชอบไปฆ่าตัวตายที่สุดคือจุดที่เรียกว่า "ทะเลป่า" โดยล่าสุด ชายวัย 46 ปี คนหนึ่ง ซึ่งถูกปลดออกจากงานที่โรงงานเหล็กแห่งหนึ่งและคิดว่า อนาคตที่เหลือนั้นมืดมน เนื่องจากขาดเงิน และตกอยู่ในสภาพหนี้ท่วม รวมถึงไร้ที่อยู่เพราะโดนไล่ที่อยู่ จึงตัดสินใจฆ่าตัวตาย โดยเขาได้ซื้อตั๋วเที่ยวเดียว มุ่งหน้าไปยังป่าแห่งนี้ เมื่อไปถึงเขาก็เชือดข้อมือตนเอง แตแผลไม่ลึกพอที่จะทำให้สิ้นใจในทันที และต้องอยู่ในป่าลึกหลายวันในสภาพที่ร่างกายขาดน้ำ อาหารและเนื้อเยื่อถูกทำลายเพราะอากาศเย็นจัด สภาพที่เกิดขึ้นทำให้เขาอาจต้องเสียนิ้วที่เท้าขวา แต่ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต เนื่องจากมีผู้มาพบเขาเสียก่อน
และทำไมสถานที่แห่งนี้ถึงนิยมมาฆ่าตัวตายเหรอ ก็เนื่องจากได้รับอิทธิพลจากนิยายเรื่อง "คุโรอิ จู ไค(Kuroi Jukai)" รวมไปถึงภาพยนตร์เรื่อง "คิโนะอุมิ" ที่นำเสนอเรื่องราวของคู่รักคู่หนึ่งได้ฆ่าตัวตายในป่าแห่งนี้ ซึ่งปัจจุบันแห่งนี้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว กีฬากลางแจ้ง ท่องป่า ตั้งแคมป์ ซึ่งเวลาใครจะเดินทางมาที่นี้อาจจ๊ะเอ๋กับศพคนฆ่าตัวตายหรือวิญญาณร้ายก็ได้
อันดับ 1 โรงเรียน(School)
แน่นอนโรงเรียนคือสถานที่ที่ชาวไทยอย่างเราๆ อยากไปสักครั้งในชีวิต ก็เพราะเวลาเราอ่านการ์ตูนญี่ปุ่นแนวไหนๆ ก็ต้องมีโรงเรียนให้เห็นทุกครั้งจึงอยากจะสัมผัสว่าโรงเรียนญี่ปุ่นจะเป็นอย่างไร และแน่นอนทุกโรงเรียนของญี่ปุ่นมักจะมีเรื่องสยองประจำโรงเรียนที่เล่าจากรุ่นสู่รุ่น และที่น่าแปลกคือแทบทุกโรงเรียนจะมีเรื่องเล่าสยองขวัญ 7 เรื่องและแต่ละเรื่องแทบเหมือนกันหมดอย่างอัศจรรย์
7 สิ่งสยองในโรงเรียนเป็นตำนานที่ช่วยเสริมบรรยากาศในโรงเรียนให้ชวนหลอน บวกกับสถานที่ที่ใช้งานมายาวนานและบรรยากาศยิ่งส่งผลให้ 7 เรื่องเล่าสยองขวัญในโรงเรียนกลายเป็นเรื่องที่หลายๆ คนอยากพิสูจน์ว่ามันมีจริงหรือเปล่า โดย7 เรื่องสยองในโรงเรียนที่ว่าก็มีต้นคาเมลเลียสีเลือดที่ว่ากันว่าต้นไม้ที่อายุ 100 ปีจะมีผีสิงอยู่,ผีลู่ว่ายที่4 ที่มีผีเด็กชายที่ตายในขณะว่ายน้ำในวิชาพละที่ลู่ว่ายที่ 4 , รูปปั้นนิโนมิยะ คินจิโย่เดินได้, บันได 13 ขั้นที่คอยจับเด็ก ที่พลาดเหยียบบันไดขั้นที่ 13 ลงไปยังโลกแห่งความตายพร้อมกับตน, ฮานาโกะประจำห้องน้ำ, ผีในห้องน้ำห้องที่ 2 อยู่อยู่ๆ ก็มีมือโผล่ที่ส้วมและลากเหยื่อลงไปบี้แบนที่รูส้วมตายอนาถ,สนามรบในสนามโรงเรียนที่วิญญาณซามูไรญี่ปุ่นโบราณยังทำการสู้รบอยู่ตลอดกาล,ซาโตรุคุง ฯลฯ
โดยเฉพาะเรื่องฮานาโกะประจำห้องน้ำ นั้นเป็นเรื่องที่เด็กญี่ปุ่นนิยมท้าพิสูจน์มากที่สุด โดยหากเราเดินเข้าไปในห้องน้ำของโรงเรียนตอนห้าโมงเย็นหรือกลางคืน ถ้าเดินไปที่ห้องที่ 3 แล้วเคาะประตู 3 ครั้ง แล้วพูดว่า "ฮานาโกะ มาเล่นกันเถอะ" หรือ "ฮานาโกะซังอยู่ไหม"ถ้ามีเสียงตอบกลับมาว่า ได้สิ แล้วถ้าเปิดห้องน้ำนั้นดูจะพบเด็กหญิงในห้องน้ำ....นั้นแหละคือเธอ...คุณฮานาโกะซัง
(ไม่น่าเชื่ออออออ โรงเรียนญี่ปุ่นที่ใครหลายๆคนฝันว่าอยากไปเรียนซักครั้ง น่ากลัวจริงนะครับ)
ซ้ำขออภัยครับ
ถ้าชอบก็ช่วยกด+หน่อยนะครับ
อ้างอิงจาก http://writer.dek-d.com/dek-d/writer/viewlongc.php?id=486572&chapter=82