เราคงได้ยินคำร่ำลือเกี่ยวกับ ฮาเร็ม กันมาบ้างแล้ว อย่างเมื่อไม่นานนี้ ดาราสาวชื่อดัง(สงวนชื่อแล้วกัน เดี๋ยวเค้าเสียหาย)ถูกผู้คนโจษจันว่าไปเป็นนางในฮาเร็มแก่สุลต่านประเทศหนึ่งจนร่ำรวยกลับมา ยิ่งส่งผลด้านลบให้แก่สถานที่แห่งนี้เข้าไปอีก เพราะเมื่อพูดถึงฮาเร็มแล้ว เราก็มักจะนึกถึงสถานที่ที่เต็มไปด้วยสตรีหน้าตาสะสวย รูปร่างสะโอดสะอง และเป็นที่บำเรอทางเพศแก่สุลต่าน หรือบุรุษชั้นสูงชาวอาหรับ ทั้งที่ความจริง ฮาเร็มนี้ยังเป็นสิ่งลี้ลับที่เรายังคำตอบไม่ได้อย่างชัดเจนว่าเป็นอย่างที่เราคาดไว้หรือไม่ เพราะหลักฐานที่บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์นั้นมีน้อยเกินกว่าจะนำมายืนยันได้ แล้วประวัติศาสตร์บอกว่าฮาเร็ม คืออะไร????
คำว่า ฮาเร็ม เกิดขึ้นนมนานมาแล้ว โดยมีที่มาจากขนบประเพณีของชาวเตอร์กเผ่าหนึ่ง ที่รวมตัวกันก่อตั้งอาณาจักรเล็กชื่อ “ออตโตมัน” โดยใช้ศาสนาอิสลามเป็นพื้นฐานการสร้างจักรวรรดิของตน และแผ่อิทธิพลออกไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 จนถึงศตวรรษที่ 15 จึงตั้งศูนย์กลางของอาณาจักรขึ้นที่กรุงคอนสแตนติโนเปิล (กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกี ในปัจจุบัน) จักรวรรดิออตโตมันแผ่ขยายอาณาเขตออกไปมากที่สุดในยุคสุลต่านสุไลมาน ราวศตวรรษที่ 16 คือครอบคลุมไปจนถึงฮังการี ภาคใต้ของรัสเซีย อิหร่าน ชายฝั่งปาเลสไตน์ อียิปต์ และแอฟริกาเหนือ จากการที่ยึดคำสอนของศาสนาอิสลามอย่างเคร่งครัดที่ห้ามไม่ให้คนแปลกหน้าที่ได้เห็นโฉมหน้าของสตรีของตน บ้านของชาวออตโตมันมันจึงจัดส่วนหนึ่งเป็นที่อยู่บรรดาภรรยา ลูกๆ และทาสผู้หญิงโดยเฉพาะมีรั้วรอบขอบชิด คนภายนอกห้ามเข้าเด็ดขาด และเรียกพื้นที่ต้องห้ามดังกล่าวนี้ว่า ฮาเร็ม จึงกล่าวได้ว่าในสมัยนั้น ทุกบ้านของชาวออตโตมันต้องมีฮาเร็ม แต่จะกว้างขวางใหญ่โตแค่ไหน ก็ขึ้นอยู่กับฐานะและอิทธิพลของผู้เป็นเจ้าของ ดังนั้นฮาเร็มที่ใหญ่ที่สุดจึงอยู่ในกรุงอิสตันบูลคือ ฮาเร็ม ภายในพระราชวังทอปกาปิ โดยมีพื้นที่ถึง 6,720 ตารางเมตร ประกอบด้วยตำหนักต่างๆ 8 หลัง ห้องโถงใหญ่ 8 แห่ง ห้องพัก 259 ห้อง และยังมีห้องย่อยๆ (ครัว ห้องเก็บไวน์)อีกหลายสิบห้อง รวมทั้งอุทยาน สระน้ำ สถานพยาบาล โรงเรียน(สำหรับโอรสธิดา) และเรือนจำ สำหรับคุมขังและลงโทษชาวฮาเร็มที่ทำผิดกฎ ที่มีขนาดใหญ่ขนาดนี้เพราะเวลาสุลต่านทำศึกชนะเมืองไหน ก็จะนำหญิงสาวของเมืองนั้นๆกลับมาด้วย หรือบ้างครั้งขุนนางผู้ใหญ่หรือกษัตริย์ต่างเมืองที่ต้องการจะทำไมตรี จะเสาะแสวงหาหญิงงามจากทั่วโลกมาบรรณาการ บางคนถึงขนาดส่งลูกหลานของตัวเองเข้าถวายตัวต่อสุลต่านเพื่อแสดงความจงรักภักดี โดยหวังว่าจะได้เข้ารับใช้สุลต่าน เพราะถ้าหากสุลต่านเกิดโปรดปราน ยกขึ้นเป็นชายาทั้งครอบครัวก็จะมีชีวิตที่สุขสบายและมั่นคงไปตลอด ด้วยเหตุนี้ ในบันทึกประวัติศาสตร์ของตุรกีหน้าหนึ่งจึงบอกว่าภายในฮาเร็มของวังทอปกาปิ ไม่เคยมีสตรีอาศัยอยู่ต่ำกว่า 300 คนสักครั้ง แถมบางสมัยยังมีมากกว่า 900 คนเลยทีเดียวแต่จะไม่มีสาวชาวเตอร์กอยู่ในฮาเร็ม แม้สุลต่านเองก็ไม่สามารถทำได้ ซึ่งไม่มีบันทึกไว้ว่าเพราะอะไร
เด็กสาวที่จะเข้าไปอยู่ในฮาเร็ม โดยเฉพาะของสุลต่านได้นั้น ไม่ได้อาศัยแค่เพียงรูปร่างหน้าตา หรืออาศัยคนชักนำเข้าไปเท่านั้น หากแต่พวกเธอเหล่านั้นต้องรับการฝึกอบรมในการบำรุงบำเรอความสุขให้บุรุษเพศ หรือองค์สุลต่านเป็นอย่างดีก่อนจะเข้าไป ชีวิตของนางในอาเร็มเหล่านี้ งานหลักคือคอยปรุงแต่งตัวเองให้สวยงามน่ามองอยู่เสมอ โดยการแต่งตัวนุ่งน้อยห่มน้อย (หรือบางโอกาสก็ไม่ใส่อะไรเลย)และฝึกฝนกรรมวิธีดูแลปรนิบัติด้วยการอาบน้ำ นวดตัว เพื่อสร้างความสุขและผ่อนคลายแก่พวกบุรุษเพศทั้งหลาย รวมไปถึงฝึกนาฏศิลป์ ดนตรี วรรณคดี และมารยาทสังคม ทุกคนต้องมีความรู้ ฉลาดและพร้อมในทุกด้าน เพราะนี่คือใบเบิกทางไปสู่การถวายงานบนบรรจถรณ์ของสุลต่าน ซึ่งเป็นเป้าหมายสุดยอดของทุกคน แต่ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเข้มงวด ซึ่งผู้มีอำนาจสิทธิ์ในการปกครองในฮาเร็มนั้นก็คือผู้หญิงเช่นกัน นั่นคือ พระราชชนนีขององค์สุลต่านนั่นเอง รองลงไปจาก คือ บาส คาดิน อีเฟนด์ หรือมเหสีที่ให้กำเนิดโอรสหรือธิดาองค์แรกของสุลต่าน และอิค บาลเลอร์ หรือสนมที่ให้กำเนิดโอรส-ธิดาองค์ถัดๆ ไป(ทุกคนที่มีทายาทกับสุลต่านจะถูกยกเป็นชายา ซึ่งมีมากกว่า 4 คนได้ แต่ห้ามเกิน 7 คน)ด้วยเหตุนี้หญิงสาวในฮาเร็มจึงพยายามทำทุกทาง เพื่อให้ตนได้มีทายาทกับสุลต่าน เพราะนั่นหมายถึงอำนาจทางการปกครองด้วยนั่นเอง ตำแหน่งของสตรีในฮาเร็มประกอบด้วย เกดิคลี คาดินลาร์ เป็นตำแหน่งของผู้ที่มีประสบการณ์สูง และได้รับการมอบถวายการรับใช้แบบรู้พระทัยสุลต่าน เช่น การสรงน้ำให้สุลต่าน ก็เป็นหน้าที่หนึ่งของพวกเธอ ต่อด้วย โอดาลิคลาร์ คือ บรรดาหญิงสาวที่สุลต่านทรงเรียกมาถวายงานแบบค้างคืน จนตั้งครรภ์และเตรียมตัวเป็นชายาต่อไป กอสเด คือ หญิงสาววัยรุ่นที่ได้ผ่านการรับใช้แก่สุลต่านในเวลาไม่นาน และยังไม่ตั้งครรภ์ ซึ่งหญิงสาวส่วนใหญ่อยู่ในประเภทนี้ และอันดับสุดท้ายคือ คาริเยเลอร์ คือข้ารับใช้ทั่วๆไปในฮาเร็ม ซึ่งถ้าหากคนมีคุณสมบัติครบถ้วน คือรูปร่างดี และสวย ก็อาจได้เลื่อนอันดับขึ้นเป็นกอสเดได้ แต่ก็มีบางรายที่ตลอดเวลาที่อยู่ในฮาเร็ม เคยเข้าถวายการรับใช้เพียงครั้งเดียว หรือที่ร้ายกว่านั้นคือไม่เคยเข้าถวายการรับใช้แม้เพียงครั้งเดียว ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยเลย ดังนั้นสมาชิกหน้าใหม่ในฮาเร็ม จึงมีเป้าหมายอันดับแรกคือทำอย่างไรจึงจะสะดุดพระเนตรสุลต่านโดยเร็วที่สุด และโอกาสเช่นนั้นก็ใช่จะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ เพราะนอกจากจะมีให้เลือกมากมายแล้ว องค์สุลต่านก็มักจะไม่แสดงปฏิกิริยาว่าชอบสตรีแบบใด
บางครั้ง สุลต่านก็ไม่ได้เป็นผู้เลือกสาวเข้าไปรับใช้ด้วยตนเอง แต่เป็นยูนัค หรือขันทีที่ทำหน้าที่โดยเฉพาะ ที่จะสังเกตรู้ได้จากแววพระเนตรว่าสุลต่านทรงโปรดสตรีคนไหน(ช่างรู้ใจกันเหลือเกิน) แล้วเขาจะรีบแจ้งต่อหัวหน้าของตนคือ คิซลารากาซี(ขันทีที่เป็นชาวแอฟรกา ตัวดำ ท่าทางน่ากลัว ทำหน้าที่คล้ายตำรวจ)ต่อทันทีเพื่อจัดเตรียมส่งเธอผู้โชคดีคนนั้นขึ้นถวายงานต่อไป ซึ่งการเตรียมนั้น เริ่มต้นด้วยการส่งเธอเข้าห้องเตอรกิช บาธ ให้ข้ารับใช้ผู้รู้งานขัดสีฉวีวรรณทุกสัดส่วน ทุกซอกมุมก่อน (กล่าวกันว่าเส้นขนทุกแห่งของร่างกาย ก็จะถูกชโลมด้วยน้ำมันที่ทำจากขี้ผึ้งให้อ่อนนุ่มเป็นเงาชวนสัมผัส) พร้อมทั้งประพรมน้ำหอมทุกจุดสำคัญของร่างกาย พอได้เวลาส่งตัวเข้าห้องบรรทม นางในฮาเร็มคนอื่นๆก็จะบรรเลงดนตรี และขับร้องเหมือนกับช่วยกล่อมหออยู่ตลอดเวลา แล้วเธอผู้โชคดีคนนั้นจะเข้าไปในห้องบรรทมเพียงคนเดียว โดยคลานไปที่บรรจถรณ์ และขึ้นทางปลายพระบาทของสุลต่านที่บรรทมรออยู่แล้วเท่านั้น ซึ่งพิธีรีตองการเข้าถวายงานครั้งแรกจึงไม่ใช่เรื่องธรรมดาเพราะนั่นหมายถึงอนาคตของเธอผู้นั้นว่าจะเป็นคืนแรก หรือแค่คืนเดียวด้วย
ถึงแม้ชีวิตของเหล่านางในฮาเร็มทั้งหลายจะเป็นไปเพื่อสนองกามารมณ์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่พวกเธอทุกคนต่างมีความทะเยอทะยานแฝงอยู่ด้วยทั้งสิ้น โดยหวังที่จะได้เลื่อนระดับขึ้นไปหากถวายงานเป็นที่โปรดปราน และสามารถตั้งครรภ์และมีทายาทได้ หรือถึงจะไม่ตั้งครรภ์ แต่ถ้าเป็นที่พอพระทัยแล้วล่ะก็ะได้เป็นสนมคนโปรดที่ทรงเรียกหาเสมอ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อย่าลืมว่านางในฮาเร็มมีอยู่หลายร้อยคนด้วยกัน และแต่ละคนนั้นล้วนแต่สาว สวย ในระดับที่ผ่านการคัดกรองมาแล้วทั้งสิ้น การถูกเรียกตัวครั้งหนึ่งก็เป็นความโชคดีมากพอแล้ว เพราะส่วนใหญ่มีแค่ครั้งเดียวแล้วถูกลืมไป จนกระทั่งหมดระยะเวลาและถูกโละทิ้งไป เนื่องจากสุลต่านชอบหญิงงามที่ยังเยาว์วัยเท่านั้น ทุกๆ 3 เดือน 6 เดือน หรือ1 ปี จะมีการจัดหาหญิงสาวชุดใหม่เข้ามาเพื่อแทนที่ หัวหน้าขันทีจึงมีอิทธิพลเหนือนางในฮาเร็ม เพราะสามารถเพ็ดทูลเสนอใครเข้าถวายตัวสุลต่านได้ ยิ่งถ้าสาวไหนมีเรื่องมีราวขัดใจกับเหล่าขันทีพวกนี้ นั่นหมายถึง อนาคตเธอโดนโละทิ้งแน่นอน
โดย บ๊องบ๊อง
ขอขอบคุณบทความและข้อมูลจาก http://www.oknation.net/blog/print.php?id=478556
ส่วนตัวเจ้าของกระทู้ก็อยากมีฮาเร็มแบบข้างล่างกะเขาบ้างเหมือนกัน
มารู้จักประวัติของฮาเร็มจริงๆกันดีกว่า