แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย Nook747 เมื่อ 2014-5-14 20:24
กระทู้ก่อนหน้านี้ ความเป็นมาของชาวมองโกล
มาแล้วนะครับ สำหรับตอนที่ 3 ของมหากาพย์ตำนานของมองโกล โดยจะมี 3 ตอนย่อยนะครับ เชิญอ่านได้ตามสบาย......
ตอนที่ 1:ชีวิตในวัยเยาว์ของเตมูจิน
สำหรับเรื่องราวในวัยเด็กของเตมูจินหรือเจงกิสข่านนั้นค่อนข้างคลุมเครือมากครับ แถมมีมากมายหลายกระแส แต่ถ้าอ้างตามพงศาวดารลับมองโกลกับพงศาวดารราชวงศ์หยวนแล้ว เราจะพบว่าเตมูจินมี "พี่ชายและน้องชายต่างมารดา" ๒ คนคือ "เบ็กเตอร์" และ "เบล:Xไต" ส่วนพี่น้องท้องเดียวกัน ๓ คนคือน้องรอง - คัสซาร์ , น้องสาม - เตมูเก และน้องสาวคนเดียวนามว่า "เตมูลุน" โดยแต่ละคนนั้นมีอายุอานามห่างกันเท่าไหร่นั้นไม่ปรากฏแน่ชัดหรอกครับ
ส่วนเรื่องราวจิปาถะในวัยเยาว์ของเตมูจินนั้นก็ไม่มีอะไรมากมายนัก พบแต่เพียงว่าชีวิตในช่วงวัยเยาว์ตอนต้นๆ (ซึ่งไม่ระบุว่าอายุเท่าไหร่) เตมูจินถูกผู้เป็นลุง (หรืออา?) นามว่า "ตา:Xไต" นำไปเลี้ยงดูซักพักหนึ่ง โดยความในเอกสารบางฉบับบอกว่า นอกจากตา:Xไตผู้นี้เป็น "ลูกพี่ลูกน้อง" กับเยซูไกแล้ว เขายังเป็น "ข่านที่ทรงอำนาจ" อีกด้วย แต่ผมคิดว่าตา:Xไตน่าจะเป็นขุนศึกผู้ทรงอำนาจมากว่าจะเป็นข่านที่แท้จริง
เพราะด้วยเหตุผลอะไร - ผมจะกล่าวถึงในหัวข้อที่สมควรก็แล้วกันนะครับ...
แต่ก็นั่นล่ะครับว่า เราไม่รู้ว่าทำไมเยซูไกถึงส่งเตมูจินไปอยู่กับญาติคนนี้ เพราะเพียงสักพักเดียวเตมูจินก็ถูกส่งตัวกลับมาอยู่กับครอบครัวตามเดิมแล้ว - สงสัยจะซนจัดจนญาติไม่รับเลี้ยงล่ะมั้งท่า - ฮา
หลังจากหวนคืนสู่ครอบครัวที่แท้จริงได้ไม่นาน เตมูจินก็มีเหตุให้ต้องพลัดพรากจากครอบครัวอีกแล้ว เพราะในช่วงเวลาที่เตมูจินอายุได้ ๙ ขวบแล้ว เยซูไกได้จัดการพาลูกชายไปคัดเลือก "คู่หมั้น" ของตนที่เผ่าเจเลอิดส์ทางตะวันออก - เผ่าเดียวกันกับโฮหลัน - นั่นล่ะครับ
เรื่องของเรื่องก็คืองี้ครับว่า ตามธรรมเนียมเผ่าเร่ร่อนในยุคนั้น นอกจากฝ่ายชายจะต้องเดินทางเพื่อไปหมั้นหมายกับฝ่ายหญิงแล้ว ฝ่ายเด็กชายจะต้องอยู่ "รับใช้" ครอบครัวของคู่หมั้นต่อไปอีก ๑ ปีเสียก่อน เพื่อที่ว่าครอบครัวฝ่ายหญิงจะได้พิจารณาชมดูว่าไอ้ว่าที่ลูกเขยคนนี้เป็นคนใช้การใช้งานได้มากน้อยเพียงใด เพราะถ้าเป็นคนมุมานะเอาการเอางานก็ตบปากรับคำขอหมั้นกันไป แต่ถ้าไม่ได้เรื่องก็ชิงตัดบทยกเลิกการหมั้นไปซะเลย จะได้ไม่ต้องให้ลูกสาวไปชีช้ำกะหล่ำปลีกันอีตอนแต่งงานกันไปแล้ว - ว่างั้น
อย่างไรก็ตาม งานนี้มันก็มีเรื่องแปลกๆให้แปลกใจอยู่ครับว่า เพราะนอกจากเยซูไกไปฉุดโฮหลันมาแบบไม่ถูกต้องตามธรรมเนียมแล้ว แกยังมีหน้าเอาลูกชายไปเลือกสาวจากเผ่าฝ่ายแม่อีกรอบ - แบบว่าไม่เกรงใจญาติฝ่ายแม่แต่อย่างใดซะงั้น
ไม่เพียงเท่านั้น ฝ่ายเตมูจินเองก็มีอายุเพียง ๙ ขวบเท่านั้น ซึ่งยังไม่ถือว่าอยู่ในวัยเจริญพันธุ์เสียด้วยซ้ำไป
ดังนั้น การหมั้นหมายในครั้งนี้อาจจะมีมากกว่าเรื่องการแต่งงานระหว่างสองเผ่าและสองตระ:Xลแล้วล่ะครับ และมีความเป็นไปได้ว่าเหตุทั้งสิ้นทั้งปวงนั้นอาจจะมีมาจากความบาดหมางระหว่างเบ็กเตอร์และเตมูจินก็เป็นไปได้ครับ
เรื่องของเรื่องก็คือ แม้ว่าเบ็กเตอร์จะมีศักดิ์เป็นบุตรคนโตของครอบครัว แต่ทั้งเบ็กเตอร์และเตมูจินเองก็มีศักดิ์เป็น "บุตรหัวปี" ของภรรยาแต่ละคนในตระ:Xลของเยซูไกด้วย ทำให้ทั้งสองย่อมมีสิทธิ์ในฐานะผู้เป็นทายาทแห่งกระโจมด้วยเช่นกัน
เพราะฉะนั้นแล้ว การที่เยซูไกพยายามจับเตมูจินแยกจากครอบครัวมาตั้งแต่เด็กๆก็อาจจะเป็นเพราะเหตุผลนี้ก็เป็นไปได้เช่นกันล่ะครับ
เอาล่ะ เราวกกลับมาที่เผ่าเจเลอิดส์กันต่อนะครับ
สำหรับเผ่าเจเลอิดส์นี้ นอกจากจะเป็นเผ่าที่อยู่ทางใต้ของทุ่งหญ้ามองโกลแล้ว หากแต่ยังเป็นเผ่าที่มีชื่อเสียงเรื่องความความมั่งคั่งร่ำรวยและ "ลูกสาวสวย" ที่สุดในทุ่งหญ้ามองโกลอีกต่างหากล่ะครับ - แหะๆ - โดยที่เตมูจินได้ถูกหมั้นหมายกับลูกสาวหรือข่านแห่งเผ่าเจเลอิดส์ เด็กหญิงแววตาสีเทาอายุ ๑๒ ขวบนามว่า “บูร์ไต” ครับ
ด้านเหตุการณ์การหมั้นหมายระหว่างสองฝ่ายนั้นก็ไม่ปรากฏมีเรื่องราวของความบาดหมางใดๆ แต่เราก็พอเข้าใจได้ว่างานนี้เตมูจินคงจะโดน "รับเขย" จนอ่วมเอาเหมือนกันล่ะครับ เพราะไหนๆก็ถูกส่งตัวมาอยู่เผ่าอื่นแบบนี้แล้ว ชะรอยคงได้โดนครอบครัวฝ่ายหญิง "ใช้งาน" จนสาแก่ใจไม่พอ เผลอๆจะได้โดนพวกเด็กๆในเผ่ารุมแกล้งกันจนสาแก่ใจตามประสาเด็กๆเจ้าถิ่นล่ะครับ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานี้ก็มีเรื่องดีๆอยู่บ้างครับ เพราะว่าเตมูจินได้พบกับเพื่อนใหม่นามว่า "จามูกา" ผู้เป็นบุตรชายแห่งตระ:Xลอันสูงศักดิ์ของเผ่าเจเลอิดส์ ซึ่งทั้งสองก็ได้สาบานกันเป็น "อันต้า" ที่แปลว่า "เพื่อนร่วมสาบาน" นั่นล่ะครับ โดยทั้งสองต่างก็เป็นเพื่อนรักกันในระหว่างที่ต้องมาอยู่เผ่าต่างแดนเช่นนี้
ทว่า ความสุขก็ไม่ยั้งยืนนัก...
เพราะในขณะที่เยซูไก ผู้เป็นบิดากำลังเดินทางกลับนั้น ดันมาถูกชนเผ่าตาตาร์วางยาพิษในงานเลี้ยงระหว่างการเดินทางกลับซะฉิบ!
หลายคนก็คงจะงงว่า ไหงเยซูไกไปพลาดให้พวกตาตาร์มันวางยาเอาได้ ทั้งที่ทั้งสองฝ่ายเป็นศัตรูกันมาก่อนไม่ใช่หรือ ทำไมไปพลาดให้เขาวางยาซะได้เล่า?
คืองี้ครับ ตามธรรมเนียมเผ่าเร่ร่อนแล้ว ไม่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะมีความแค้นกันมาแต่หนไหน แต่ถ้าหากอีกฝ่ายมีงานเลี้ยงฉลองขึ้นมาแล้ว นอกจากฝ่ายผู้จัดงานฉลองจะไม่มีสิทธิ์ทำร้ายแขกผู้เดินทางผ่านมา เพราะถือว่าเป็น "สิทธิ์ของอาคันตุกะ" แล้ว ผู้หรือศัตรูที่สัญจรผ่านไปมาจะต้องร่วมงานเลี้ยงเพื่อเป็นเกียรติแก่เจ้าภาพด้วยเช่นกัน
สรุปคือ ถ้ามีงานเลี้ยงเมื่อไหร่ ทั้งสองฝ่ายต้องละทิ้งโทสะทั้งหมด - เข้าใจบ่?
ดุจเดียวกันกับเตมูจินและเผ่าตาตาร์ครับ เมื่อพวกตาตาร์จัดงานเลี้ยงแล้วก็ย่อมต้องเชิญผู้เดินทางสัญจรไปมาให้ร่วมงานเลี้่ยงฉลองด้วย และแน่นอนว่าเยซูไกก็ไม่อาจจะขัดขืนได้เช่นกัน เพราะนอกจากจะมันจะเป็นการหยามหน้าระหว่างเผ่าแล้ว มันอาจจะกลายเป็นชนวนสงครามระหว่างเผ่าอีกด้วย
ดังนั้น เยซูไกจึงจำใจต้องร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้อย่างละเว้นเสียมิได้ล่ะครับ...
แม้ว่าเยซูไกจะยอมร่วมงานเลี้ยงของพวกตาตาร์อย่างให้เกียรติแล้ว แต่งานนี้มันดันกลายเป็นว่า พวกตาตาร์กลับเล่นตุกติกไม่ถือตามเกียรติแห่งนักรบทุ่งหญ้าอย่างเยซูไก พวกก็เลยแอบวางยาใส่ในเหล้านมม้าเสียฉิบเลย!
คราวนั้นเราก็ไม่ทราบครับว่า เยซูไกดื่มเหล้าจนหวิดจะเมาปลิ้นหรือว่ายาดันมาออกฤทธิ์กะทันหันไม่ทราบได้ แต่ที่แน่ๆก็คือเยซูไกสามารถหอบสังขารหนีออกมาจากเผ่าตาตาร์จนกลับไปนอนพะงาบๆอยู่ที่บ้านตัวเองได้ในที่สุดล่ะครับ...
เพราะเหตุนี้ ฝ่ายครอบครัวของเตมูจินจึงรีบส่งม้าเร็วไปแจ้งข่าวแก่เตมูจินที่เผ่าเจเลอิดส์ในทันที ซึ่งเมื่อเตมูจินทราบข่าวแล้วก็รีบควบม้าตามพลนำสารกลับไปยังเผ่าของตนเองในทันที โดยที่หนุ่มน้อยวัยละอ่อนผู้นี้ได้กล่าวสั่งเสียกับว่าที่คู่หมั้นของตนว่า "สักวัน ผมจะกลับมารับคุณไปอยู่ด้วยกัน" - ว่างั้น!
แหม่ เด็กสมัยนั้นก็ไวไฟเหมือนกันวุ้ย - ฮา
เอาล่ะ มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่าครับ - อะแฮ่มๆ
ผมเชื่อได้ว่ากว่าที่เตมูจินจะเดินทางกลับไปถึงเผ่าได้ก็กินเวลาเกือบเดือนแล้วล่ะครับ เพราะเมื่อผมแอบเปิดแผนที่ทุ่งหญ้ามองโกลใน ณ เวลานั้นก็พบว่าเส้นทางจากเผ่าเจเลอิดส์ไปถึงเผ่ามองโกลนั้นไกลพอๆกับควบม้าจากกรุงเทพไปเชียงใหม่เลยทีเดียว ซึ่งต่อให้มีม้ามาเปลี่ยนระหว่างเดินทางยังไงก็เถิด ควบม้าให้ตายยังไงก็ต้องใช้เวลาเกิน ๑ สัปดาห์แน่ๆล่ะครับ แล้วไหงจะต้องควบไปกลับอีกต่างหาก
ไปให้ทันใน ๑๕ วันก็บุญโขแล้วล่ะครับพี่น้อง...
แต่เยซูไกก็ยังดวงแข็งไม่ยอมลาโลกไปง่ายๆ หากแต่รอวันจนลูกชายกลับมาถึงเผ่าเอาจนได้ล่ะครับ และเมื่อได้เห็นหน้าลูกชายแล้ว เขาก็กล่าวสั้นๆเพียงว่า "พวกตาตาร์...คร่อก!"
เยซูไกข่านผู้ยิ่งใหญ่ ผู้ได้ฉายาว่า "เจ้าชายหมาป่า" จึงมีอันสิ้นชีพลงด้วยเหตุอัปยศดังนี้ล่ะครับ...
ครั้นเมื่อบรรดาบุตรทั้งหลายต้องมาสิ้นสูญบิดาผู้เป็นหลักชัยไปเช่นนี้แล้ว ครอบครัวของเตมูจินจะเป็นอย่างไรต่อไป - โปรดติดตามในตอนต่อไปครับ
Credit:Penedge
(Greater Mongol Empire Series)ชีวิตในวัยเยาว์ของเตมูจิน