นินจา
นินจา หรือ ชิโนบิ (นินจาหญิงเรียก คุโนะ อิจิ) แปลว่า ผู้คงทน ได้ชื่อเป็น กลุ่มนักฆ่า หรือสปาย ในช่วงเปลี่ยน การปกครองของญี่ปุ่น คำว่านินจาสันนิษฐานว่าเริ่มใช้ประมาณ 800 ปีก่อน หมายถึงบุคคลที่อยู่ในภูเขาและฝึกฝนนินจุตสุ คือวิชาต่อสู้เกี่ยวกับการขโมยและการล่องหน โดยคำว่านินเดิมหมายถึงคงทน ก่อนเพิ่มเติมให้หมายถึง การซ่อนตัวและการขโมย จา หมายถึง บุคคล ส่วนภาษาจีนขานนามนินจาว่า หลินกุ้ย คือ ปีศาจในป่า
นินจาถูกเปรียบเทียบกับซามูไรว่า ขณะที่ซามูไรคือนักสู้ที่ต่อสู้เบื้องหน้า นินจาเป็นนักสู้ที่ต่อสู้ลับหลัง อย่างไรก็ตาม ก่อนจะมีภาพเป็นนักฆ่าซัดอาวุธดาวกระจายอย่างในภาพยนตร์ เชื่อกันว่านินจาเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ฝึกฝนในกลุ่มนักบวช เผยแพร่จากจีนมาญี่ปุ่นราว ค.ศ.522 โดยเบื้องแรกกลุ่มนักบวชไม่ใช้วิชาเพื่อความรุนแรง กระทั่ง ค.ศ.645 จึงนำวิชาการต่อสู้มาใช้ หลังจากถูกกดขี่บีบคั้นจากรัฐบาลกลางให้ปกป้องตนเอง ในสมัยเฮอันที่เกิดการต่อสู้ชิงอำนาจกันระหว่างตระกูลเพื่อโค่นล้มราชสำนัก ตระกูลใหญ่ๆ ต้องการนักฆ่ามืออาชีพที่ทำงานหาข่าวและลอบสังหารฝ่ายตรงข้าม ทำให้คนที่ฝึกวิชาการต่อสู้เป็นที่ต้องการสูงมาก นินจาผงาดตั้งแต่บัดนั้น
ว่ากันว่าการสืบเสาะค้นหาประวัติศาสตร์ของนินจาเป็นเรื่องไม่ง่าย เพราะ "ผู้คงทนจอมซ่อนตัว" ไม่เคยทิ้งร่องรอยไว้ และไม่คุยโวถึงผลงาน ทำให้งานหรือชีวประวัติของนินจาถูกเก็บเป็นความลับ ยากหาข้อเท็จจริง มีเพียงเรื่องในตำนานต่างๆ ที่เล่าไว้หลากหลาย ที่โด่งดังที่สุดคือเรื่องพระชาวจีนรูปหนึ่งเป็นผู้ฝึกวิชาให้มินาโมโตะ โนะ โยชิซึเนะ
โทงะคุเระ ริว กล่าวถึงนินจาในช่วงปลายยุคเฮอันว่า แบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายหลัก คือ อิงะ และโคงะ ต่อสู้กัน ต่อมาในช่วงยุคเซนโงกุ (หรือที่รู้จักกันว่าเป็นยุคสงคราม) ไดเมียวที่มีชื่อเสียงทุกคนมีนินจาอยู่ภายใต้การปกครองสำหรับการเป็นสปายแอบสืบข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม และไดเมียวบางคนก็ถูกกล่าวว่าเป็นนินจาเอง ยุคเดียวกันมีเรื่องราวกล่าวถึงผลงานฮัตโตริ ฮันโซ หัวหน้ากลุ่มนินจาฝ่ายอิงะ นำทางโทกุงาวะ อิเอยาสุ หลบหนีจากช่องเขานาระภายหลังลอบโจมตีทัพของโอดะ โนบุนางะ และที่สุดอิเอยาสุก็ได้ชัยในสงคราม ขึ้นตั้งตัวเป็นโชกุน
ทั้งยังมีเรื่อง ซานาดะ ยูคิมูระ หัวหน้ากลุ่มซานาดะ ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มนินจา หลังจากเขานำกลุ่มทหารเพียง 3,000 นายปกป้องปราสาท โดยสู้กับกองทัพ 50,000 ของโทกุงาวะ ฮิเดทาดะ
200 ปีหลังช่วงเวลาของตระกูลโทกุงาวะ ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดเกิด ขึ้น ทำให้ไม่มีการสืบต่อวิชานินจา เป็นแต่เพียงการสืบต่อแบบปากต่อปากระหว่างคนสนิทเท่านั้น จนยุคเอโดะนินจากลับมาเป็นที่นิยม แต่ไม่ใช่ในความเป็นจริง หากบันทึกอยู่ในหนังสือและการแสดงต่างๆ ที่สรรเอาวิชานินจามาโชว์ ทั้งการล่องหน กระโดดสูง ท่องมนต์ และเรียกกบยักษ์มาช่วยสู้ สารพัดสารพันถูกสร้างขึ้นในยุคนี้เพื่อความบันเทิง
อาวุธของนินจาเป็นอาวุธที่ซ่อนไว้ หลักๆ มี โบะ คือกระบอง นินจาเคน คือดาบนินจาซึ่งเล็กกว่าคะตานะของซามูไร และชูริเคน คือคมมีดปล่อยจากมือ หรือเรียกดาวกระจาย เป็นอาวุธสำหรับขว้าง มีตั้งแต่ชนิด 4 แฉกถึง 8 แฉก คมกริบ ชูริเคนไม่ได้ถูกสร้างเพื่อใช้เป็นอาวุธโจมตี แต่เป็นเครื่องมือเบี่ยงเบนความสนใจของคู่ต่อสู้
ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสด
CD: sagime
นินจา หรือ ชิโนบิ (นินจาหญิงเรียก คุโนะ อิจิ) แปลว่า ผู้คงทน ได้ชื่อเป็น กลุ่มนักฆ่า หรือสปาย ในช่วงเปลี่ยน การปกครองของญี่ปุ่น คำว่านินจาสันนิษฐานว่าเริ่มใช้ประมาณ 800 ปีก่อน หมายถึงบุคคลที่อยู่ในภูเขาและฝึกฝนนินจุตสุ คือวิชาต่อสู้เกี่ยวกับการขโมยและการล่องหน โดยคำว่านินเดิมหมายถึงคงทน ก่อนเพิ่มเติมให้หมายถึง การซ่อนตัวและการขโมย จา หมายถึง บุคคล ส่วนภาษาจีนขานนามนินจาว่า หลินกุ้ย คือ ปีศาจในป่า
นินจาถูกเปรียบเทียบกับซามูไรว่า ขณะที่ซามูไรคือนักสู้ที่ต่อสู้เบื้องหน้า นินจาเป็นนักสู้ที่ต่อสู้ลับหลัง อย่างไรก็ตาม ก่อนจะมีภาพเป็นนักฆ่าซัดอาวุธดาวกระจายอย่างในภาพยนตร์ เชื่อกันว่านินจาเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ฝึกฝนในกลุ่มนักบวช เผยแพร่จากจีนมาญี่ปุ่นราว ค.ศ.522 โดยเบื้องแรกกลุ่มนักบวชไม่ใช้วิชาเพื่อความรุนแรง กระทั่ง ค.ศ.645 จึงนำวิชาการต่อสู้มาใช้ หลังจากถูกกดขี่บีบคั้นจากรัฐบาลกลางให้ปกป้องตนเอง ในสมัยเฮอันที่เกิดการต่อสู้ชิงอำนาจกันระหว่างตระกูลเพื่อโค่นล้มราชสำนัก ตระกูลใหญ่ๆ ต้องการนักฆ่ามืออาชีพที่ทำงานหาข่าวและลอบสังหารฝ่ายตรงข้าม ทำให้คนที่ฝึกวิชาการต่อสู้เป็นที่ต้องการสูงมาก นินจาผงาดตั้งแต่บัดนั้น
ว่ากันว่าการสืบเสาะค้นหาประวัติศาสตร์ของนินจาเป็นเรื่องไม่ง่าย เพราะ "ผู้คงทนจอมซ่อนตัว" ไม่เคยทิ้งร่องรอยไว้ และไม่คุยโวถึงผลงาน ทำให้งานหรือชีวประวัติของนินจาถูกเก็บเป็นความลับ ยากหาข้อเท็จจริง มีเพียงเรื่องในตำนานต่างๆ ที่เล่าไว้หลากหลาย ที่โด่งดังที่สุดคือเรื่องพระชาวจีนรูปหนึ่งเป็นผู้ฝึกวิชาให้มินาโมโตะ โนะ โยชิซึเนะ
โทงะคุเระ ริว กล่าวถึงนินจาในช่วงปลายยุคเฮอันว่า แบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายหลัก คือ อิงะ และโคงะ ต่อสู้กัน ต่อมาในช่วงยุคเซนโงกุ (หรือที่รู้จักกันว่าเป็นยุคสงคราม) ไดเมียวที่มีชื่อเสียงทุกคนมีนินจาอยู่ภายใต้การปกครองสำหรับการเป็นสปายแอบสืบข้อมูลของฝ่ายตรงข้าม และไดเมียวบางคนก็ถูกกล่าวว่าเป็นนินจาเอง ยุคเดียวกันมีเรื่องราวกล่าวถึงผลงานฮัตโตริ ฮันโซ หัวหน้ากลุ่มนินจาฝ่ายอิงะ นำทางโทกุงาวะ อิเอยาสุ หลบหนีจากช่องเขานาระภายหลังลอบโจมตีทัพของโอดะ โนบุนางะ และที่สุดอิเอยาสุก็ได้ชัยในสงคราม ขึ้นตั้งตัวเป็นโชกุน
ทั้งยังมีเรื่อง ซานาดะ ยูคิมูระ หัวหน้ากลุ่มซานาดะ ได้ชื่อว่าเป็นกลุ่มนินจา หลังจากเขานำกลุ่มทหารเพียง 3,000 นายปกป้องปราสาท โดยสู้กับกองทัพ 50,000 ของโทกุงาวะ ฮิเดทาดะ
200 ปีหลังช่วงเวลาของตระกูลโทกุงาวะ ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงใดเกิด ขึ้น ทำให้ไม่มีการสืบต่อวิชานินจา เป็นแต่เพียงการสืบต่อแบบปากต่อปากระหว่างคนสนิทเท่านั้น จนยุคเอโดะนินจากลับมาเป็นที่นิยม แต่ไม่ใช่ในความเป็นจริง หากบันทึกอยู่ในหนังสือและการแสดงต่างๆ ที่สรรเอาวิชานินจามาโชว์ ทั้งการล่องหน กระโดดสูง ท่องมนต์ และเรียกกบยักษ์มาช่วยสู้ สารพัดสารพันถูกสร้างขึ้นในยุคนี้เพื่อความบันเทิง
อาวุธของนินจาเป็นอาวุธที่ซ่อนไว้ หลักๆ มี โบะ คือกระบอง นินจาเคน คือดาบนินจาซึ่งเล็กกว่าคะตานะของซามูไร และชูริเคน คือคมมีดปล่อยจากมือ หรือเรียกดาวกระจาย เป็นอาวุธสำหรับขว้าง มีตั้งแต่ชนิด 4 แฉกถึง 8 แฉก คมกริบ ชูริเคนไม่ได้ถูกสร้างเพื่อใช้เป็นอาวุธโจมตี แต่เป็นเครื่องมือเบี่ยงเบนความสนใจของคู่ต่อสู้
ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสด
CD: sagime
รู้หรือไม่ นินจามาจากไหน?