จบกันไปอีกหนึ่งซีซั่นสำหรับการดูอนิเมะ ซีซั่นนี้ก็จัดว่าเป็นซีซั่นที่ดุเดือดอีกซีซั่นหนึ่ง ซึ่งมีอนิเมะที่ผมดูจบไปมากมาย มีทั้ง บู๊ เศร้า ซึ้ง เซ็ง หลอน เลิฟ เลี่ยน เครียด ฮา หื่น และอีกหลากหลายอารมณ์ผสมกันอย่างครบครัน โดยในรอบนี้ผมจะยังไม่เขียนถึง Rinne no Lagrange นะครับ เก็บไว้สรุปรวบยอดทีเดียวหลังจากซีซั่นสองจบ ส่วน Aquarion EVOL และ Recorder to Randoseru นั้นยังจะฉายต่อไป ก็จะยังไม่เขียนถึงเช่นกัน
ท่านที่ตามอ่านรีวิวของผมมาอยู่เรื่อยๆอาจจะพบว่าครั้งนี้หลายๆเรื่องได้คะแนนต่ำมาก ก็เลยจะบอกไว้นิดนึงว่าช่วงนี้ผมกำลังปรับเกณฑ์การให้คะแนนให้มันโหดขึ้นหน่อย เพราะเริ่มรู้สึกว่าคะแนนไปกองอยู่ที่ 6-7 เยอะมากๆ มันเลยทำให้มองไม่เห็นการกระจายตัว ดังนั้นถ้าอยากเปรียบเทียบกับเรื่องอื่นๆก็ลองตามไปดูที่รายชื่ออนิเมะที่ผมเคยดูมาได้ครับ เพราะผมมีการอัพเดทอยู่ตลอดเวลา โดยเวลาใส่คะแนนใน MAL ผมจะปัดเศษทศนิยมลงเสมอครับ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Amagami SS+ plus (13 ตอนจบ)
เริ่มกันที่ภาคต่อของอนิเมะเลิฟคอเมดี้ที่ทำกระแสภาคแรกไว้อย่างยอดเยี่ยมพอสมควร มาในภาคนี้ก็ยังคงรูปแบบแยกรูทเป็นหกรูทไว้เช่นเดิม โดยแต่ละรูทจะเป็นเนื้อหาต่อจากสี่ตอนในภาคแรกไปอีกรูทละสองตอน
ในภาคนี้จะเดินเรื่องโดยการสร้างปัญหาเล็กๆน้อยๆในแต่ละรูทให้เคลียร์ได้ภายในสองตอน แต่โดยรวมแล้วเนื้อเรื่องในแต่ละรูทไม่น่าตื่นเต้นเหมือนภาคแรก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเริ่มเรื่องแต่ละรูทต่อจากภาคที่แล้ว นั่นคือเริ่มจากการเป็นคนรักก่อนแล้วมีปัญหาตามมาทีหลัง ทำให้สเต็ปการเดินเกมไม่ท้าทายเหมือนเดิม แต่ก็ถือว่าดูชิลๆได้ นอกจากนี้ตัวภาพก็มีพัฒนาการขึ้นตามกาลเวลา เพลงก็เพราะเหมือนเดิม
คะแนน: 7.0/10 ถ้าเทียบกับภาคแรกแล้วกลายเป็นอนิเมะธรรมดาๆไปเลย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Ano Natsu de Matteru (12 ตอนจบ)
ต่อด้วยออริจินัลที่ที่ไม่ออริจินัลซักเท่าไหร่ สำหรับเลิฟคอเมดี้ดราม่าที่ถูกตั้งฉายาว่า Onegai Senpai ด้วยความที่ยกเครื่องมากจาก Onegai Teacher เกือบทั้งดุ้น เปลี่ยนแค่คุณครูเป็นรุ่นพี่เท่านั้นเอง ดำเนินเรื่องผ่านวังวนความรักของหมุ่มสาวผสมกับไซไฟอวกาศแบบน่ารักๆ
ถ้าว่ากันด้วยเนื้อเรื่องแล้ว การดำเนินเรื่องถือว่าค่อนข้างสนุกครับ มีให้ลุ้นจับคู่กันอยู่ได้เรื่อยๆ ตัวละครก็น่ารักดี แต่ตั้งแต่ช่วงกลางๆเรื่องจะค่อนข้างเดาทางได้ง่าย แม้ว่าผมจะไม่เคยดู Onegai Teacher มาก่อน แต่ก็เรียกว่าแทบจะรู้ทันหมดเลยว่าเดี๋ยวจะเกิดดราม่ายังไง แล้วจะแก้ยังไง ผลจะเป็นยังไง แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แม้ว่ามันจะสนุกเพลินๆดีแต่ก็ไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ นอกจากนี้ฉากจบก็ค่อนข้างจะหลุดเว่อร์แบบฝืนๆไปหน่อย จนไม่ค่อยแน่ใจว่าตั้งใจจะจริงจังหรือตั้งใจจะให้ฮากันแน่ ตอนจบก็มีทิ้งปลายเปิดเอาไว้ แต่ผมตีความเอาเองว่าน่าจะเป็นแฮปปี้เอนดิ้งแหละถึงแม้ว่ามันจะดูขัดๆกับตรรกะที่ตัวละครพูดๆกันในตอนจบก็ตาม ในส่วนองค์ประกอบอื่นถือว่าภาพและการเคลื่อนไหวสวยดี และมีเพลงประกอบเพราะ
คะแนน: 6.8/10 สนุก แต่ใช้ความเป็นไซไฟเกินพอดีไปหน่อย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Another (12 ตอนจบ)
จากนิยายลี้ลับเกี่ยวกับคำสาปของห้องเรียนห้องหนึ่งที่จะต้องมีผู้เกี่ยวข้องตายทุกเดือน ดำเนินเรื่องโดย ซากะคิบาระ โคอิจิ นักเรียนที่ย้ายมาใหม่จากโตเกียว และเด็กสาวลึกลับ มิซากิ เมย์ ที่มีผ้าปิดตาซ้ายและไม่มีใครในห้องรู้สึกถึงตัวตนของเธอ
เริ่มกันที่เรื่องขององค์ประกอบกันก่อน เนื่องจากเรื่องนี้เป็นผลงานของ P.A. Works ทำให้ประเด็นความเรียบร้อยของอนิเมชั่นนั้นค่อนข้างจะไม่มีปัญหา เสียงประกอบฉากที่ใช้ก็สร้างอารมณ์พอใช้ได้ แต่น่าเสียดายที่เพลง OP มันเร็วเกินไปเลยทำให้อารมณ์หลอนหลุดทุกทีเวลาดู ในส่วนของเนื้อเรื่องนั้นต้องบอกไว้ก่อนเลยว่ายิ่งดูจะยิ่งเสียดายตัวละคร เพราะไม่ว่าจะเด่นหรือไม่เด่นก็ตายกันเป็นเบือเลยทีเดียว นอกเหนือจากนั้นปริศนาของเรื่องก็ทำได้โอเคในระดับหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของความน่ากลัวและการชักนำความคิดของผู้ชม
คะแนน: 7.5/10 ภาพโมเอะไปหน่อยเลยหลอนน้อยลง แต่ก็สนุกตื่นเต้นดี
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Black★Rock Shooter (8 ตอนจบ)
จากออริจินัลที่เคยสร้างเป็น OVA ความยาว 50 นาทีมาแล้ว ครั้งนี้มาลงจอทีวีเพื่อขยายเรื่องราวระหว่างสองโลกให้ละเอียดยิ่งขึ้น รวมทั้งนำตัวละครอื่นๆที่ Huke ออกแบบมาเคลื่อนไหวให้เห็นกันบนจอ ยังคงดำเนินเรื่องโดย คุโรอิ มาโตะ หรือ Black★Rock Shooter ในโลกคู่ขนาน ธีมหลักของเรื่องอยู่ที่ความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนในหมู่ลูกผู้หญิงด้วยกันหรือถ้าจะให้พูดตรงๆก็คือยูรินั่นเอง และเป็นยูริที่ให้อารมณ์รุนแรงพอสมควรด้วย
ในภาคทีวีนี้จะปรับลายเส้นและการออกแบบให้ต่างจะแบบ OVA พอสมควร ซึ่งก็ค่อนข้างจะได้รับการตอบรับเป็นเสียงเดียวกันว่าแบบเก่าดีกว่า แต่พอดูไปเรื่อยๆเดี๋ยวก็จะชินไปเอง เพราะการเคลื่อนไหวอะไรๆก็ถือว่าดูราบรื่นดี ฉากแอ็กชั่นก็ตระการตาใช้ได้ นอกจากนี้ OP-ED ของ ryo บวกกับ Sequence ก็ถือว่ามีสไตล์โดดเด่นสะดุดตาพอสมควร ในส่วนของการดำเนินเรื่องนั้น ค่อนข้างจะมุ่งเน้นไปที่ความเกรี้ยวกราดและมืดมนในจิตใจของตัวละครแต่ละคน เรียกได้ว่าดราม่ากันไม่เว้นแต่ละตอนเลยทีเดียว แต่บทสรุปของเรื่องนั้นทำได้กินใจพอสมควร แม้ว่าโดยภาพรวมแล้วจะออกมาค่อนข้างเดาทางง่ายและเป็นบทสรุปที่ลงตัวไปหน่อย แต่คอนเซ็ปท์เรื่องของการรับมือและอยู่ร่วมกับความเจ็บปวดในชีวิต ก็ถือว่าสื่อออกมาได้อย่างเป็นรูปธรรมและสรุปได้สวยงามดี
คะแนน: 7.4/10 แม้จะขัดใจกับการออกแบบใหม่เล็กน้อย แต่ก็สนุกกว่าที่คิด
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Danshi Koukousei no Nichijou (12 ตอนจบ)
มาที่อนิเมะตลกของ SUNRISE ร่วมกับ SQUARE ENIX ซึ่งมีเนื้อหาตามความหมายของชื่อเรื่อง นั่นก็คือ "ชีวิตประจำวันของนักเรียนหนุ่มม.ปลาย" นั่นเอง เป็นอนิเมะตลกเสื่อมบ้างไม่เสื่อมบ้าง แบ่งเป็นตอนสั้นๆ 6-7 ตอน อัดลงไปในเวลา 20 นาทีของแต่ละสัปดาห์
คุณภาพอนิเมชั่นนั้นไม่ค่อยมีอะไรให้กล่าวถึงเท่าไหร่ เพราะใช้ลายเส้นและการเคลื่อนไหวพื้นๆ ที่โดดเด่นก็คือเรื่องของการใช้มุขต่างๆ ซึ่งบังเอิญว่าช่วงที่ดูนี่ผมอยู่ญี่ปุ่นพอดีจึงดูสดทางทีวีเอา ซึ่งทำให้ได้เจอโฆษณาคั่นด้วย คือต้องบอกว่าอนิเมะเรื่องนี้มันมีมุขตลอดเวลาที่ฉาย ไล่ตั้งแต่ช่วงเริ่มตอน เข้า OP แล้วก็เล่นมุขสปอนเซอร์ ไปจนถึงโฆษณาที่คั่นระหว่างฉายก็ยังมีมุข ยิ่ง ED นี่บ้าบอคอแตกมากไม่รู้จะเอาฮาไปไหน แต่ต้องยอมรับว่าบางมุขมันก็ไม่ค่อยขำเหมือนกัน อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับประสบกรณ์ของผู้ชมแต่ละคน รวมถึงความติ้นลึกของเส้นด้วย สำหรับผมแล้วก็ถือว่าเป็นตลกที่ได้ใจมากเรื่องหนึ่ง
คะแนน: 7.8/10 เข้ามาเป็นอันดับต้นๆของซีซั่นเลยทีเดียว
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Guilty Crown (22 ตอนจบ)
และแล้วก็มาถึงอนิเมะที่เป็นกระแสมากที่สุดในช่วงต้นปีนี้กัน จากออริจินัลผลิตโดย Production I.G ที่ถูกจับตามองมากที่สุดตั้งแต่ยังไม่เริ่มฉาย สำหรับท่านที่ยังไม่ได้ดูมาก่อน เรื่องนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์หลังหายนะไวรัสชีวภาพที่ทำให้ญี่ปุ่นตกอยู่ในฐานะเบี้ยล่างของนานาประเทศ ดำเนินเรื่องโดย โอมะ ชู เด็กหนุ่มธรรมดาที่จับพลัดจับผลูไปได้พลังแห่งราชาจากอาวุธชีวภาพโดยบังเอิญ ทำให้เขาได้พบกับ ยูซุริฮะ อิโนริ ไอดอลในดวงใจของเขา และต้องเข้าไปพัวพันกับการต่อสู้ร่วมกับผู้ก่อการร้าย โดยในส่วนของกระแสนั้น Guilty Crown ได้รับเสียงวิพากย์วิจารณ์ทั้งข้อเด่นข้อด้อยมากมาย โดยสิ่งที่ถูกทำให้จับตามองมากที่สุดก็การรวมตัวกันของบุคคลากรมากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะเป็นผู้กำกับและเขียนบทของ DEATHNOTE ร่วมกับผู้เขียนบทของ Code Geass เพลงประกอบทั้งหมดโดย ryo แห่งsupercell ออกแบบตัวละครโดย redjuice และผลิตโดย Production I.G ทำให้เรื่องนี้มีทรัพยากรอันล้ำค่าอยู่ในมือ ซึ่งในส่วนของภาพและเพลงประกอบนั้นสามารถถือได้ว่าไม่มีอะไรให้ติติงมากนัก
ประเด็นหลักที่เป็นที่ครหามากที่สุดไปตกอยู่ที่เนื้อเรื่อง ซึ่งต้องยอมรับว่ามีช่องโหว่ในเนื้อเรื่องที่ไม่สมเหตุสมผลอยู่มากมายที่ไม่ว่าจะหาข้อแก้ต่างอย่างไรก็ไม่ต่างกับการแถมากนัก ตัวละครบางคนก็กำหนดเป้าหมายไม่เด่นชัด เหมือนจะไม่แน่ใจกันซะเลยว่าตัวเองต้องการจะทำอะไรกันแน่ นอกจากนี้จังหวะของการดำเนินเรื่องก็ขาดความสมดุล โดยครึ่งแรกนั้นมีเนื้อหาเบาและไม่ค่อยมีอะไรเกิดขึ้นมากนัก จนกระทั่งผ่านไคลแม็กซ์แรกไปแล้วเนื้อหาในครึ่งหลังจะเข้มข้นและดุเดือดขึ้นมาก ทว่าผู้ผลิตกลับวางแผนให้ครึ่งแรกใช้ไป 12 ตอนแล้วเหลือไว้ให้ครึ่งหลัง 10 ตอน ตรงจุดนี้ผมมองว่ามันเป็นการบริหารเวลาที่ผิดพลาด (ความเห็นผม 9:13 น่าจะกำลังดี) ผลที่เกิดขึ้นก็คือช่วงครึ่งแรกของเรื่องน่าเบื่อมากถึงมากที่สุด ถึงขนาดทำให้ผมดร็อปไปช่วงหนึ่งเลย กลับกัน ในครึ่งหลังเนื้อหาที่ร้อนแรงก็เร่งรัดซะจนต้องข้ามหลายๆประเด็นไป อีกหนึ่งสิ่งที่เรื่องนี้พลาดบ่อยมากๆก็คือการสร้างสิ่งที่ไร้ประโยชน์หรือไม่ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่สร้างขึ้นมา เช่น การสร้างตัวละครที่ไม่มีประโยชน์กับเนื้อเรื่อง การปล่อยให้ตัวละครหลายๆตัวหมดบททั้งที่น่าจะทำอะไรได้มากกว่านี้ การใส่ดราม่าหรือความสูญเสียหรือความเสื่อมที่ไม่จำเป็น และการใส่เนื้อหาผ่อนคลายหรือตลกอย่างไม่จำเป็น เป็นต้น อีกเรื่องหนึ่งก็คือความไม่เป็นตัวของตัวเองในเนื้อเรื่อง ยกตัวอย่างเช่นการออกแบบบุคลิกของชูมาให้เป็นเด็กม.ปลายธรรมดาๆที่ถูกดึงมาพัวพันในเหตุการณ์อย่างเสียไม่ได้ แต่หลังจากที่สร้างความรำคาญให้กับผู้ชมพอหอมปากหอมคอแล้วก็อยากจะให้ชูได้กลับมาโชว์พาวบ้าง นำไปสู่การสร้างเหตุการณ์นั้นเหตุการณ์นี้ขึ้นมาเป็นจุดเปลี่ยนของเรื่อง ซึ่งกลายเป็นว่าเวลาดูจะรู้สึกได้ว่าหลายๆจุดมันเหมือนได้รับแรงบันดาลใจจากเรื่องอื่นๆ แล้วผู้สร้างก็อยากให้มันเจ๋งๆเข้าไว้ก็เลยเอาจุดเด่นของเรื่องนั้นเรื่องนี้มายำๆลงไป ซึ่งบางทีมันก็ขัดแย้งกันซะจนมั่วไปหมด จนเป็นจุดอ่อนให้ถูกโจมตีในเรื่องของการเลียนแบบได้
อย่างไรก็ตาม (ด่ามาเยอะมากละ ชมมั่ง) แม้ว่าจะถูกด่ามากขนาดไหน ผมก็กล้าพูดได้เลยว่า Guilty Crown เป็นอนิเมะที่ประสบความสำเร็จไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ไม่ได้มีอนิเมะมากนักที่จะถูกกล่าวขานถึงทั้งบวกและลบอย่างกว้างขวางขนาดนี้ เหตุผลหลักที่เรื่องนี้กลายเป็น Talk of the Town นั้นมีอยู่สองข้อ ข้อแรกคือการโปรโมทที่ดี ส่วนอีกข้อก็คือความจริงที่ว่าการเอาสิ่งที่มันดูเจ๋งๆมายำรวมกันอย่างที่ผมพูดไปก่อนหน้านั้นมันก็ทำให้สนุกได้จริงๆ แม้ว่าอาจจะไม่ใช่ในรูปแบบที่ผู้ผลิตตั้งใจแต่มันก็ได้ผลในแบบของตัวเอง นอกจากนี้ แม้ว่าผลที่ออกมาจะแย่มาก แต่ความจริงแล้วพล็อตเรื่องที่วางไว้มีความน่าสนใจ และตัวละครก็มีความซับซ้อนสุดโต่งที่ออกแบบมาได้อย่างยอดเยี่ยม โดยรวมแล้วถึงจะไม่ใช่อนิเมะที่ดีนัก แต่อย่างน้อยก็สามารถตอบโจทย์ในการสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมได้ ถ้าไม่ได้จริงจังกับมันมากนักก็ถือว่าดูได้สนุกพอสมควรครับ
คะแนน: 6.7/10 ให้คะแนนอยู่ในระดับที่ไม่แย่นัก ด้วยเหตุผลว่ามันก็สนุกของมัน
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Highschool D×D (12 ตอนจบ)
จากไลท์โนเวลแอ็กชั่นของ อิชิบุมิ อิจิเอย์ มาสู่อนิเมะเซอร์วิสที่จัดเต็มซะยิ่งกว่าเต็ม ดำเนินเรื่องโดย เฮียวโด อิซเซย์ หนุ่มสุดหื่นประจำโรงเรียนที่วันดีคืนดีก็ถูกฆ่าตายไปโดยไม่รู้อิโหน่อิเหน่ และก็ถูกชุบชีวิตขึ้นมาเพื่อเป็นปิศาจรับใช้ของ เรียส เกรมอรี่ ไอดอลโรงเรียนที่ถึงระดับน้องสาวของจอมมาร
เรื่องนี้มีจุดเด่นอยู่ที่ภาพนิ่งภาพแพนสัดส่วนของผู้หญิงวาดได้สวยดี เพราะมันเห็นชัดอยู่แล้วว่าเป้าหมายของเรื่องอยู่ที่การเซอร์วิสอย่างจริงจัง ดังนั้นจึงมีฉากเสื้อขาดกระโปรงปลิวบรากระจุยให้เห็นอย่างไม่มีเหตุผลอยู่เนืองๆ ซึ่งอันนี้ก็แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคนว่าชอบหรือไม่ ส่วนตัวผมเองไม่ได้รังเกียจแต่ก็ไม่ได้ชอบแบบนี้เป็นพิเศษดังนั้นจึงจะมองข้ามประเด็นนี้ไป ถ้าว่าในส่วนของการเคลื่อนไหวแล้วก็ถือว่าทำได้แค่ระดับโอเค แม้ว่าจะไม่ได้ติดขัดแต่ก็ไม่ได้ลื่นไหลมาก ออกจะแช่ภาพแพนนั่นแพนนี่เรื่อยเปื่อย ส่วนเนื้อเรื่องนั้นจัดว่าสนุกและพล็อตก็น่าสนใจพอสมควร แต่เป้าหมายหลักที่อยู่กับการเซอร์วิสมันออกมาบดบังความสนุกไป เพราะนอกจากจะเสียเวลาไปกับการเซอร์วิสแล้ว ฉากบู๊ฉากดราม่าที่เป็นจุดเด่นของเนื้อเรื่องก็ไม่ลื่นไหลและทำอารมณ์ร่วมได้ไม่ดีเท่าที่ควร กลายเป็นดูแล้วออกไปทางเว่อร์ๆมั่วๆไม่ค่อยเมกเซ้นส์เท่าไหร่
คะแนน: 5.8/10 มีพล็อตสนุกแต่ไม่ใช้ให้เป็นจุดเด่น ไปอ่านโนเวลดีกว่า
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Inu×Boku SS (12 ตอนจบ)
มาที่มังงะแนวภูตผีปิศาจกันบ้าง แต่เวลาพูดแบบนี้มันให้ความรู้สึกไม่ค่อยดีเมื่อเทียบกับความเป็นจริง เพราะตัวละครในเรื่องนี้ทุกคนจะเป็นมนุษย์ลูกครึ่งภูตหรือปิศาจแต่ให้ความรู้สึกไม่ต่างจากมนุษย์เลย เพียงแค่มีพลังของภูตเพิ่มขึ้นมาเท่านั้น โดยทุกคนจะมารวมตัวอยู่ในแมนชั่นเดียวกันเพื่อร่วมกันป้องกันตัวจากผู้ไม่ประสงค์ดี ดำเนินเรื่องผ่านมุมมอง ชิราคิอิง ริริจิโยะ คุณหนูสุดซึนที่ย้ายออกจากบ้านตัวเองมาอยู่คนเดียว ที่ต้องมารับมือกับ มิเคทสึคามิ โซชิ จิ้งจอกเก้าหางสุดหล่อ ผู้คอยทำหน้าที่รับใช้เธอด้วยความจงรักภักดีสุดชีวิต
การดำเนินเรื่องนี้ค่อนข้างไปทาง Slice of Life ซะมาก แม้ว่าจะมีคนบอกว่าในมังงะหลังๆจะดราม่าแต่ในอนิเมะนี้น่าจะยังไม่ถึงช่วงที่ว่า จังหวะของเรื่องค่อนข้างจะเป็นเส้นตรง ไม่มีจุดพีกและไม่มีจุดดร็อป และแม้ว่าตัวละครแต่ละคนจะบู๊กันได้ใช่ย่อย แต่ทั้งเรื่องก็แทบจะไม่มีฉากบู๊ แถมดูๆไปแล้วผมคิดว่าเรื่องนี้เหมาะสำหรับแนวโชโจซะมากกว่า เพราะอย่างแรกคือพระเอกหน้าตาดีมาก อีกอย่างคือจุดที่สนุกที่สุดของเรื่องอยู่ที่การพัฒนานิสัยของริริจิโยะและความสัมพันธ์กับโซชิ ซึ่งโซชิมักจะตีหน้าตายแต่เป็นฝ่ายคุมเกมรุก(รัก)เข้าใส่ริริจิโยะอยู่เรื่อยๆ แถมตอนจบยังสรุปความสัมพันธ์ของพระนางได้อย่างร้อนแรงจนตั้งตัวไม่ทัน น่าเสียดายที่เรื่องนี้มีความน่าตื่นเต้นน้อยมาก มุขที่เล่นก็ไม่ค่อยจะขำ แต่เรื่องนี้ภาพจัดอยู่ในระดับที่ค่อนข้างสวย และมีเพลง ED หลายเพลงที่ค่อนข้างจะสร้างสรรค์ดี
คะแนน: 7.2/10 ผมชอบนักล่ะเวลาพระเอกคุมเกมเนี่ย มันทำให้นางเอกน่ารักเป็นพิเศษ
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Nisemonogatari (11 ตอนจบ)
มาที่ภาคต่อของของอนิเมะสุดแนวอย่าง Bakemonogatari ซึ่ง SHAFT ได้สร้างเอาไว้อย่างสุดโต่งในหลายๆความหมาย ในภาคต่อนี้จะไปดำเนินเรื่องรอบตัวน้องสาวทั้งสองคนของโคโยมิในบท Karen Bee และ Tsukihi Phoenix โดยวางธีมของเรื่องไปที่การหลอกลวง
เสน่ห์ของซีรี่ยส์นี้ที่ดึงดูดผมได้มากที่สุดก็คือบทสนทนาครับ ภาคนี้ก็ยังคงเอกลักษณ์ในบทสนทนาเอาไว้ได้ไม่เปลี่ยนแปลง คนที่โดดเด่นเป็นพิเศษในภาคนี้เห็นจะเป็น มาโยย คาเรน ไคคิ และโยซุรุ ที่สร้างประเด็นตอบโต้กับโคโยมิได้อย่างน่าคิด ถ้าหากเทียบกับบาเกะแล้วผมมีความรู้สึกว่าผมได้คิดอะไรๆจากบทสนทนาของภาคนี้มากกว่า แต่ในทางกลับกัน ฉากบู๊ไคลแม็กซ์ในภาคนี้มีน้อยมาก เพราะไปใส่ฉากเซอร์วิสโน่นนี่นั่นเข้ามาอย่างมันส์มือ ซึ่งผมก็ไม่ได้บอกว่ามันไม่ดีนะครับ ผมมองว่ามันเป็นอะไรที่ดูมีศิลปะมากทีเดียว เพียงแต่มันไปบีบให้ใจความหลายๆอย่างดูรวบรัดไปหน่อย นอกจากนี้เรื่องของภาพก็รู้สึกเหมือนกับเผาน้อยกว่าภาคแรกอยู่บ้าง (แต่ก็เผาบ้างตามปกติ) แต่ที่ถูกใจที่สุดคือ OP ทั้งสามตัวในภาคนี้โดนใจมากๆทั้งเพลงและ Sequence
คะแนน: 8.9/10 น้อยกว่าภาคแรกนิดนึงเพราะความรีบร้อนในช่วงท้าย
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Papa no Iukoto wo Kikinasai! (12 ตอนจบ)
จากไลท์โนเวลที่นำเสนอเรื่องราวครอบครัวโดยผ่านตัวเอกที่เป็นน้องใหม่นักศึกษามหาลัยอย่าง เซงาวะ ยูตะ ที่ตัดสินใจรับภาระเลี้ยงดูพี่น้องสามสาว ที่คนหนึ่งลูกสาวแท้ๆของพี่สาวเขา บวกกับลูกติดสามีอีกสองคนที่อายุน้อยกว่ายูตะแค่ไม่กี่ปี เนื่องจากอุบัติเหตุเครื่องบินที่พี่สาวของเขาและสามีเดินทางไปฮันนีมูน
ผมยอมรับตามตรงว่าตอนแรกที่ผมเลือกเรื่องนี้มาดู ผมคิดว่ามันจะมาแนวเลิฟคอเมดี้เซอร์วิสๆซะอีก แต่ก็ผิดคาดครับ เรื่องนี้นำเสนอเนื้อหาเกี่ยวกับครอบครัวได้ดีและอบอุ่นมากทีเดียว ในช่วงแรกๆนั้นเนื้อหาจะยกหลายๆประเด็นมาเล่น ไม่ว่าจะเป็นโรแมนซ์ ตลก เซอร์วิส และโมเอะ แต่ตั้งแต่ช่วงกลางๆไปถึงท้ายเรื่องประเด็นเหล่านั้นก็จะจางหายไปเรื่อยๆและไปเน้นดราม่าการใช้ชีวิตซะมาก แต่บทสรุปดูจะเอาอารมณ์เป็นใหญ่ให้แฮปปี้มากไปหน่อยเลยไม่ค่อยสมเหตุสมผลเท่าไหร่ ในส่วนอนิเมชั่นถือว่าวาดสวยใช้ได้ แต่เพลงประกอบไปแนวหวานแหววตามสูตรก็เลยไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ
คะแนน: 6.4/10 ถือว่าไม่แย่แต่ก็ธรรมดามาก ไม่มีอะไรโดดเด่นน่าตื่นเต้น
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Shakugan no Shana III -Final- (24 ตอนจบ)
หลังจากที่ฉายกันมาอย่างยาวนานถึงหกปีครึ่ง ในที่สุดตำนานรักสองภพของ J.C.STAFF เรื่องแรกก็จบลง (ยังมีอีกเรื่องอยู่ข้างล่างนี่ก็จบด้วยเหมือนกัน) ท่านที่ยังไม่เคยดูเรื่องนี้ก็จะลองหามาดูได้ครับ เรื่องนี้จัดเป็นเรื่องแรกๆที่เปิดตลาดไลท์โนเวลของ J.C.STAFF ก็ว่าได้ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับเหล่าผู้มาเยือนจากพิภพแดง และการเจอกันของชานะกับยูจิก็นำไปสู่มหาสงครามและความรักที่สั่นคลอนทั้งสองโลก
หลังจากที่ทั้งสองซีซั่นที่ผ่านมา J.C.STAFF ได้เจอกับเสียงโจมตีจากแฟนๆไลท์โนเวลจากการดัดแปลงเนื้อเรื่องอย่างหนักเพื่อปิดซีซั่น รวมทั้งการเสริมสร้างเนื้อหาที่ไม่จำเป็นมาให้เสียเวลาในซีซั่นสองไปอย่างมากมาย มาในภาคนี้เนื้อหาเข้มข้นตั้งแต่เริ่มแรก เกือบจะทั้งซีซั่นเป็นฉากสงครามที่ดุเดือด แต่ละตอนจึงอัดแน่นไปด้วยเนื้อหา แต่สิ่งที่ภาคนี้เสียอย่างหนึ่งก็คือการพรรณนาปรัชญาที่เกินพอดี ตัวละครแต่ละคนในเรื่องนี้มักจะมีปรัชญาที่น่าสนใจเป็นของตัวเอง แต่การนำเสนอนั้นไม่ต่างอะไรกับการเอาคำศัพท์ยากๆมาเขียนต่อๆโดยไม่ใส่ใจว่าผู้รับสารจะเข้าใจหรือไม่ ซึ่งในด้านความบันเทิงในการรับชมนั้นมันทำให้รู้สึกน่ารำคาญและเสียอรรถรสอย่างมาก แต่ท้ายที่สุดแล้ว ฉากการปะทะคารมและคมดาบระหว่างชานะกับยูจิในตอนจบของเรื่องก็สามารถกลับมานำเสนอทั้งด้านอารมณ์ความรู้สึกและด้านปรัชญาก็ได้อย่างเข้าถึง ไม่ว่าจะเป็นยูจิที่ยกปรัชญาของตัวเองที่จะนำไปสู่ความสงบสุขที่แท้จริง หรือจะเป็นชานะที่ยกปรัชญาด้านความรักเข้าโต้แย้ง ซึ่งต่างก็เป็นปรัชญาที่ยอดเยี่ยมและเข้าใจง่าย แม้ว่าตลอด 23 ตอนที่ดูมาก่อนหน้านั้นจะน่าอึดอัดชวนท้องผูกเพียงไร ทั้งหมดนั้นสามารถหักลบกลบล้างด้วยตอนจบที่ยอดเยี่ยมเพียงตอนเดียวได้
คะแนน: 7.3/10 จบด้วยคะแนนสูงสุดในจำนวนทุกภาค หลักๆก็เพราะตอนจบนี่เอง
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Thermae Romae (3 ตอนจบ)
จากมังงะไอเดียบรรเจิดเกี่ยวกับ ลูเชียส สถาปนิกในยุคสมัยโรมันที่มักจะถูกห้องอาบน้ำดูดหายไปโผล่ในห้องอาบน้ำแบบต่างๆในญี่ปุ่นยุคปัจจุบัน ทำให้เขาพบว่าคนญี่ปุ่นนั้นมีสุนทรียภาพแห่งการอาบน้ำที่สูงล้ำ จึงได้นำความคิดสร้างสรรค์ต่างๆเหล่านั้นกลับไปประยุกต์ใช้ที่โรมัน
เนื่องจากเรื่องนี้ทำเป็นแฟลชอนิเมชั่นสั้นๆแค่สามตอนจบ ดังนั้นรีวิวก็คงจะไม่ได้มีอะไรต่างจากตอนที่ผมเขียน First Week Review มากนัก โดยรวมก็มีจุดเด่นอยู่ที่คอนเซ็ปท์การเชื่อมต่อวัฒนธรรมเข้าด้วยกัน ซึ่งผู้เขียนก็นำเสนอได้น่าสนใจมาก แต่นอกนั้นก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ เพราะเป็นแค่อนิเมะสั้นโปรโมทภาพยนตร์คนแสดงอยู่แล้ว ไม่ได้ตั้งใจทำมาขายจริงจังแต่แรก
คะแนน: 5.9/10 แต่ถ้ามองข้ามเรื่องของคุณภาพอนิเมชั่นไปก็คงจะขึ้นไปเยอะพอสมควร
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------
Zero no Tsukaima F (12 ตอนจบ)
และก็มาถึงบทสรุปของตำนานรักสองภพของ J.C.STAFF เรื่องที่สอง ที่ใช้เวลาไปเกือบหกปีกับสี่ภาค ที่เริ่มจากการข้ามมิติของไซโตะมาพบรักกับเจ้านายสุดซึนอย่างหลุยส์ แต่ว่าโดยรวมรวมแล้วเนื้อเรื่องที่ควรจะไปแนวผจญภัยโลกแฟนตาซีนั้นกลับเน้นไปที่การแย่งชิงพระเอกเนื้อหอมสุดหื่นไปซะได้
ในภาคนี้บอกตรงๆเลยว่าเนื้อเรื่องน่าผิดหวังมาก ทั้งๆที่เปิดมาค่อนข้างดี แต่สุดท้ายกลับทิ้งตัวละครที่ดูน่าจะเก๋าๆกว่านี้หน่อยไปง่ายๆถึงสองคน แล้วปิดท้ายด้วยการปราบบอสโง่ๆเหมือนสูตรสำเร็จเกม RPG สมัยยี่สิบปีก่อน เลยทำให้ไม่รู้จะพูดช่วยในเรื่องของพล็อตที่เละเทะแบบนี้ได้ยังไงเหมือนกัน คงต้องไปว่ากันในเรื่องของโรแมนซ์แทน ซึ่งภาพรวมก็ดูน่ารำคาญพิลึก เพราะไซโตะเป็นประเภทโดนสาวยั่วเมื่อไหร่ตบะแตกเมื่อนั้น ปากบอกรักหลุยส์คนเดียวไม่เคยมองคนอื่นแต่ร่างกายไม่เคยโกหกเลย ฉากจบแม้จะดูเหมือนสมบูรณ์แบบดีแต่ก็ให้อารมณ์รีบๆฝืนๆพอสมควร ก็เอาเป็นว่ามันมีตอนจบมาให้ดูได้อย่างเรียบร้อยก็บุญแล้วละ
คะแนน: 5.7/10 เห็นแก่ตอนจบน่ารักเลยไม่ให้มันเฟลเกินไป
ที่มา http://kaitodash.exteen.com/20120401/final-review-anime-of-winter-2012-1
[Final Review] Anime of Winter 2012