แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย sodaman เมื่อ 2014-9-6 18:26
วันนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องตอนเด็ก (พูดซะเหมือนบอกว่า จขกท เป็นคนเก่าเลยนะนั้น)
เมื่อตอนที่เรายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ (บางคนตอนนี้ก็ยังเป็นเด็กอยู่ และบางคนตอนนี้ก็ยังแอบเป็นเด็กอยู่อีก) เวลาเราทำอะไรผิดๆ เปิ่นๆ หรืออยากรู้อยากเห็น พ่อแม่ก็จะสอนเรา บางทีก็ไม่ได้กลับไปหาคำตอบหรอกว่าสิ่งที่ท่านแนะนำมาถูกหรือผิด ก็เลยเชื่อมาจนโต หรือบางครั้งเราก็มีความเชื่อขึ้นมาเองจากการสังเกตและคิดเองเล่นๆ แต่กว่าจะรู้ตัวว่าเข้าใจผิดก็ต้องปล่อยมาจนโตเหมือนกัน (55+) ที่เกริ่นมานี้ก็เพื่อจะบอกว่า ความเชื่อต่างๆ ในวัยเด็ก ลองมาเช็คกันดีกว่า ว่าความเชื่อตรงกับที่เราคิดเมื่อตอนเด็กๆ บ้างอ่ะเปล่า?
1) ฟันผุเพราะแมงกินฟัน
ในวัยเด็กเราจะชอบกินขนม กินลูกอม กินกระดาษ กินโต็ะ กินเหล็ก กินสังกะสี และทุกอย่างยกเว้น ยาง เด๋วๆ นะไอนั้นมันกันจังในอาราเร่ แล้วไม่ยอมแปรงฟันจนฟันผุหมดปากก็ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร จนวันนึงที่พ่อ:Xาบอกเรานั่นแหละว่าฟันผุเพราะในปากมีแมงคอยกัดฟันอยู่ เชื่อว่าน้องๆ หลายๆ บ้านต้องเคยได้ยินคำขู่นี้แน่นอน ซึ่งมันได้ผลมากเลยล่ะ เพราะหลังจากการแปรงฟันทีไรเรามักจะอ้าปากดูฟันซี่ที่ผุเพื่อเช็คว่าแมงมันออกไปรึยัง 55+
โตมาวิทยาศาสตร์ก็ได้บอกเราว่า จริงๆ แล้วฟันผุไม่ได้มาจากแมงกินฟันค่ะ และในปากเราก็ไม่มีแมงหรือแมลงอะไรทั้งนั้น มีแต่แบคทีเรียล้วนๆ ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงของฟันผุ คือ เมื่อเรากินอาหารหวานหรืออาหารพวกคาร์โบไฮเดรตเข้าไป พวกเชื้อแบคทีเรียก็จะใช้เศษอาหารพวกนี้สร้างกรดขึ้นมาทำลายฟันนั่นเอง รู้อย่างนี้แล้วควรแปรงฟันทุกวันอย่าให้ขาด ถ้าเป็นไปได้หมั่นแปรงหลังกินข้าวทุกมื้อจะดีมาก
2) ผมคนเรายาวมาจากปลาย
อีกหนึ่งความเชื่อผิดๆ สมัยเด็ก คือ คิดว่าผมของคนเราจะงอกมาจากปลายผมเรื่อยๆ ส่วนโคนผมก็คงที่อยู่ตรงนั้นตลอด แต่พอโตมาเริ่มได้เห็นคนทำสีผม(สีแดง) สักระยะก็เริ่มงงว่าทำไมข้างบนเป็นสีแดง แล้วข้างล่างเป็นสีดำ
เส้นผมของคนเราเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง โดยจะงอกออกจากเซลล์บริเวณศีรษะของเรานั่นเอง เส้นผมของเราสามารถงอกใหม่และร่วงได้ตลอดเวลา ดังนั้นถ้ามันร่วงก็ปล่อยให้มันร่วงไปเพราะเดี๋ยวซักพักก็จะงอกขึ้นมาใหม่ แต่ถ้าร่วงหนักแบบผิดปกติลองหาหมอดู(แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหนังศรีษะนะ ไม่ใช่หมอดูดูดวง)ก็ดีนะครับ
3) มองเห็นคนโป๊ แล้วจะตากุ้งยิง
ตากุ้งยิง คือ อาการอักเสบบริเวณฐานของขนตา จะปวดๆ บวมๆ แดงๆ เห็นได้ชัด ในสมัยก่อนถ้าหากใครเป็นจะถูกล้อว่า "แกไปแอบดูใครอาบน้ำมาใช่ไหม" เพราะมันเป็นความเชื่อที่พูดกันปากต่อปากว่าถ้ามองเห็นคนโป๊แล้วจะตากุ้งยิง (ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังมีความเชื่อนี้อยู่มั้ย)
ในข้อนี้ผู้ใหญ่ก็คงกลัวว่าเด็กจะโตขึ้นมาแล้วเป็นพวกโรคจิตวิตถารก็เลยปรามๆ ไว้ก่อนตั้งแต่เด็ก ฮ่าๆ >< แต่ในความจริงตากุ้งยิง กับการแอบดูคนอาบน้ำไม่ได้เกี่ยวกันเท่าไหร่ แต่สันนิษฐานว่ามีความเป็นไปได้ในอดีต เพราะการแอบดูคนอาบน้ำมักจะเอาตาไปชิดกับกำแพง ประตู หรือฝาบ้าน ที่อาจจะมีพวกฝุ่น เชื้อโรค เชื้อรา มันจะเข้าตาและอักเสบได้ ส่วนสาเหตุที่แท้จริงก็เกิดจากการติดเชื้อ แบคทีเรีย เปลือกตาไม่สะอาดแล้วไปขยี้ตาบ่อยๆ หรือการล้างเครื่องสำอางไม่สะอาดก็เป็นสาเหตุได้ด้วยเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าการแอบส่องจะไม่ได้ทำให้ตากุ้งยิง แต่ก็ไม่ควรทำนะเด็กๆ
4) ห้ามเล่นซ่อนแอบตอนกลางคืน เพราะเดี๋ยวผีจะพาไปปป กุ๊กกุ๊ก:X๋
ไม่รู้ว่าน้องๆ ตอนนี้ยังเล่นซ่อนแอบกันอยู่หรือเปล่า แต่สมัยก่อนเป็นกิจกรรมที่ฮิตมาก เล่นกันทั้งวันทั้งคืนเลยค่ะ จนผู้ใหญ่มักจะเตือนๆ กันว่าตอนกลางคืนห้ามเล่นซ่อนแอบกันเด็ดขาด จะหากันไม่เจอ เพราะผีมาพาตัวไป จากความสนุกก็กลายเป็นเรื่องหลอนทันที สรุปว่าพอพระอาทิตย์ตกดินเมื่อไหร่ ไม่มีเด็กคนไหนออกมาเล่นซ่อนแอบกันนอกบ้านเลย
ความเชื่อในข้อนี้เป็นอุบายของผู้ใหญ่ที่มองเรื่องความปลอดภัยมากกว่าเรื่องผี เพราะความมืดในตอนกลางทำให้เรามองไม่เห็น น้องๆ อาจจะหกล้ม หรือเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ และที่สำคัญป้องกันปัญหาการลักพาตัวด้วยนะ เพียงแต่ว่าถ้ามัวแต่อธิบายด้วยเหตุผล พวกเราจะไม่เข้าใจนั่นเอง ก็เลยเอาผีมาเป็นตัวละครลับซะเลยยย (และมันยังส่งผลเอฟเฟกตามมาก็คือ เราจะไม่กล้านอนอยู่คนเดียว และเวลาปวดท้องฉี่จะต้องกลั่นฉี่ไว้จนฉี่ราดที่นอนเบย 55+)
5) กลืนเมล็ดผลไม้เข้าไปแล้วมันจะไปงอกในท้อง
น้องๆ บางคนอาจจะเป็นโรคขี้เกียจ ถึงขนาดว่ากินผลไม้เข้าไปแล้วขี้เกียจคายเมล็ดออก เลยกลืนๆ เข้าไปให้หมดเรื่อง แต่บางคนก็เผลอกลืนเข้าไปไม่รู้ตัว ก็เลยเกิดคำ(ขู่)สอนขึ้นมาว่า ถ้ากินเมล็ดผลไม้เข้าไป เมล็ดนั้นจะผลิดอกออกผล โตเป็นต้นในท้องของเรา ถ้าครั้งไหนเผลอกลืนมันลงไปรับรองว่าจิตตกเป็นอาทิตย์เลยค่ะ เพราะกลัวว่าเดี๋ยวจะมีกิ่งไม้ออกปาก ออกหู บางคนคิดหนักกว่านั้นคิดว่าจะออกทางก้น บ้างก็จิตตนาการว่าตัวเองจะกลายเป็นพีนอกคีโอ้เลยก็มี
ความเชื่อนี้ก็ผิดเช่นกันค่ะ เมล็ดผลไม้ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในท้องของเราค่ะ พอลงไปในท้องแล้วอาจจะโดนย่อย แต่ถึงไม่ย่อยยังไงก็โดนกำจัดออกมาเป็นอึก่อนอยู่ดี แต่ที่ผู้ใหญ่เค้าห้ามก็เนื่องจากว่า ถ้าเผลอกลืนเมล็ดผลไม้ลงไป ไม่ว่าจะเป็นผลไม้อะไรก็ตาม กลัวว่าจะติดคอ สำลัก หรืออาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ เป็นอุบายเหมือนเดิมครับ (นอกจากนี้การกลืนเมล็ดบางชนิดอาจทำให้คุณเป็นไส้ติ่งอักเสบได้เช่นกันนะครับ )
6) กินเยอะแล้วท้องแตก (เหมือนชูชก)
ท้องของเรามีความยืดหยุ่นดีเยี่ยม เวลากินเยอะๆ จะรู้สึกเลยว่าท้องมีขนาดใหญ่ขึ้น พองขึ้น ตอนเด็กๆ เรายังไม่มีความรู้เรื่องร่างกายของเราเท่าไหร่นัก พอมีคนพูดว่า กินเยอะๆ ระวังท้องแตกก็เชื่อสนิทใจ ยิ่งได้เห็นว่ากินเยอะแล้วท้องป่องจริงด้วย ก็ยิ่งระแวงว่ามันจะแตกจริงๆ ดังนั้นถ้ากินจนพุงกางเมื่อไหร่ก็จะหยุดกินทันที
กระเพาะอาหารที่ดูว่าเล็กๆ นั้น ถ้ามีอาหารลงไปสามารถขยายได้ถึง 10-40 เท่าเลยทีเดียวค่ะ ที่สำคัญหากเรากินอิ่มจัดๆ ก็ไม่มีทางที่มันจะแตกได้ เพราะเมื่อถึงจุดจุดนึงกลไกในร่างกายจะขับออกว่าก่อน ทั้งอ้วกทางปากหรือออกทางจมูก เหมือนที่เราเห็นเค้าแข่งกินจนอาเจียนออกมา แต่ความเชื่อนี้ก็มีประโยชน์มากๆ นะครับ ถึงแม้ว่าท้องจะไม่แตก แต่การกินเยอะไปจะทำให้ท้องอืด อึดอัด ก็เป็นอาการที่ทรมานเหมือนกัน ดังนั้นปลูกฝังให้เด็กๆ กินอิ่มแต่พอดีจึงเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ผู้ใหญ่เราดันจัดหนักเป็นว่าเล่นซะงั้น (นี้ซินะที่เค้าเรียกว่า "ว่าแต่เขาอีเหนาเป็นเอง")
7) กินยาสีฟันก็เหมือนแปรงฟัน
สารภาพมาซะดีๆ ว่าตอนเด็กๆ ใครเคยกินยาสีฟันบ้าง หลายคนมักจะอ้างว่า เพราะมันอร่อย หอมๆ เย็นๆ หวานด้วย แต่บางคนถึงขั้นมีความเชื่อว่าแค่กินยาสีฟันก็เหมือนได้แปรงฟันแล้ว ไหนๆ มันก็เข้าปากไปแล้ว ความคิดนี้ผิดเต็มๆ การแปรงฟันเพื่อให้ปากสะอาดจำเป็นต้องใช้แปรงสีฟันเพื่อขัดสิ่งสกปรกออกด้วยนะ ถึงแม้ว่ายาสีฟันจะมีฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุขนาดไหน แต่ถ้าใช้กินแล้วไม่ได้แตะโดนฟันก็ไร้ประโยชน์ครับ
ดังนั้น น้องๆ ทุกคนที่อ่านบทความนี้ก็อย่าลืมแปรงฟันทุกวัน(ด้วยการบีบยาสีฟันลงแปรง แล้วค่อยนำมาสีฟันนะครับ อย่ากิน! ขอย้ำอย่ากิน!)
8) ห้ามนั่งเก้าอี้ครู เดี๋ยวก้นจะเป็นฝี
ระหว่างรอคุณครูเข้าห้องเรียน น้องๆ อาจจะซุกซนเล่นอะไรแปลกๆ เช่น แย่งกันนั่งเก้าอี้ครู โดยให้เพื่อนไปเฝ้าต้นทาง แต่ก็จะน้องๆ หลายคนที่ไม่กล้านั่งเก้าอี้คุณครู เพราะกลัวก้นจะเป็นฝี ซึ่งเป็นความเชื่อที่หลายบ้านสั่งสอนลูกมา นอกจากนี้ก็มีความเชื่อที่คล้ายๆ กันเช่น อย่านั่งทับหมอน เดี๋ยวก้นจะเป็นฝี ทุกข้อไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ มายืนยันเลยครับ
ฝี เป็นอีกหนึ่งอาการทีเกิดจากการที่เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนังที่แตกหรือเป็นแผล จะเกิดที่ส่วนใดก็ได้ ทำให้เกิดอาการบวมและเป็นหนอง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของความสะอาดและการดูแลตัวเอง ส่วนความเชื่อคาดว่าเป็นการปลูกฝังให้เด็กๆ รู้จักแยกแยะความเหมาะสมระหว่างคุณครู-นักเรียน ส่วนการห้ามนั่งทับหมอนก็เพราะว่าหมอนเป็นที่ที่เราใช้นอนทุกวัน ถือเป็นของสูงนั่นเอง
9) ฟันหลุดให้โยนขึ้นหลังคา
เชื่อว่าเป็นความเชื่อที่ผ่านมาหลายรุ่นและน้องๆ ก็ยังเคยได้ยินแน่นอน น้องๆ คนไหนที่ฟันน้ำนมหลุดเองตามธรรมชาติ พ่อแม่ของเราก็จะบอกว่าให้เอาฟันนั้นโยนขึ้นหลังคาไป และการโยนธรรมดาซะที่ไหน ต้องยืนหันหลังโยนขึ้นด้านบน บางบ้านแยกฟันบน-ล่างด้วย ฟันบนให้ทิ้งที่พื้น ส่วนฟันล่างให้โยนขึ้นข้างบน ถ้าทำตามนี้ฟันแท้จะขึ้นมา และฟันจะสวย
ความจริงแล้วฟันของมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ชุด คือ ฟันน้ำนมและฟันแท้ เมื่อฟันน้ำนมหลุด ฟันแท้ก็ย่อมขึ้นมาเป็นธรรมดา การโยนฟันขึ้นบนหลังคาไม่ได้ช่วยอะไรให้ฟันขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ที่ผู้ใหญ่ให้โยนขึ้นนั้น คาดว่าเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กเองไม่อยากให้ยึดติดตกใจว่าฟันหลุด โดยพยายามปลูกฝังให้เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ของเก่าไปเดี๋ยวของใหม่ก็มา
และนี้ก็เป็นความเชื่อขำๆ ในวัยเด็กที่ทุกคนจะต้องเคยได้ยินมาอย่างแน่นอน (ไม่ขอใดก็ข้อหนึ่งล่ะ) และหากเพื่อนมีความเชื่อที่เพี้ยนนอกจากก็มาบอกกันได้นะครับจะได้เป็นการแชร์ความมั่วซึ่งกันและกัน 55+
ขอขอบคุณ พี่มินท์แห่ง เด็กดี.คอม ครับผมสำหรับบทความดี (วันหลังผมจะไปก็อปต่อ เอ้ย! ไม่ใช่)
ปล. สัปดาห์หน้าจัดหนักจัดเต็ม กับเรื่องราวของอาหารการกินที่จะมายั่วน้ำลายท่าน ถ้าสัปดาห์หน้าหิวกลางดึกอย่าดู (ผมเตือนแล้วนะ)
วันนี้เราจะมาพูดกันถึงเรื่องตอนเด็ก (พูดซะเหมือนบอกว่า จขกท เป็นคนเก่าเลยนะนั้น)
เมื่อตอนที่เรายังเป็นเด็กตัวเล็กๆ (บางคนตอนนี้ก็ยังเป็นเด็กอยู่ และบางคนตอนนี้ก็ยังแอบเป็นเด็กอยู่อีก) เวลาเราทำอะไรผิดๆ เปิ่นๆ หรืออยากรู้อยากเห็น พ่อแม่ก็จะสอนเรา บางทีก็ไม่ได้กลับไปหาคำตอบหรอกว่าสิ่งที่ท่านแนะนำมาถูกหรือผิด ก็เลยเชื่อมาจนโต หรือบางครั้งเราก็มีความเชื่อขึ้นมาเองจากการสังเกตและคิดเองเล่นๆ แต่กว่าจะรู้ตัวว่าเข้าใจผิดก็ต้องปล่อยมาจนโตเหมือนกัน (55+) ที่เกริ่นมานี้ก็เพื่อจะบอกว่า ความเชื่อต่างๆ ในวัยเด็ก ลองมาเช็คกันดีกว่า ว่าความเชื่อตรงกับที่เราคิดเมื่อตอนเด็กๆ บ้างอ่ะเปล่า?
1) ฟันผุเพราะแมงกินฟัน
ในวัยเด็กเราจะชอบกินขนม กินลูกอม กินกระดาษ กินโต็ะ กินเหล็ก กินสังกะสี และทุกอย่างยกเว้น ยาง เด๋วๆ นะไอนั้นมันกันจังในอาราเร่ แล้วไม่ยอมแปรงฟันจนฟันผุหมดปากก็ยังไม่รู้สึกรู้สาอะไร จนวันนึงที่พ่อ:Xาบอกเรานั่นแหละว่าฟันผุเพราะในปากมีแมงคอยกัดฟันอยู่ เชื่อว่าน้องๆ หลายๆ บ้านต้องเคยได้ยินคำขู่นี้แน่นอน ซึ่งมันได้ผลมากเลยล่ะ เพราะหลังจากการแปรงฟันทีไรเรามักจะอ้าปากดูฟันซี่ที่ผุเพื่อเช็คว่าแมงมันออกไปรึยัง 55+
โตมาวิทยาศาสตร์ก็ได้บอกเราว่า จริงๆ แล้วฟันผุไม่ได้มาจากแมงกินฟันค่ะ และในปากเราก็ไม่มีแมงหรือแมลงอะไรทั้งนั้น มีแต่แบคทีเรียล้วนๆ ซึ่งสาเหตุที่แท้จริงของฟันผุ คือ เมื่อเรากินอาหารหวานหรืออาหารพวกคาร์โบไฮเดรตเข้าไป พวกเชื้อแบคทีเรียก็จะใช้เศษอาหารพวกนี้สร้างกรดขึ้นมาทำลายฟันนั่นเอง รู้อย่างนี้แล้วควรแปรงฟันทุกวันอย่าให้ขาด ถ้าเป็นไปได้หมั่นแปรงหลังกินข้าวทุกมื้อจะดีมาก
2) ผมคนเรายาวมาจากปลาย
อีกหนึ่งความเชื่อผิดๆ สมัยเด็ก คือ คิดว่าผมของคนเราจะงอกมาจากปลายผมเรื่อยๆ ส่วนโคนผมก็คงที่อยู่ตรงนั้นตลอด แต่พอโตมาเริ่มได้เห็นคนทำสีผม(สีแดง) สักระยะก็เริ่มงงว่าทำไมข้างบนเป็นสีแดง แล้วข้างล่างเป็นสีดำ
เส้นผมของคนเราเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง โดยจะงอกออกจากเซลล์บริเวณศีรษะของเรานั่นเอง เส้นผมของเราสามารถงอกใหม่และร่วงได้ตลอดเวลา ดังนั้นถ้ามันร่วงก็ปล่อยให้มันร่วงไปเพราะเดี๋ยวซักพักก็จะงอกขึ้นมาใหม่ แต่ถ้าร่วงหนักแบบผิดปกติลองหาหมอดู(แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหนังศรีษะนะ ไม่ใช่หมอดูดูดวง)ก็ดีนะครับ
3) มองเห็นคนโป๊ แล้วจะตากุ้งยิง
ตากุ้งยิง คือ อาการอักเสบบริเวณฐานของขนตา จะปวดๆ บวมๆ แดงๆ เห็นได้ชัด ในสมัยก่อนถ้าหากใครเป็นจะถูกล้อว่า "แกไปแอบดูใครอาบน้ำมาใช่ไหม" เพราะมันเป็นความเชื่อที่พูดกันปากต่อปากว่าถ้ามองเห็นคนโป๊แล้วจะตากุ้งยิง (ไม่รู้ว่าตอนนี้ยังมีความเชื่อนี้อยู่มั้ย)
ในข้อนี้ผู้ใหญ่ก็คงกลัวว่าเด็กจะโตขึ้นมาแล้วเป็นพวกโรคจิตวิตถารก็เลยปรามๆ ไว้ก่อนตั้งแต่เด็ก ฮ่าๆ >< แต่ในความจริงตากุ้งยิง กับการแอบดูคนอาบน้ำไม่ได้เกี่ยวกันเท่าไหร่ แต่สันนิษฐานว่ามีความเป็นไปได้ในอดีต เพราะการแอบดูคนอาบน้ำมักจะเอาตาไปชิดกับกำแพง ประตู หรือฝาบ้าน ที่อาจจะมีพวกฝุ่น เชื้อโรค เชื้อรา มันจะเข้าตาและอักเสบได้ ส่วนสาเหตุที่แท้จริงก็เกิดจากการติดเชื้อ แบคทีเรีย เปลือกตาไม่สะอาดแล้วไปขยี้ตาบ่อยๆ หรือการล้างเครื่องสำอางไม่สะอาดก็เป็นสาเหตุได้ด้วยเหมือนกัน
ถึงแม้ว่าการแอบส่องจะไม่ได้ทำให้ตากุ้งยิง แต่ก็ไม่ควรทำนะเด็กๆ
4) ห้ามเล่นซ่อนแอบตอนกลางคืน เพราะเดี๋ยวผีจะพาไปปป กุ๊กกุ๊ก:X๋
ไม่รู้ว่าน้องๆ ตอนนี้ยังเล่นซ่อนแอบกันอยู่หรือเปล่า แต่สมัยก่อนเป็นกิจกรรมที่ฮิตมาก เล่นกันทั้งวันทั้งคืนเลยค่ะ จนผู้ใหญ่มักจะเตือนๆ กันว่าตอนกลางคืนห้ามเล่นซ่อนแอบกันเด็ดขาด จะหากันไม่เจอ เพราะผีมาพาตัวไป จากความสนุกก็กลายเป็นเรื่องหลอนทันที สรุปว่าพอพระอาทิตย์ตกดินเมื่อไหร่ ไม่มีเด็กคนไหนออกมาเล่นซ่อนแอบกันนอกบ้านเลย
ความเชื่อในข้อนี้เป็นอุบายของผู้ใหญ่ที่มองเรื่องความปลอดภัยมากกว่าเรื่องผี เพราะความมืดในตอนกลางทำให้เรามองไม่เห็น น้องๆ อาจจะหกล้ม หรือเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ และที่สำคัญป้องกันปัญหาการลักพาตัวด้วยนะ เพียงแต่ว่าถ้ามัวแต่อธิบายด้วยเหตุผล พวกเราจะไม่เข้าใจนั่นเอง ก็เลยเอาผีมาเป็นตัวละครลับซะเลยยย (และมันยังส่งผลเอฟเฟกตามมาก็คือ เราจะไม่กล้านอนอยู่คนเดียว และเวลาปวดท้องฉี่จะต้องกลั่นฉี่ไว้จนฉี่ราดที่นอนเบย 55+)
5) กลืนเมล็ดผลไม้เข้าไปแล้วมันจะไปงอกในท้อง
น้องๆ บางคนอาจจะเป็นโรคขี้เกียจ ถึงขนาดว่ากินผลไม้เข้าไปแล้วขี้เกียจคายเมล็ดออก เลยกลืนๆ เข้าไปให้หมดเรื่อง แต่บางคนก็เผลอกลืนเข้าไปไม่รู้ตัว ก็เลยเกิดคำ(ขู่)สอนขึ้นมาว่า ถ้ากินเมล็ดผลไม้เข้าไป เมล็ดนั้นจะผลิดอกออกผล โตเป็นต้นในท้องของเรา ถ้าครั้งไหนเผลอกลืนมันลงไปรับรองว่าจิตตกเป็นอาทิตย์เลยค่ะ เพราะกลัวว่าเดี๋ยวจะมีกิ่งไม้ออกปาก ออกหู บางคนคิดหนักกว่านั้นคิดว่าจะออกทางก้น บ้างก็จิตตนาการว่าตัวเองจะกลายเป็นพีนอกคีโอ้เลยก็มี
ความเชื่อนี้ก็ผิดเช่นกันค่ะ เมล็ดผลไม้ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ในท้องของเราค่ะ พอลงไปในท้องแล้วอาจจะโดนย่อย แต่ถึงไม่ย่อยยังไงก็โดนกำจัดออกมาเป็นอึก่อนอยู่ดี แต่ที่ผู้ใหญ่เค้าห้ามก็เนื่องจากว่า ถ้าเผลอกลืนเมล็ดผลไม้ลงไป ไม่ว่าจะเป็นผลไม้อะไรก็ตาม กลัวว่าจะติดคอ สำลัก หรืออาจจะทำให้เกิดอันตรายได้ เป็นอุบายเหมือนเดิมครับ (นอกจากนี้การกลืนเมล็ดบางชนิดอาจทำให้คุณเป็นไส้ติ่งอักเสบได้เช่นกันนะครับ )
6) กินเยอะแล้วท้องแตก (เหมือนชูชก)
ท้องของเรามีความยืดหยุ่นดีเยี่ยม เวลากินเยอะๆ จะรู้สึกเลยว่าท้องมีขนาดใหญ่ขึ้น พองขึ้น ตอนเด็กๆ เรายังไม่มีความรู้เรื่องร่างกายของเราเท่าไหร่นัก พอมีคนพูดว่า กินเยอะๆ ระวังท้องแตกก็เชื่อสนิทใจ ยิ่งได้เห็นว่ากินเยอะแล้วท้องป่องจริงด้วย ก็ยิ่งระแวงว่ามันจะแตกจริงๆ ดังนั้นถ้ากินจนพุงกางเมื่อไหร่ก็จะหยุดกินทันที
กระเพาะอาหารที่ดูว่าเล็กๆ นั้น ถ้ามีอาหารลงไปสามารถขยายได้ถึง 10-40 เท่าเลยทีเดียวค่ะ ที่สำคัญหากเรากินอิ่มจัดๆ ก็ไม่มีทางที่มันจะแตกได้ เพราะเมื่อถึงจุดจุดนึงกลไกในร่างกายจะขับออกว่าก่อน ทั้งอ้วกทางปากหรือออกทางจมูก เหมือนที่เราเห็นเค้าแข่งกินจนอาเจียนออกมา แต่ความเชื่อนี้ก็มีประโยชน์มากๆ นะครับ ถึงแม้ว่าท้องจะไม่แตก แต่การกินเยอะไปจะทำให้ท้องอืด อึดอัด ก็เป็นอาการที่ทรมานเหมือนกัน ดังนั้นปลูกฝังให้เด็กๆ กินอิ่มแต่พอดีจึงเป็นเรื่องที่ดีครับ แต่ผู้ใหญ่เราดันจัดหนักเป็นว่าเล่นซะงั้น (นี้ซินะที่เค้าเรียกว่า "ว่าแต่เขาอีเหนาเป็นเอง")
7) กินยาสีฟันก็เหมือนแปรงฟัน
สารภาพมาซะดีๆ ว่าตอนเด็กๆ ใครเคยกินยาสีฟันบ้าง หลายคนมักจะอ้างว่า เพราะมันอร่อย หอมๆ เย็นๆ หวานด้วย แต่บางคนถึงขั้นมีความเชื่อว่าแค่กินยาสีฟันก็เหมือนได้แปรงฟันแล้ว ไหนๆ มันก็เข้าปากไปแล้ว ความคิดนี้ผิดเต็มๆ การแปรงฟันเพื่อให้ปากสะอาดจำเป็นต้องใช้แปรงสีฟันเพื่อขัดสิ่งสกปรกออกด้วยนะ ถึงแม้ว่ายาสีฟันจะมีฟลูออไรด์ป้องกันฟันผุขนาดไหน แต่ถ้าใช้กินแล้วไม่ได้แตะโดนฟันก็ไร้ประโยชน์ครับ
ดังนั้น น้องๆ ทุกคนที่อ่านบทความนี้ก็อย่าลืมแปรงฟันทุกวัน(ด้วยการบีบยาสีฟันลงแปรง แล้วค่อยนำมาสีฟันนะครับ อย่ากิน! ขอย้ำอย่ากิน!)
8) ห้ามนั่งเก้าอี้ครู เดี๋ยวก้นจะเป็นฝี
ระหว่างรอคุณครูเข้าห้องเรียน น้องๆ อาจจะซุกซนเล่นอะไรแปลกๆ เช่น แย่งกันนั่งเก้าอี้ครู โดยให้เพื่อนไปเฝ้าต้นทาง แต่ก็จะน้องๆ หลายคนที่ไม่กล้านั่งเก้าอี้คุณครู เพราะกลัวก้นจะเป็นฝี ซึ่งเป็นความเชื่อที่หลายบ้านสั่งสอนลูกมา นอกจากนี้ก็มีความเชื่อที่คล้ายๆ กันเช่น อย่านั่งทับหมอน เดี๋ยวก้นจะเป็นฝี ทุกข้อไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ใดๆ มายืนยันเลยครับ
ฝี เป็นอีกหนึ่งอาการทีเกิดจากการที่เชื้อแบคทีเรียเข้าสู่ผิวหนังที่แตกหรือเป็นแผล จะเกิดที่ส่วนใดก็ได้ ทำให้เกิดอาการบวมและเป็นหนอง ดังนั้นจึงเป็นเรื่องของความสะอาดและการดูแลตัวเอง ส่วนความเชื่อคาดว่าเป็นการปลูกฝังให้เด็กๆ รู้จักแยกแยะความเหมาะสมระหว่างคุณครู-นักเรียน ส่วนการห้ามนั่งทับหมอนก็เพราะว่าหมอนเป็นที่ที่เราใช้นอนทุกวัน ถือเป็นของสูงนั่นเอง
9) ฟันหลุดให้โยนขึ้นหลังคา
เชื่อว่าเป็นความเชื่อที่ผ่านมาหลายรุ่นและน้องๆ ก็ยังเคยได้ยินแน่นอน น้องๆ คนไหนที่ฟันน้ำนมหลุดเองตามธรรมชาติ พ่อแม่ของเราก็จะบอกว่าให้เอาฟันนั้นโยนขึ้นหลังคาไป และการโยนธรรมดาซะที่ไหน ต้องยืนหันหลังโยนขึ้นด้านบน บางบ้านแยกฟันบน-ล่างด้วย ฟันบนให้ทิ้งที่พื้น ส่วนฟันล่างให้โยนขึ้นข้างบน ถ้าทำตามนี้ฟันแท้จะขึ้นมา และฟันจะสวย
ความจริงแล้วฟันของมนุษย์แบ่งออกเป็น 2 ชุด คือ ฟันน้ำนมและฟันแท้ เมื่อฟันน้ำนมหลุด ฟันแท้ก็ย่อมขึ้นมาเป็นธรรมดา การโยนฟันขึ้นบนหลังคาไม่ได้ช่วยอะไรให้ฟันขึ้นเลยแม้แต่นิดเดียว แต่ที่ผู้ใหญ่ให้โยนขึ้นนั้น คาดว่าเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของเด็กเองไม่อยากให้ยึดติดตกใจว่าฟันหลุด โดยพยายามปลูกฝังให้เห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดา ของเก่าไปเดี๋ยวของใหม่ก็มา
และนี้ก็เป็นความเชื่อขำๆ ในวัยเด็กที่ทุกคนจะต้องเคยได้ยินมาอย่างแน่นอน (ไม่ขอใดก็ข้อหนึ่งล่ะ) และหากเพื่อนมีความเชื่อที่เพี้ยนนอกจากก็มาบอกกันได้นะครับจะได้เป็นการแชร์ความมั่วซึ่งกันและกัน 55+
ขอขอบคุณ พี่มินท์แห่ง เด็กดี.คอม ครับผมสำหรับบทความดี (วันหลังผมจะไปก็อปต่อ เอ้ย! ไม่ใช่)
อันนี้แถม.
http://www.youtube.com/watch?v=vdFhm-IoCAM
ปล. สัปดาห์หน้าจัดหนักจัดเต็ม กับเรื่องราวของอาหารการกินที่จะมายั่วน้ำลายท่าน ถ้าสัปดาห์หน้าหิวกลางดึกอย่าดู (ผมเตือนแล้วนะ)
http://www.youtube.com/watch?v=xwsYvBYZcx4
9 ความเชื่อที่เรามักจะเข้าใจผิดในตอนเด็ก
โอตาคุที่ดีไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องเมะทุกเรื่อง แต่เป็นโอตาคุที่แบ่งเวลาเป็นต่างหาก
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 Sodaman ได้ทำการยุติการใช้บอร์ดนี้แล้ว ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านกระทู้ของผมเสมอมานะครับผม.
วันที่ 26 พฤศจิกายน 2557 Sodaman ได้ทำการยุติการใช้บอร์ดนี้แล้ว ขอขอบคุณทุกท่านที่อ่านกระทู้ของผมเสมอมานะครับผม.
[IMG]