แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย love2592 เมื่อ 2011-11-2 13:52
สฟิงซ์ (Sphinx) สัตว์ลูกผสม เป็นสัตว์ที่มีส่วนผสมของสัตว์หลายชนิดรวมอยู่ในตัวเดียวกัน
เพราะสฟิงซ์มีอยู่หลายเผ่าพันธุ์ต่าง ไปตามการแต่งเติมสีสัน ให้น่ากลัวมากขึ้นเท่าไร
อย่างของชาวกรีก สฟิงซ์จะมีใบหน้าและทรวงอกของหญิงสาว ท่อนล่างเป็นสิงโต และมีปีก แบบนกอินทรี
ส่วนของอียิปต์ หรือพันธุ์ที่เราเรียกว่า แอนโดรสฟิงซ์ (Andro-Sphinx) ก็มีรูปร่างเหมือนชาวกรีกนั่นแหละ
เพียงแต่ว่าไม่มีปีกเท่านั้นเอง
เพียงแต่ว่าไม่มีปีกเท่านั้นเอง
และของพวกอียิปต์อีกเช่นกัน ที่สฟิงซ์แตกเผ่าเป็น ครีโอสฟิงซ์ (Crio-Spninx) ที่มีหัวเป็นแกะบ้าง
หรือเป็นนกเหยี่ยวบ้าง ในเปอร์เซีย (Persia), แอสซีเรีย (Assyria), และฟีเนียเซีย(Phoenicia) มีสฟิงซ์ทั้งสองเพศ ตัวผู้จะมีหนวด และผมหยักศก
หรือเป็นนกเหยี่ยวบ้าง ในเปอร์เซีย (Persia), แอสซีเรีย (Assyria), และฟีเนียเซีย(Phoenicia) มีสฟิงซ์ทั้งสองเพศ ตัวผู้จะมีหนวด และผมหยักศก
ตำนานสฟิงซ์
สฟิงซ์ (Sphinx) เป็นภาษากรีก แปลว่า ผู้บีบคอ ( strangler)
เชื่อว่ามาจากภาษาอียิปต์โบราณว่า ซีเซปอังก์ ( Shesep ankh) ซึ่งแปลว่า รูปที่มีชีวิต
ชาวอียิปต์เชื่อว่า สฟิงซ์แห่งอียิปต์มีความเกี่ยวโยงไปถึงกษัตริย์ สุริยเทพ-เร อย่างแน่นอน
แต่ชาวอาหรับกลับเรียกสฟิงซ์ว่า อะบลูฮัล ( Abu Hal) แปลว่า บิดาแห่งความน่าสะพรึงกลัว
สฟิงซ์จะมีใบหน้าและทรวงอกของหญิงสาว
ท่อนล่างเป็นสิงโต และ มีปีกแบบนกอินทรี
ท่อนล่างเป็นสิงโต และ มีปีกแบบนกอินทรี
ส่วนสฟิงซ์ของพวกกรีก มันทรยศหักหลัง ก้าวร้าวรุนแรง และกระหายเลือด และพวกนี้ยังชอบกินคนเป็นอาหารเสียด้วย
ลักษณะที่เด่นชัดของสฟิงซ์ กรีกอีกอย่างหนึ่งก็คือ ความคล้ายแมว หรือจะว่าอีกทีก็คล้ายผู้หญิงด้วย
นั่นคือ มันจะพูด คุยหยอกเหยื่อของมันก่อนที่จะสวาปามเข้าไป แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเกิดเยื่อหนีรอด ไปได้ สฟิงซ์จะบินดิ่งทิ้งตัว
กระแทกพื้นหรืออะไรสักอย่าง ด้วยความโกรธเกรี้ยวจนตายไปเอง
เรื่องราวเกี่ยวกับสฟิงซ์ของกรีกที่โด่งดังเรื่องหนึ่ง เห็นจะไม่พ้นเรื่องของ เจ้าแม่เฮรา (Hera) ซึ่งมอบหมายหน้าที่ลงโทษชาวเมืองธีบีส (Thebes) เพราะความเมามายไร้สติของพวกเขา หลังจากที่ ไดโอนิซุส เทพแห่งเมรัยได้มาสอนการทำไวน์ ให้แก่ชาวเมืองนี้ ตามปกติสฟิงซ์จะไม่เข้าขย้ำเหยื่อ ที่ผ่านมาในทันทีทันใด แต่จะ ให้โอกาสเหยื่อด้วยการถามปัญหา ที่เรียกกันว่าปัญหา ของตัวสฟิงซ์ (The Riddle of the Sphinx) ซึ่งสัญญาจะปล่อยเหยื่อเป็นอิสระ หากตอบปัญหาของนางได้
แน่ล่ะตามท้องเรื่องที่จะกล่าวถึงพระเอก คนหนึ่งนี้ ต้องมีเรื่องให้ไม่มีใครตอบได้ จนกว่าพระเอกของเรื่องคือ เอดิปุส (Oedipus) แห่งโครินท์ผ่านมาในเมืองธีบีสพอดิบพอดี สฟิงซ์กระโดดออกมา จากหลังพุ่มไม้ แลบลิ้นเลียปากด้วยความอยากกินเนื้อ มานพน้อยรูปงามก่อนจะส่งเสียงคำรามให้ขวัญหาย เข้าใส่เอดิปุสและถามปัญหา
"อะไรเอ่ยเดินสี่ตีนในยามเช้า เดินสอง ตีน ในยามสาย และเดินสามตีนในยามเย็น….? "
"มันก็คือมนุษย์นั่นแล ย่อมเดินด้วยการคลานทั้งมือและเข่า เมื่อยังเป็นเด็ก ยืนด้วยขาสอง ข้าง เมื่อโตเต็มที่ และต้องใช้ไม้เท้าพยุงตัวเอง เป็นขาที่สามในยามสายัณห์ของชีวิต " เอดิปุสตอบอย่างไม่ลังเล
สฟิงซ์เมื่อได้ฟังคำตอบ ที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน จากมนุษย์หน้าไหนเลย ถึงกับกรีดร้องด้วยความเจ็บใจ นางโผบินขึ้น บนฟ้า แล้วทิ้งตัวดิ่งลงฆ่าตัวตายในทะเล
นี่ดูเหมือนหล่อนจะเป็น ฝ่ายแพ้ ทั้งๆที่ถ้าจะนับแล้วสฟิงซ์ต่างหาก ที่เป็นฝ่ายชนะ เพราะหลัง จากที่สฟิงซ์ ซึ่งเป็น!ที่น่ากลัวที่สุดของปวงชาวธีบีสได้ตายไป ผู้รักษาการณ์เมืองธีบีส ถึงกับเชิญเอดิปุสขึ้นเป็นราชา และให้ แต่งงานกับราชินีม่าย โจคัสต้า (Jocasta) ของกษัตริย์องค์ก่อน และกว่าจะรู้ความจริงว่าโจคัสต้านี่เอง คือมารดาผู้ให้กำเนิดเอดิปุส ก็เมื่อนางได้ตกเป็นราชินี อย่างแท้จริงของเอดิปุสไปเสียแล้ว
สฟิงซ์ของอียิปต์
สฟิงซ์ (Sphinx) เป็นลูกผสมที่มีส่วนผสมของสัตว์หลายชนิดรวมอยู่ในตัวเดียวกัน
แอนโดรสฟิงซ์ (Andro-Sphinx)
(http://www.templeofsecrets.co.uk/sho...Egyptian+Gifts)
(http://www.templeofsecrets.co.uk/sho...Egyptian+Gifts)
ตามความเชื่อของคน แถวอียิปต์
แอนโดรสฟิงซ์ (Andro-Sphinx) สฟิงค์ที่เกิดจาก การรวมตัว อันแปลก ประหลาด ระหว่างมนุษย์กับสิงโตส่วนหัวที่เหมือนมนุษย์นั้น มีสัญลักษณ์ ของฟาโรห์อียิปต์ แสดง ไว้ชัดเจน คือมีเคราที่คาง ตรงหน้าผาก มีงูจงอางแผ่แม่เบี้ย และมีเครื่องประดับ รัดเกล้าแบบกษัตริย์โดยรอบ
ความกว้างของ ใบหน้านั้น ประมาณ 14 ฟุต ส่วนลำตัวที่เป็นสิงโต มีความยาว เกินกว่า 240 ฟุต (วัดจากหัวถึงหาง) ขนาดของมัน มโหฬาร จนคนที่เดินผ่าน เหลือตัวนิดเดียวว่ากันว่าสฟิงซ์ คือ รูปเหมือน ขนาดใหญ่ กว่าร่างจริง สองเท่าของฮาร์มาชิส เทพแห่งรุ่งอรุณ เมื่อตอนที่แปลงร่าง เป็นสิงโต มีเศียร เป็นฟาโรห์อียิปต์หรือ "sphingein แปลว่า การบีบรัด
ที่ได้ชื่อว่าบีบรัดนั้นก็เพราะว่า สฟิงซ์ของชาวกรีก เป็นสฟิงซ์ที่นิสัยไม่ดี ชอบหยอกเล่นกับเหยื่อ พอมีเหยื่อหลงเข้ามา ก็จะถามคำถาม และถ้าตอบไม่ถูก จะฆ่าทิ้ง
ความจริงสฟิงซ์ในอียิปต์มิใช่มีแต่รูปสิงโตเท่านั้น หากแต่ว่าในสมัยต่อๆ มา โดยเฉพาะสมัยราชอาณาจักรกลางและใหม่ มักมีการสร้างสฟิงซ์ในรูปของแกะ และสัตว์อื่นๆ เพื่อตั้งเรียงรายเป็นแถวยาวเหยียดอยู่หน้าวิหาร เช่น วิหารลักซอร์ มหาวิหารคานัก แะวิหารของพระนางแฮตเซปชุต เป็นต้น
รูปสลักสฟิงซ์ของอียิปต์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ มหาสฟิงซ์ (The Great Sphinx of Giza) บริเวณใกล้กับพีระมิดคาเฟร ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ หมู่บ้านพิรามิดแห่งกีซ่า (Giza Pyramid Complex)
หน้าที่ ของสฟิงซ์ แห่งกิซา นอกจากเฝ้าพีระมิดแล้ว
เบื้องหลังและทุกด้าน ของรูปปั้นอมนุษย์นี้ ยังมีพื้นที่ที่ เรียกว่า "นครมรณะ" รายรอบอยู่
เบื้องหลังและทุกด้าน ของรูปปั้นอมนุษย์นี้ ยังมีพื้นที่ที่ เรียกว่า "นครมรณะ" รายรอบอยู่
นครมรณะกินอาณาบริเวณ คลอบคลุมผืนทรายทางใต้ ทางตะวันตก และเหนือของสฟิงซ์ หลุมแล้วหลุมเล่า ต่างถูกขุดเจาะเป็นโพรง เพื่อใส่โลง หิน ที่บรรจุร่างของพระราชวงศ์ ขุนนาง และนักบวช ชั้นสูง ซึ่งผ่านกรรมวิธี การทำมัมมี่ มาแล้ว โดยที่สฟิงซ์ จะคอยขจัดวิญญาณชั่วร้าย ให้พ้นจากหลุมศพเหล่านั้น
จากการ คำนวณ อายุหินที่ใช้สร้าง โดยใช้คาร์บอน14 ปรากฏว่า สฟิงซ์มีอายุ เกือบหมื่นปี แต่ว่า ประวัติศาสตร์ ชนชาติอียิปต์ เพิ่งเริ่มเมื่อสี่พันกว่าปีก่อนเอง แล้วสฟิงซ์ จะอายุเป็นหมื่น ได้อย่างไร ?
บรรดานักวิชาการ จึงออกมาโต้คารมกันยกใหญ่ บางกลุ่มก็บอกว่า สฟิงซ์ ... ต้องสร้างในสมัย ฟาโรห์คาฟเร (เจ้าของพีระมิดองค์กลาง) เพราะ ใบหน้าของสฟิงซ์นั้น เหมือนพระพักตร์ ของฟาโรห์ คาฟเรมาก และสาเหตุที่มี การแกะสลัก ให้คล้ายกับ พระพักตร์ของ ฟาโรห์คาฟเร อาจเป็นเพราะ พระองค์ได้สมมุติตัวเอง โดยแสดงเจตนาว่า ตัวสฟิงซ์นั้น แทนพระองค์ ซึ่งเป็นเทพเจ้า แห่งดวงอาทิตย์
แต่ฝ่ายวิเคราะห์ การผุกร่อน ของหิน ก็โต้ว่า การผุกร่อนนั้น เกิดจากน้ำมากกว่าที่จะเป็น ลมและทราย ตามที่เข้าใจ เป็นไปได้ว่า ก่อนที่ทรายจะเข้าปกคลุมบริเวณนี้ เคยเป็นดินแดน ที่ฝนตกชุกมาก่อน เลยตั้งสมมุติฐานว่า พอมีความชุ่มชื่น คนโบราณจึงเข้ามาอาศัย แล้วสร้างอนุสรณ์ แห่งความรุ่งเรืองเอาไว้ ก่อนที่จะล่มสลายไป จากนั้นบรรพบุรุษ ของชาวอียิปต์ ก็เข้ามาอาศัยแทนที่ และครอบ ครอง ซากอารยธรรมอันนี้ ไว้แบบเดียวกับ ชาวเผ่าอินคา
หลังจากถกเถียงกัน จนคอแห้ง ต่างก็ยอมยุติ สงครามน้ำลายลง เพราะไม่ว่าฝ่ายไหน ก็หาหลักฐานมายืนยัน ความคิดของตนเอง ไม่ได้ เนื่องจากคนโบราณ ไม่ได้จารึกถึงวิธี และเวลา ในการสร้างสฟิงซ์ เอาไว้เลย แล้วความลับในเรื่อง อายุของสฟิงซ์ ก็ยังคงเป็น ความลับต่อไป
ทำไมสฟิงซ์จมูกถึงบี้?
สาเหตุที่จมูกของสฟิงซ์ แหว่งหายไป เป็นเพราะถูก เอาเป็นเป้า ไว้ซ้อมยิงปืน ของชาวอาหรับ ก็สมัยนั้น เขากำลังเห่อปืน... อาวุธรุ่นใหม่ ที่เพิ่งออกมา แต่พอซื้อมาแล้ว ก็หาที่ซ้อมเจ๋ง ๆ ไม่ได้ เลยหันมาเอาสฟิงซ์ เป็นที่ฝึกซ้อม เพราะนอกจาก จะเป็นเป้านิ่งแล้ว ขนาดที่ใหญ่ ยังเหมาะกับมือสมัครเล่น เป็นที่สุด
จวบจนทุกวันนี้ สฟิงซ์ก็ยังคงทำหน้าที่ เฝ้านครแห่งความตาย และเหล่ามหาพีระมิด ทั้ง 3 องค์ โดยไม่ขยับเขยื้อนไปไหน แม้แต่น้อย ดวงตาหินของมัน ทอดมองสรรพสิ่ง ที่เปลี่ยนไป ตามกาลเวลา โดยไม่เล่าถึงความลับในอดีต ให้ผู้ใดล่วงรู้ ทิ้งไว้เพียงปริศนา และความลี้ลับ รอให้เหล่ามนุษย์ ผู้มากด้วยความสามารถมาไข..
มีตำนานเล่าขานเกี่ยว กับสฟิงซ์ว่า เมื่อพันปีที่แล้ว หลังจากการสร้างพีระมิดของฟาโรห์คาฟรา เสร็จสิ้นลง เจ้าชายองค์หนึ่งพระนามว่า ทัตโมซิส ได้ออกล่าสัตว์บริเวณที่ตั้งพีระมิด และได้ทรงบรรทมอยู่ใต้สฟิงซ์ ซึ่งสมัยนั้นถูกทรายทับถมจนถึงต้นคอ พระองค์ทรงพระสุบินว่า สฟิงซ์สิงโตปรากฎกายเป็นเทพเจ้าฮาร์มาชีส
เทพองค์นี้ได้ทำนายว่า ....เจ้าชายจะได้ขึ้นครองราชย์แน่นอน และหากขึ้นครองราชย์แล้ว
ขอให้พระองค์ได้ปลดปล่อยตน ให้เป็นอิสระจากกองทรายที่ทับถมไว้ทั้งหมดด้วย.....
เมื่อเจ้าชายทัตโมซิสทรงตื่นขึ้น ก็จำความฝันได้อย่างแม่นยำ พระองค์ทรงสวดมนต์ภาวนา และสัญญาจะปฏิบัติตามคำขอของเทพเจ้าฮาร์มาชีสอย่างแน่นอนหากขึ้นครองราชย ์ ซึ่งคงเป็นไปได้ยากเนื่องจากเจ้าชายทัตโมซิสทรงมีพระเชษฐา และพระอนุชาหลายพระองค์
แต่ด้วยความที่เป็นพระโอรสองค์โปรดของฟาโรห์ ทำให้เป็นที่อิจฉาของบรรดา พระเชษฐา และพระอนุชายิ่งนัก การต่อสู้ชิงอำนาจภายในจึงเกิดขึ้นอย่างรุนแรง อันเป็นที่มาของความกลัดกลุ้มพระทัยของเจ้าชาย
จึงได้เสด็จออกไปล่าสัตว์จนได้พบกับเทพเจ้าฮาร์มาชีสดังกล่าว
จึงได้เสด็จออกไปล่าสัตว์จนได้พบกับเทพเจ้าฮาร์มาชีสดังกล่าว
แต่ ในที่สุดเจ้าชายทัตโมซิส ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติตามคำทำนาย
ทรงพระนามว่า ฤาโรทัตโมซิสที่4 เมนคาพีรูเร (1419-1389) ปีก่อนคริสต์ศักราช ทรงปกครองบ้านเมืองอย่างสงบสุขถึง 33 ปี
ทรงพระนามว่า ฤาโรทัตโมซิสที่4 เมนคาพีรูเร (1419-1389) ปีก่อนคริสต์ศักราช ทรงปกครองบ้านเมืองอย่างสงบสุขถึง 33 ปี
หลังจากขึ้นครองราชย์ พระองค์สั่งระดมคนงาน ขุดทรายออกจากสฟิงซ์ตามคำสัญญา
ทำให้สามารถเห็นรูปร่างของสฟิงซ์เต็มตัวอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก
ทำให้สามารถเห็นรูปร่างของสฟิงซ์เต็มตัวอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก สร้างความตื่นเต้นให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ตามเหตุที่เฮโรโดตัสไม่ได้ให้ความสำคัญสฟิงซ์ที่โผลมาแค่ศีรษะ
ก็เพราะคิดว่ารูปปั้นใหญ่ธรรมดาของฟาโรห์เท่านั้น่ หาทราบไม่ว่าใต้พื้นทรายที่สะสมกัีนนั้นเป็นร่างมหึมาของสิงโต
แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปจนถึงสมัยฟาโรห์ราเมซิสที่2 (1,279-1,212 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
ในราชวงศ์ที่19 แห่งราชอาณาจักรใหม่ ทรายได้ทับถมสฟิงซ์ทั้งร่างอีกครั้ง เหลือให้เห็นเพียงศีรษะและคอเท่านั้น
ก็เพราะคิดว่ารูปปั้นใหญ่ธรรมดาของฟาโรห์เท่านั้น่ หาทราบไม่ว่าใต้พื้นทรายที่สะสมกัีนนั้นเป็นร่างมหึมาของสิงโต
แต่เมื่อเวลาล่วงเลยไปจนถึงสมัยฟาโรห์ราเมซิสที่2 (1,279-1,212 ปีก่อนคริสต์ศักราช)
ในราชวงศ์ที่19 แห่งราชอาณาจักรใหม่ ทรายได้ทับถมสฟิงซ์ทั้งร่างอีกครั้ง เหลือให้เห็นเพียงศีรษะและคอเท่านั้น
สฟิงซ์ของตะวันออกกลาง
สฟิงซ์ของตะวันออกกลางเป็นที่ได้ชื่อว่า ฉลาด
ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะมันจะเปิดเผยสิ่งที่มันรู้ยากมาก
มันพอใจที่จะนอนผึ่งแดด อย่างเป็นสุข ท่ามกลางการเคารพบูชาของผู้ที่เทิดทูนมัน
ซึ่งนั่นอาจเป็นเพราะมันจะเปิดเผยสิ่งที่มันรู้ยากมาก
มันพอใจที่จะนอนผึ่งแดด อย่างเป็นสุข ท่ามกลางการเคารพบูชาของผู้ที่เทิดทูนมัน
สฟิงซ์อื่นๆ
สฟิงซ์ที่แตกเผ่าเป็น ครีโอสฟิงซ์ (Crio-Spninx) ที่มีหัวเป็นแกะบ้าง หรือเป็นนกเหยี่ยว บ้าง
ในเปอร์เซีย (Persia), แอสซีเรีย (Assyria), และฟีเนียเซีย (Phoenicia) มีสฟิงซ์ทั้งสองเพศ ตัวผู้จะมีหนวด และผมหยักศก
ส่วนของโรมโบราณเป็นผู้หญิง และอาจจะเป็นแบบ ที่ส่งผ่านมาให้ กับอียิปต์ก็ได้
เพราะว่าตัวนี้สวมงูแอสพ์ (Asp) คาดอยู่ที่หน้าผากด้วย
ส่วนของโรมโบราณเป็นผู้หญิง และอาจจะเป็นแบบ ที่ส่งผ่านมาให้ กับอียิปต์ก็ได้
เพราะว่าตัวนี้สวมงูแอสพ์ (Asp) คาดอยู่ที่หน้าผากด้วย
ปล.ซ้ำขออภัย
ตำนานสฟิงซ์ ต่างๆ
[IMG]