ความเดิมตอนที่แล้ว : [ Novel ] Perennial :. INTRO
“อำ กันใช่ไหม? คนบ้าจะอะไรจะหน้าตาเหมือนกันขนาดนั้น เท่าที่ข้าพอรู้มาเกี่ยวกับท่านแม่ทัพคือท่านไม่มีพี่น้อง ”ผมพูด รอฟังคำตอบมันอย่างหวั่นๆ
“มันควรเป็นคำถามที่ข้าควรถามมากกว่า”
“มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ จู่ๆท่านแม่ทัพหายไปแล้ว ท่านก็โผล่มาในรูปร่างนี้ อย่างน้อยก็เป็นขวัญกำลังใจให้ทหารทุกนายที่อยู่ใต้บังคับชา”มันพูดแลจริงจังมากๆ
“แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับชั้นด้วยเล่า? เรื่องของที่นี่ ทำไมนายไม่จัดการเอาเอง!” ผมพูดก่อนคิดว่าเดินออกจากตรงนี้ แต่ก็โดนขัดเสียก่อน
“ท่านคิดว่าถ้าไปจากที่นี่ได้ แล้วจะไปไหนต่อกันล่ะ” มันพูดจบ ทำให้ผมสะอึก ใช่แล้วถ้าผมไม่อยู่นี่จะไปไหน ที่นี่ที่ไหนก็ไม่รู้เดินไปๆมาๆสุ่มสี่สุ่มห้าลงได้หลงแน่ๆ หลงคราวนี้คงได้ตายแง่มๆ ดูอย่างไอ้เจ้าหัวแดงเมื่อกี้สิ ถ้าสโตนธ์มันไม่อยู่ตรงนั้นผมคงเป็นรูเพราะโดนธนูยิงไปแล้ว
“แล้วถ้าชั้นอยู่นี่ต่อ? จะให้ทำอะไร”ผมกลับหลังหันมาถาม แต่บนใบหน้าฝ่ายตรงข้ามกลับทำหน้าอย่างกันคาดการณ์ไว้แล้ว
“ข้าก็แค่อยากให้ท่านช่วยมาเป็นตัวแทนท่านแม่ทัพ ชั่วคราว”มันชักสีหน้ากลับมาเรียบนิ่งก่อนจะพูด
“ชั่วคราว? แน่นะ?”ผมถาม
“ใช่ชั่วคราว หากพวกหน่วยลับค้นหาอะไรได้ ที่เป็นเบาะแสหาท่านแม่ทัพ” สโตนธ์พูด ผมค่อนข้างเชื่อว่ามันเป็นพวกไม่พูดโกหกแน่ แต่ยังไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าถ้ามันเจอแม่ทัพอะไรของมันแล้วมันจะปลอดภัย
“แล้วนายรู้วิธีที่ทำให้ชั้นกลับไปที่เดิมไหม เอ่อหมายถึงที่ชั้นมา?”เหมือนผมจะถามอะไรงี้เง่าออกไปซะแล้ว มันเลิกคิ้วแปลกใจ ก่อนจะหันหน้าไปที่ๆ คล้ายๆปราสาทที่พวกเราเดินออกมา
“ข้าไม่รับปาก แค่ข้าคาดว่าจะเป็นผลมาจากการใช้เวทย์ต้องห้าม ที่เป็นส่วนของเวทย์ต้องห้ามสิบหกบท หากเจอท่านแม่ทัพแล้วคงต้องมาหาวิธีกันต่อ” มันพูดแค่นั้นก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าเข้าประตูไปโดนไม่รี่รอผมเลยแม้แต่น้อย ผมก็วิ่งตามไปอย่างช่วยไม่ได้ แง่แหละแล้วจะให้ผมไปไหนกันละ ยังไงแกล้งเล่นตามบทไปคงดีกว่า
แต่เมื่อกี้มันว่ายังไงนะเวทย์ต้องห้าม? เวทย์มนต์อย่างนั้นเหรอ ตลกน่าเวทย์มนต์มันจะมีจริงได้ยังไง มีแค่ในนิยายไม่ก็ตำนานปรัมปราเท่านั้นแหละ
คอร์สเรียนเวทย์กับตาแก่บนหลังวัว
หลังจากที่ผมบนอยู่ในเหตุการณ์ที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก เลยต้องตกปากรับคำ และกลายมาเป็นแม่ทัพในอาณาจักรประหลาดๆแห่งนี้ไปอย่างช่วยไม่ได้ แง่มสิจะให้ผมทำยังไงได้ มานี่ได้ยังไงยังไม่รู้เลย ไม่ต้องพูดถึงวิธีกลับไปเลย ดังนั้นก็เลยต้องตกอยู่ในสภาพนี้ได้อีกสักพัก บ่นไปๆ ไอ้เจ้าสโตนธ์มันก็พาผมมาหยุดอยู่หน้าผนัง? หรือมันคือกำแพง? แต่จะอะไรก็ชั่งผมรู้แค่ตรงหน้าผมมันเป็นทางตันที่ไม่สามารถเดินเข้าไปได้แง่ๆ หรือมันจะเดินทะลุกำแพงได้ ไม่ๆอย่ามองผมแบบนั้น ก็มันพูดเองนี่น่าว่ามีเวทย์มนต์อะไรทำนองนั้นจะเดินทะลุกำแพงได้มันจะแปลกอะไรจริงไหม?
“นายคิดว่าจะจ้องกำแพงนี่อีกนานเท่าไหร่?”ผมถามขึ้นเมื่อหมดความอดทน ก็มันเล่นยืนจ้องกำแพงนี่อยู่พักหนึ่งแล้ว ไม่แน่ถ้ามันยังไม่ทำอะไรผมอาจจะลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้นก็ได้
เมื่อสิ้นคำถามมันหันหน้ามามองผม ก่อนจะพูดอะไรคล้ายกับการพรึมพรำซะมากกว่า “ข้าไม่แน่ใจว่าใช่ที่นี่หรือไม่ น่าละอายนักที่ไม่สามารถจำห้องลับของท่านแม่ทัพลอเรเซ โรได้”มันพูดพร้อมกับใช้มือลูบคางอย่างพินิจพิเคราะห์ “ไม่แน่ใจ ทำไมไม่ลองหาวิธีเปิดมันดูก่อนล่ะ อย่างน้อยก็มีใช่ไหม?”
“ก็มีอยู่ แต่”มันพูดก่อนจะนั่งคุกเข่าลงกับพื้น ผมมองอย่างงงๆมันทำอะไรของมันนะ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไปแค่นั่งมองมันใช้มือลูบๆตามผนังอันว่างเปล่านั้น ดีที่ตรงที่ไม่มีทหารยืนเฝ้าเหมือนตรงห้องด้านล่างไม่งั้นผมว่าไอ้พวกทหารนั้นคงต้องหาหมอมาเช็คสมองเจ้านี่เป็นการใหญ่
“ข้าคิดว่า น่าจะเป็นตรงนี้” เหมือนมันเจออะไรบางอย่าง ผมเห็นมันดันผนังนั้นเบาๆ แล้วยืนขึ้นถอยมาด้านหลังนิดๆ
“คิดว่าตอนสร้างห้องลับท่านแม่ทัพก็คงไม่ได้ชอบเวทย์เสียเท่าไร เลยใช้กลไกลแบบธรรมดาๆ” มันพูดเหมือนอธิบายให้ผมฟัง โดยที่ไม่ต้องเอ๋ยปากถามอย่างรู้หน้าที่ ครู่หนึ่งผนังนั้นสั่นราวกับแผ่นดินไหวแล้วยกตัวเองขึ้น เผยให้เห็นทางเข้าที่สูงกว่าๆเด็กตัวเล็กที่ผ่านเข้าไปได้ แน่นอนผมกับสโตนธ์รอดเข้ามาได้ด้วยความที่ว่าถึงแม้ว่ามันจะเตี้ยแต่ก็กว้างพอ ข้างในนี่มืดและดูอับชื้นมากผมทำท่าจะเดินไปตามทางมืดนั่นแต่ก็โดนมือของสโตนธ์มันหยุดไว้
“ข้างในนี่อาจจะมีอะไรที่เป็นอันตรายรออยู่ข้างหน้า อย่างเสี่ยงโดยการเดินแบบไม่รู้อิโน่อิเน่ดีกว่า” มันเตือนก่อนจะปล่อยแขนผม ผมมองมันหยิบอะไรบ้างอย่างมาจากข้างๆผนัง ใกล้ๆตัวมันพอดี
“ข้าเห็นสีหน้าท่าน ตอนข้าพูดเรื่องเวทย์แต่ท่าทางจะไม่เหมือนเชื่อเท่าไร”
“ที่ๆชั้นมามันไม่มีอะไรทำนองนั้น”
“เช่นนั้นท่านก็ต้องยอมรับมันซะ” มันพูดก่อนมันเพ่งไปที่คบไฟที่มันถืออยู่แล้วเหมือนจะร่ายอะไรสักอย่าง จู่ๆครบนั่นก็ติดไฟขึ้นมา มันยื่นมาให้ผม
“ข้าคิดว่ามันไม่ยากเกินไปที่ท่านจะยอมรับมัน”มันพูดแล้วเดินนำหน้าผมไป ข้างๆกำแพงเต็มไปด้วยตะไคร่รากับมีน้ำล่อเลี้ยงตลอดไม่ที่นี่ก็ชื้นมากๆ แต่กลับมีคบไฟเรียงรายตลอด แล้วแน่นอนสโตนธ์มันก็ไม่อดที่จะโชว์ให้ผมดูอะไรดีๆมันร่ายคาถาอะไรสักแล้วลูกไฟก็ออกจากมือ มันสาดลูกไฟเล็กๆจากในมือไปที่คบไฟแต่ละอันๆที่อยู่ตามกำแพง ทำให้ข้างในนี้สว่างไสวขึ้นมากจนมองเห็นทางลาดที่เป็นบันไดชันๆวงไปวงมาได้อย่างชัดเจน
“...” ผมทึ่งจนพูดอะไรไม่ออก ดูเหมือนมันจะพอใจที่เห็นท่าทางแบบนั้น
“ข้าพอจะเดานิสัยของท่านออกบ้างแล้ว ถึงหน้าตาและบรรยากาศเวทย์จะเหมือนท่านแม่ทัพลอเรเซ โรมากแต่การทำใจยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าของท่านนั้นไม่เหมือนกันเลย” แง่สิก็ไม่ใช่คนเดียวกัน ความคิดความอ่านจะไปเหมือนกันได้ยังไง ผมได้แต่คิด แต่ไม่ได้พูดออกไป
พอเดินมาได้พักหนึ่ง ผิวหนังของผมรู้สึกถึงลมอ่อนๆพัดมากระทบ แต่นี่มันน่าจะเป็นใต้ดินเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีลมพัดเข้ามาได้ หรือข้างล่างมันจะเป็นทางต่อขึ้นไปข้างนอกอีก ในขณะที่ผมกำลังคิดก็ถูกอะไรบ้างอย่างรัดอยู่ที่ช่วงแขนเสียแล้ว ผมยกแขนตัวเองขึ้นมาดูก็เจอกับ
“เย้ยงู!!!!!!!”เสียงร้องโวยวายดังมากแต่คงไม่ทำให้คนข้างบนได้ยิน ผมสะบัดแขนไปมาๆ ด้วยความคิดที่ว่ามันจะยอมหลุดจากแขนผมไป โดยไม่ใช้เขี้ยวแหลมๆสีขาวนั่นฝังลงบนแขน แต่งูนั่นก็ไม่ยอมปล่อย ได้แต่หวังให้เจ้าสโตนธ์มันทำอะไรสักอย่างแต่ก็เปล่ามันมองเฉยๆ
“สวัสดีท่านแรนนาส ไม่คิดว่าจะเจอท่านที่นี่” มันพูดทักทายกับอะไรสักอย่าง ซึ่งคิดได้คือไอ้เจ้างูสีขาวๆนี่ ตัวผมหยุดกึก! มองงูตัวขาวนี่อีกที ท่าทางมันไม่ได้ต้องการจะทำร้ายผมเลยแม้แต่น้อย ถ้าจะทำผมถึงสิ้นลมไปนานแล้ว
พอสิ้นเสียงทักของสโตนธ์งูขาวนี่มันก็โชว์ลิ้นแฉกสีแดงเหมือนกับรับรู้ซะงั้น อะไรกันเนี้ย! นอกจากสีเวทย์มนต์บ้าบอนี่แล้วยังมีงูฟังภาษาคนรู้เรื่องด้วย ใครก็ได้ช่วยพาผมออกจากที่นี่ที่
“พ่อหนุ่มนี่เหมือนโรนี่จริงๆ ทั้งท่าทางไร้เดียงกับหน้าตา”เสียงผู้หญิงดังจากทิศไหนมิทราบ ทำให้ผมหันหน้าหาให้ควัก แต่ไม่เจอใคร
“คิดว่างูจะพูดไม่ได้เหรอ หนุ่มน้อย” แต่เสียงกับใกล้กว่าที่คิด ผมตกใจจนลงกองอยู่กับพื้นเรียบร้อย แล้วงูขาวพูดได้มันก็เลื่อยลงจากแขนผมไป
“ลุกเถอะหนุ่มน้อยอีกไม่นานจะถึงแล้วอย่ามัวนั่งเล่นอยู่เลย”งูขาวนั้นพูดแล้วเลื่อยนำไป ตามด้วยเจ้าสโตนธ์ ทิ้งผมไว้ท้ายสุดกับท่าทางยังมึนๆ
จริงอย่างที่งูขาวแปลกๆนั่นพูด พวกเราเดินลงมาอีกไม่นานนักก็เจอเข้ากับห้องขนาดใหญ่ไม่สิ มันไม่น่าเรียกว่าห้องเพราะด้านล่างนี่มันเหมือนข้างนอกมีพื้นดินต้นหญ้าและลมพัดอีกทั้งต้นไม้ต่างๆนานา แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมาอยู่ข้างใต้ดินนี่ได้ และที่นี่ก็กว้างสุดลูกหูลูกตาทีเดียว และที่สำคัญผมมองขึ้นไปบนห้องฟ้า ก็เจอเข้ากับเมฆ? ให้ตายที่อยู่ข้างบนตัวผมเป็นท้องฟ้ากับเมฆที่กำลังเคลื่อนที่เอื่อยๆ นี่มันอะไรกัน
“ดูเหมือนจะเป็นผลงานของท่านแม่ทัพลอเรเซ โรเขาของทำอะไรแบบนี้ตลอด” เจ้าสโตนธ์ตอบอย่างรู้งาน
“ผิดแล้วจ่ะหนูสโตนธ์มันผลงานข้าต่างนอก การออกไปข้างนอกนี่โดยผ่านทหารเป็นร้อยๆ มันสุ่มเสี่ยงจะถูกสับเป็นชิ้นๆ” งูขาวตอบแก้ไขความงงของผมได้อย่างดีแต่ที่ไม่เข้าใจคืองูนี่มันสามารถยกต้นไม้ใบหญ้าได้ด้วยเหรอ ไม่ใช่! สิ
“เอิ่ม...นี่คงไม่ได้กำลังบอกว่างูอย่างท่านยกต้นไม้นี่เข้ามาหรอกใช่ไหม?”
“เปล่า ไม่ใช่เช่นกันเลย ข้าแค่จำสภาพแวดล้อมข้างนอกนั่นและใช้เวทย์บทสองบททำให้เกิดขึ้น รวมทั้งท้องฟ้าและกะลมนี่ด้วย”
“ล้อเล่นเล่นหรือเปล่า งูที่นี่ใช้เวทย์มนต์กันได้ด้วยรึไง”
“เสียมารยาทนะครับแบบ...
“ไม่เป็นไรหรอกสโตนธ์ ใครๆก็คงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น ตอนเจอกับโรนี่แรกๆ ก็ไม่เชื่อเช่นเดียวกัน” งูนั่นพูดอธิบาย แต่ถึงจะอธิบายยังไงผมก็ไม่รู้จักลอเรเซนั่นอยู่ดี
“ท่านแรนนาสท่านพอจะช่วยสอนเวทย์พื้นฐานให้เขาได้หรือไม่” เจ้าสโตนธ์พูดขัดเรื่องซะดื้อๆ
“อ้าวแล้วทำไมเจ้าไม่สอนเองล่ะ มันเป็นหน้าที่ของทหารคนสนิทไม่ใช่หรือ?”
“ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ งานที่ข้าได้รับมอบหมายนั้นยังค้างคาอยู่มากแล้วยิ่งท่านแม่ทัพหายตัวไปด้วยแบบนี้”
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็ไม่สามารถรับปากเจ้าได้หรอกนะ จะว่าไปทำไมเจ้าไม่เรียกตาเฒ่าหัวงูนั่นออกมาล่ะ” งูขาวนั่นเสนอความคิดเห็น แล้ว? ตาเฒ่าหัวงู! ความงุดงงอีกเรื่องผลุดขึ้นในสมองผมทันที แต่ในขณะนั้นผมเห็นเจ้าสโตนธ์นั่งลงกับพื้นและชันเข่าข้างหนึ่งขึ้น และๆๆ มันกัดนิ้วชี้ของมัน! จนน้ำสีแดงๆหยดติ่งๆ แล้วมันก็วาดอะไรกลมๆลงบนพ้นกึ่งหญ้ากึ่งดิน ก่อนจะให้ฝ่ามือทาบไปกับวงกลมๆนั่น ครู่เดียวมันก็ลุกขึ้นแล้วถอยออกจากวงกลมนั่น ผมมองพลาดคิดว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นละมั่ง ไม่จู่ๆ รอบๆบริเวณที่วงกลมๆนั่น ดินแยกออกจากกัน เผยให้เห็นตาแก่คนหนึ่งผมแทบจะขาวโผลนทั้งหัว ใส่ชุดแปลกตาสีเดียวกันให้มือกำลังถือหนังสือเล่มหนา ดูท่าจะนั่งใจอ่านมากแต่ที่ผมรับไม่ได้คือตาแก่นี่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนหลังวัว!!
ผมกำลังจะบ้ากับการเลือกคนที่จะทำการสอนหรืออะไรทำนองนั้น แค่เห็นก็รู้แล้วไปกันไม่รอดแน่ๆ ก็จะพูดยังไง ดูสภาพตาแก่ผมหงอกที่กำลังตั้งหน้าตั้งหน้าอ่านหนังสืออย่างสุดชีวิต ให้มาสอนเวทย์ ไม่ต้องพูดถึงสอนเวทย์เลย แค่ให้มันสื่อสารกับผมรู้เรื่องให้ได้ก่อนเถอะ แล้วที่ขัดใจอย่างสุดๆ ทำไมพี่แก่ต้องนั่งอยู่บนหลังวัว ทำไมต้องวัว? ขี่ม้าไม่เท่กว่าเหรอ
“ท่านธรณีเทพ”เสียงของสโตนธ์มันพยายามเรียกเทพอะไรนั่น แต่เหมือนจะไม่ได้ผล ท่าทางแกไม่หือไม่อืออะไรเลย เหมือนไม่ได้ยิน อีกข้อหนึ่งพี่แกหูไม่ดีชัวร์
“ตาแก่!!!” ตามมาด้วยเสียงแหลมเปรี๊ยะแบบสุดจะทน แต่ก็สามารถเรียกเทพแห่งดินนั่นหันมาสนใจได้ ตาแก่นั่นหันมาก็รีตามองเขม็งมาที่ผมเห็นคนแรกก่อนจะส่ายหน้าไปมา อะไรของตาแก่นี่นะผมได้แต่สงสัยแต่ไม่ได้พูดออกไป แล้วตาแก่นั่นก็เบนสายตาไปทางงูประหลาดสีขาว
“อ้าวแรนนาส เจ้านี่เองทำไมต้องไปอยู่ในสภาพแบบนั้นเล่า” ตาแก่นั่นทักทาย แต่มันเป็นการทักทายที่ไม่น่าพอใจที่สุดในโลก เหมือนผมเห็นสีหน้าของงูนั่นกระอักกระอวลเล็กน้อยที่จะตอบ
“ปกติข้าก็อยู่แบบนี้อยู่แล้วนะ”
“งั้นเรอะ อาจจะ ...ข้าไม่ได้สังเกตละมั่ง” สิ้นคำตาแก่นั่นกลับ หันไปตั้งหน้าตั้งตาหน้าหนังสือต่อซะเฉยๆ เฮ้ยๆนี่อย่าบอกนะว่ามันไม่ได้สังเกตว่าถูกเรียกมา ให้ตายเถอะช่วยหาคนที่เข้าใจสถานการณ์กว่านี้มาสอนผมไม่ได้เลยหรือไง!
“. . .” ทั้งสามคนรวมถึงผมเข้าไปด้วยพากันเงียบ แบบโคตรจะเอือมมากๆกับการตั้งใจอ่านหนังสือเกินไปของตาแก่นี่จนกระทั่ง
“มอออออ.” เสียงสัตว์สี่เท้าที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยตลอดร้องขึ้นทำลายทำเงียบโดยสิ้นเชิง
อีกด้านหนึ่ง
.
.
.
ตับฉับ....รอตอนหน้า 55555
“อำ กันใช่ไหม? คนบ้าจะอะไรจะหน้าตาเหมือนกันขนาดนั้น เท่าที่ข้าพอรู้มาเกี่ยวกับท่านแม่ทัพคือท่านไม่มีพี่น้อง ”ผมพูด รอฟังคำตอบมันอย่างหวั่นๆ
“มันควรเป็นคำถามที่ข้าควรถามมากกว่า”
“มันเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ จู่ๆท่านแม่ทัพหายไปแล้ว ท่านก็โผล่มาในรูปร่างนี้ อย่างน้อยก็เป็นขวัญกำลังใจให้ทหารทุกนายที่อยู่ใต้บังคับชา”มันพูดแลจริงจังมากๆ
“แล้วมันมาเกี่ยวอะไรกับชั้นด้วยเล่า? เรื่องของที่นี่ ทำไมนายไม่จัดการเอาเอง!” ผมพูดก่อนคิดว่าเดินออกจากตรงนี้ แต่ก็โดนขัดเสียก่อน
“ท่านคิดว่าถ้าไปจากที่นี่ได้ แล้วจะไปไหนต่อกันล่ะ” มันพูดจบ ทำให้ผมสะอึก ใช่แล้วถ้าผมไม่อยู่นี่จะไปไหน ที่นี่ที่ไหนก็ไม่รู้เดินไปๆมาๆสุ่มสี่สุ่มห้าลงได้หลงแน่ๆ หลงคราวนี้คงได้ตายแง่มๆ ดูอย่างไอ้เจ้าหัวแดงเมื่อกี้สิ ถ้าสโตนธ์มันไม่อยู่ตรงนั้นผมคงเป็นรูเพราะโดนธนูยิงไปแล้ว
“แล้วถ้าชั้นอยู่นี่ต่อ? จะให้ทำอะไร”ผมกลับหลังหันมาถาม แต่บนใบหน้าฝ่ายตรงข้ามกลับทำหน้าอย่างกันคาดการณ์ไว้แล้ว
“ข้าก็แค่อยากให้ท่านช่วยมาเป็นตัวแทนท่านแม่ทัพ ชั่วคราว”มันชักสีหน้ากลับมาเรียบนิ่งก่อนจะพูด
“ชั่วคราว? แน่นะ?”ผมถาม
“ใช่ชั่วคราว หากพวกหน่วยลับค้นหาอะไรได้ ที่เป็นเบาะแสหาท่านแม่ทัพ” สโตนธ์พูด ผมค่อนข้างเชื่อว่ามันเป็นพวกไม่พูดโกหกแน่ แต่ยังไม่มีอะไรยืนยันได้ว่าถ้ามันเจอแม่ทัพอะไรของมันแล้วมันจะปลอดภัย
“แล้วนายรู้วิธีที่ทำให้ชั้นกลับไปที่เดิมไหม เอ่อหมายถึงที่ชั้นมา?”เหมือนผมจะถามอะไรงี้เง่าออกไปซะแล้ว มันเลิกคิ้วแปลกใจ ก่อนจะหันหน้าไปที่ๆ คล้ายๆปราสาทที่พวกเราเดินออกมา
“ข้าไม่รับปาก แค่ข้าคาดว่าจะเป็นผลมาจากการใช้เวทย์ต้องห้าม ที่เป็นส่วนของเวทย์ต้องห้ามสิบหกบท หากเจอท่านแม่ทัพแล้วคงต้องมาหาวิธีกันต่อ” มันพูดแค่นั้นก่อนที่จะเดินมุ่งหน้าเข้าประตูไปโดนไม่รี่รอผมเลยแม้แต่น้อย ผมก็วิ่งตามไปอย่างช่วยไม่ได้ แง่แหละแล้วจะให้ผมไปไหนกันละ ยังไงแกล้งเล่นตามบทไปคงดีกว่า
แต่เมื่อกี้มันว่ายังไงนะเวทย์ต้องห้าม? เวทย์มนต์อย่างนั้นเหรอ ตลกน่าเวทย์มนต์มันจะมีจริงได้ยังไง มีแค่ในนิยายไม่ก็ตำนานปรัมปราเท่านั้นแหละ
หลังจากที่ผมบนอยู่ในเหตุการณ์ที่กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก เลยต้องตกปากรับคำ และกลายมาเป็นแม่ทัพในอาณาจักรประหลาดๆแห่งนี้ไปอย่างช่วยไม่ได้ แง่มสิจะให้ผมทำยังไงได้ มานี่ได้ยังไงยังไม่รู้เลย ไม่ต้องพูดถึงวิธีกลับไปเลย ดังนั้นก็เลยต้องตกอยู่ในสภาพนี้ได้อีกสักพัก บ่นไปๆ ไอ้เจ้าสโตนธ์มันก็พาผมมาหยุดอยู่หน้าผนัง? หรือมันคือกำแพง? แต่จะอะไรก็ชั่งผมรู้แค่ตรงหน้าผมมันเป็นทางตันที่ไม่สามารถเดินเข้าไปได้แง่ๆ หรือมันจะเดินทะลุกำแพงได้ ไม่ๆอย่ามองผมแบบนั้น ก็มันพูดเองนี่น่าว่ามีเวทย์มนต์อะไรทำนองนั้นจะเดินทะลุกำแพงได้มันจะแปลกอะไรจริงไหม?
“นายคิดว่าจะจ้องกำแพงนี่อีกนานเท่าไหร่?”ผมถามขึ้นเมื่อหมดความอดทน ก็มันเล่นยืนจ้องกำแพงนี่อยู่พักหนึ่งแล้ว ไม่แน่ถ้ามันยังไม่ทำอะไรผมอาจจะลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้นก็ได้
เมื่อสิ้นคำถามมันหันหน้ามามองผม ก่อนจะพูดอะไรคล้ายกับการพรึมพรำซะมากกว่า “ข้าไม่แน่ใจว่าใช่ที่นี่หรือไม่ น่าละอายนักที่ไม่สามารถจำห้องลับของท่านแม่ทัพลอเรเซ โรได้”มันพูดพร้อมกับใช้มือลูบคางอย่างพินิจพิเคราะห์ “ไม่แน่ใจ ทำไมไม่ลองหาวิธีเปิดมันดูก่อนล่ะ อย่างน้อยก็มีใช่ไหม?”
“ก็มีอยู่ แต่”มันพูดก่อนจะนั่งคุกเข่าลงกับพื้น ผมมองอย่างงงๆมันทำอะไรของมันนะ แต่ก็ไม่ได้ถามออกไปแค่นั่งมองมันใช้มือลูบๆตามผนังอันว่างเปล่านั้น ดีที่ตรงที่ไม่มีทหารยืนเฝ้าเหมือนตรงห้องด้านล่างไม่งั้นผมว่าไอ้พวกทหารนั้นคงต้องหาหมอมาเช็คสมองเจ้านี่เป็นการใหญ่
“ข้าคิดว่า น่าจะเป็นตรงนี้” เหมือนมันเจออะไรบางอย่าง ผมเห็นมันดันผนังนั้นเบาๆ แล้วยืนขึ้นถอยมาด้านหลังนิดๆ
“คิดว่าตอนสร้างห้องลับท่านแม่ทัพก็คงไม่ได้ชอบเวทย์เสียเท่าไร เลยใช้กลไกลแบบธรรมดาๆ” มันพูดเหมือนอธิบายให้ผมฟัง โดยที่ไม่ต้องเอ๋ยปากถามอย่างรู้หน้าที่ ครู่หนึ่งผนังนั้นสั่นราวกับแผ่นดินไหวแล้วยกตัวเองขึ้น เผยให้เห็นทางเข้าที่สูงกว่าๆเด็กตัวเล็กที่ผ่านเข้าไปได้ แน่นอนผมกับสโตนธ์รอดเข้ามาได้ด้วยความที่ว่าถึงแม้ว่ามันจะเตี้ยแต่ก็กว้างพอ ข้างในนี่มืดและดูอับชื้นมากผมทำท่าจะเดินไปตามทางมืดนั่นแต่ก็โดนมือของสโตนธ์มันหยุดไว้
“ข้างในนี่อาจจะมีอะไรที่เป็นอันตรายรออยู่ข้างหน้า อย่างเสี่ยงโดยการเดินแบบไม่รู้อิโน่อิเน่ดีกว่า” มันเตือนก่อนจะปล่อยแขนผม ผมมองมันหยิบอะไรบ้างอย่างมาจากข้างๆผนัง ใกล้ๆตัวมันพอดี
“ข้าเห็นสีหน้าท่าน ตอนข้าพูดเรื่องเวทย์แต่ท่าทางจะไม่เหมือนเชื่อเท่าไร”
“ที่ๆชั้นมามันไม่มีอะไรทำนองนั้น”
“เช่นนั้นท่านก็ต้องยอมรับมันซะ” มันพูดก่อนมันเพ่งไปที่คบไฟที่มันถืออยู่แล้วเหมือนจะร่ายอะไรสักอย่าง จู่ๆครบนั่นก็ติดไฟขึ้นมา มันยื่นมาให้ผม
“ข้าคิดว่ามันไม่ยากเกินไปที่ท่านจะยอมรับมัน”มันพูดแล้วเดินนำหน้าผมไป ข้างๆกำแพงเต็มไปด้วยตะไคร่รากับมีน้ำล่อเลี้ยงตลอดไม่ที่นี่ก็ชื้นมากๆ แต่กลับมีคบไฟเรียงรายตลอด แล้วแน่นอนสโตนธ์มันก็ไม่อดที่จะโชว์ให้ผมดูอะไรดีๆมันร่ายคาถาอะไรสักแล้วลูกไฟก็ออกจากมือ มันสาดลูกไฟเล็กๆจากในมือไปที่คบไฟแต่ละอันๆที่อยู่ตามกำแพง ทำให้ข้างในนี้สว่างไสวขึ้นมากจนมองเห็นทางลาดที่เป็นบันไดชันๆวงไปวงมาได้อย่างชัดเจน
“...” ผมทึ่งจนพูดอะไรไม่ออก ดูเหมือนมันจะพอใจที่เห็นท่าทางแบบนั้น
“ข้าพอจะเดานิสัยของท่านออกบ้างแล้ว ถึงหน้าตาและบรรยากาศเวทย์จะเหมือนท่านแม่ทัพลอเรเซ โรมากแต่การทำใจยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นตรงหน้าของท่านนั้นไม่เหมือนกันเลย” แง่สิก็ไม่ใช่คนเดียวกัน ความคิดความอ่านจะไปเหมือนกันได้ยังไง ผมได้แต่คิด แต่ไม่ได้พูดออกไป
พอเดินมาได้พักหนึ่ง ผิวหนังของผมรู้สึกถึงลมอ่อนๆพัดมากระทบ แต่นี่มันน่าจะเป็นใต้ดินเป็นไปไม่ได้เลยที่จะมีลมพัดเข้ามาได้ หรือข้างล่างมันจะเป็นทางต่อขึ้นไปข้างนอกอีก ในขณะที่ผมกำลังคิดก็ถูกอะไรบ้างอย่างรัดอยู่ที่ช่วงแขนเสียแล้ว ผมยกแขนตัวเองขึ้นมาดูก็เจอกับ
“เย้ยงู!!!!!!!”เสียงร้องโวยวายดังมากแต่คงไม่ทำให้คนข้างบนได้ยิน ผมสะบัดแขนไปมาๆ ด้วยความคิดที่ว่ามันจะยอมหลุดจากแขนผมไป โดยไม่ใช้เขี้ยวแหลมๆสีขาวนั่นฝังลงบนแขน แต่งูนั่นก็ไม่ยอมปล่อย ได้แต่หวังให้เจ้าสโตนธ์มันทำอะไรสักอย่างแต่ก็เปล่ามันมองเฉยๆ
“สวัสดีท่านแรนนาส ไม่คิดว่าจะเจอท่านที่นี่” มันพูดทักทายกับอะไรสักอย่าง ซึ่งคิดได้คือไอ้เจ้างูสีขาวๆนี่ ตัวผมหยุดกึก! มองงูตัวขาวนี่อีกที ท่าทางมันไม่ได้ต้องการจะทำร้ายผมเลยแม้แต่น้อย ถ้าจะทำผมถึงสิ้นลมไปนานแล้ว
พอสิ้นเสียงทักของสโตนธ์งูขาวนี่มันก็โชว์ลิ้นแฉกสีแดงเหมือนกับรับรู้ซะงั้น อะไรกันเนี้ย! นอกจากสีเวทย์มนต์บ้าบอนี่แล้วยังมีงูฟังภาษาคนรู้เรื่องด้วย ใครก็ได้ช่วยพาผมออกจากที่นี่ที่
“พ่อหนุ่มนี่เหมือนโรนี่จริงๆ ทั้งท่าทางไร้เดียงกับหน้าตา”เสียงผู้หญิงดังจากทิศไหนมิทราบ ทำให้ผมหันหน้าหาให้ควัก แต่ไม่เจอใคร
“คิดว่างูจะพูดไม่ได้เหรอ หนุ่มน้อย” แต่เสียงกับใกล้กว่าที่คิด ผมตกใจจนลงกองอยู่กับพื้นเรียบร้อย แล้วงูขาวพูดได้มันก็เลื่อยลงจากแขนผมไป
“ลุกเถอะหนุ่มน้อยอีกไม่นานจะถึงแล้วอย่ามัวนั่งเล่นอยู่เลย”งูขาวนั้นพูดแล้วเลื่อยนำไป ตามด้วยเจ้าสโตนธ์ ทิ้งผมไว้ท้ายสุดกับท่าทางยังมึนๆ
จริงอย่างที่งูขาวแปลกๆนั่นพูด พวกเราเดินลงมาอีกไม่นานนักก็เจอเข้ากับห้องขนาดใหญ่ไม่สิ มันไม่น่าเรียกว่าห้องเพราะด้านล่างนี่มันเหมือนข้างนอกมีพื้นดินต้นหญ้าและลมพัดอีกทั้งต้นไม้ต่างๆนานา แทบไม่น่าเชื่อว่าจะมาอยู่ข้างใต้ดินนี่ได้ และที่นี่ก็กว้างสุดลูกหูลูกตาทีเดียว และที่สำคัญผมมองขึ้นไปบนห้องฟ้า ก็เจอเข้ากับเมฆ? ให้ตายที่อยู่ข้างบนตัวผมเป็นท้องฟ้ากับเมฆที่กำลังเคลื่อนที่เอื่อยๆ นี่มันอะไรกัน
“ดูเหมือนจะเป็นผลงานของท่านแม่ทัพลอเรเซ โรเขาของทำอะไรแบบนี้ตลอด” เจ้าสโตนธ์ตอบอย่างรู้งาน
“ผิดแล้วจ่ะหนูสโตนธ์มันผลงานข้าต่างนอก การออกไปข้างนอกนี่โดยผ่านทหารเป็นร้อยๆ มันสุ่มเสี่ยงจะถูกสับเป็นชิ้นๆ” งูขาวตอบแก้ไขความงงของผมได้อย่างดีแต่ที่ไม่เข้าใจคืองูนี่มันสามารถยกต้นไม้ใบหญ้าได้ด้วยเหรอ ไม่ใช่! สิ
“เอิ่ม...นี่คงไม่ได้กำลังบอกว่างูอย่างท่านยกต้นไม้นี่เข้ามาหรอกใช่ไหม?”
“เปล่า ไม่ใช่เช่นกันเลย ข้าแค่จำสภาพแวดล้อมข้างนอกนั่นและใช้เวทย์บทสองบททำให้เกิดขึ้น รวมทั้งท้องฟ้าและกะลมนี่ด้วย”
“ล้อเล่นเล่นหรือเปล่า งูที่นี่ใช้เวทย์มนต์กันได้ด้วยรึไง”
“เสียมารยาทนะครับแบบ...
“ไม่เป็นไรหรอกสโตนธ์ ใครๆก็คงคิดว่าเป็นไปไม่ได้ทั้งนั้น ตอนเจอกับโรนี่แรกๆ ก็ไม่เชื่อเช่นเดียวกัน” งูนั่นพูดอธิบาย แต่ถึงจะอธิบายยังไงผมก็ไม่รู้จักลอเรเซนั่นอยู่ดี
“ท่านแรนนาสท่านพอจะช่วยสอนเวทย์พื้นฐานให้เขาได้หรือไม่” เจ้าสโตนธ์พูดขัดเรื่องซะดื้อๆ
“อ้าวแล้วทำไมเจ้าไม่สอนเองล่ะ มันเป็นหน้าที่ของทหารคนสนิทไม่ใช่หรือ?”
“ข้าทำเช่นนั้นไม่ได้ งานที่ข้าได้รับมอบหมายนั้นยังค้างคาอยู่มากแล้วยิ่งท่านแม่ทัพหายตัวไปด้วยแบบนี้”
“ถึงจะพูดแบบนั้นก็ไม่สามารถรับปากเจ้าได้หรอกนะ จะว่าไปทำไมเจ้าไม่เรียกตาเฒ่าหัวงูนั่นออกมาล่ะ” งูขาวนั่นเสนอความคิดเห็น แล้ว? ตาเฒ่าหัวงู! ความงุดงงอีกเรื่องผลุดขึ้นในสมองผมทันที แต่ในขณะนั้นผมเห็นเจ้าสโตนธ์นั่งลงกับพื้นและชันเข่าข้างหนึ่งขึ้น และๆๆ มันกัดนิ้วชี้ของมัน! จนน้ำสีแดงๆหยดติ่งๆ แล้วมันก็วาดอะไรกลมๆลงบนพ้นกึ่งหญ้ากึ่งดิน ก่อนจะให้ฝ่ามือทาบไปกับวงกลมๆนั่น ครู่เดียวมันก็ลุกขึ้นแล้วถอยออกจากวงกลมนั่น ผมมองพลาดคิดว่าคงไม่มีอะไรเกิดขึ้นละมั่ง ไม่จู่ๆ รอบๆบริเวณที่วงกลมๆนั่น ดินแยกออกจากกัน เผยให้เห็นตาแก่คนหนึ่งผมแทบจะขาวโผลนทั้งหัว ใส่ชุดแปลกตาสีเดียวกันให้มือกำลังถือหนังสือเล่มหนา ดูท่าจะนั่งใจอ่านมากแต่ที่ผมรับไม่ได้คือตาแก่นี่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่บนหลังวัว!!
ผมกำลังจะบ้ากับการเลือกคนที่จะทำการสอนหรืออะไรทำนองนั้น แค่เห็นก็รู้แล้วไปกันไม่รอดแน่ๆ ก็จะพูดยังไง ดูสภาพตาแก่ผมหงอกที่กำลังตั้งหน้าตั้งหน้าอ่านหนังสืออย่างสุดชีวิต ให้มาสอนเวทย์ ไม่ต้องพูดถึงสอนเวทย์เลย แค่ให้มันสื่อสารกับผมรู้เรื่องให้ได้ก่อนเถอะ แล้วที่ขัดใจอย่างสุดๆ ทำไมพี่แก่ต้องนั่งอยู่บนหลังวัว ทำไมต้องวัว? ขี่ม้าไม่เท่กว่าเหรอ
“ท่านธรณีเทพ”เสียงของสโตนธ์มันพยายามเรียกเทพอะไรนั่น แต่เหมือนจะไม่ได้ผล ท่าทางแกไม่หือไม่อืออะไรเลย เหมือนไม่ได้ยิน อีกข้อหนึ่งพี่แกหูไม่ดีชัวร์
“ตาแก่!!!” ตามมาด้วยเสียงแหลมเปรี๊ยะแบบสุดจะทน แต่ก็สามารถเรียกเทพแห่งดินนั่นหันมาสนใจได้ ตาแก่นั่นหันมาก็รีตามองเขม็งมาที่ผมเห็นคนแรกก่อนจะส่ายหน้าไปมา อะไรของตาแก่นี่นะผมได้แต่สงสัยแต่ไม่ได้พูดออกไป แล้วตาแก่นั่นก็เบนสายตาไปทางงูประหลาดสีขาว
“อ้าวแรนนาส เจ้านี่เองทำไมต้องไปอยู่ในสภาพแบบนั้นเล่า” ตาแก่นั่นทักทาย แต่มันเป็นการทักทายที่ไม่น่าพอใจที่สุดในโลก เหมือนผมเห็นสีหน้าของงูนั่นกระอักกระอวลเล็กน้อยที่จะตอบ
“ปกติข้าก็อยู่แบบนี้อยู่แล้วนะ”
“งั้นเรอะ อาจจะ ...ข้าไม่ได้สังเกตละมั่ง” สิ้นคำตาแก่นั่นกลับ หันไปตั้งหน้าตั้งตาหน้าหนังสือต่อซะเฉยๆ เฮ้ยๆนี่อย่าบอกนะว่ามันไม่ได้สังเกตว่าถูกเรียกมา ให้ตายเถอะช่วยหาคนที่เข้าใจสถานการณ์กว่านี้มาสอนผมไม่ได้เลยหรือไง!
“. . .” ทั้งสามคนรวมถึงผมเข้าไปด้วยพากันเงียบ แบบโคตรจะเอือมมากๆกับการตั้งใจอ่านหนังสือเกินไปของตาแก่นี่จนกระทั่ง
“มอออออ.” เสียงสัตว์สี่เท้าที่อยู่ในเหตุการณ์ด้วยตลอดร้องขึ้นทำลายทำเงียบโดยสิ้นเชิง
อีกด้านหนึ่ง
.
.
.
ตับฉับ....รอตอนหน้า 55555
[ Novel ] Perennial :.(1)
[IMG]